หลังจากการต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรมสิ้นสุดลง ก็เกิดแรงสั่นสะเทือนไปทั่วหล้า นามอันยิ่งใหญ่ของหลงเฉิน ไม่มีทั้งฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรมคนใดที่ไม่รู้จัก
เขาถูกขนานนามว่าเป็นยอดฝีมือรุ่นเยาว์แห่งรัฐซูโจว ถึงแม้จะมีพลังเพียงแค่ขั้นก่อโลหิตสูงสุด แต่ก็สามารถกวาดต้อนผู้มีพลังในขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นให้จนมุมได้ แม้กระทั่งผู้อยู่เหนือขอบเขตก็ยังไม่อาจต่อกรกับเขา
ขณะเดียวกัน ภายในฝ่ายอธรรมก็เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ขึ้น การต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรมในครั้งนี้ ทำให้กำลังรบของพวกเขาแทบกลายเป็นศูนย์ จากเดิมที่เคยมีศิษย์อยู่มากมาย ที่อาจนับได้ว่ามากเป็นประวัติการณ์นับตั้งเริ่มต้น
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการปรากฏตัวของผู้อยู่เหนือขอบเขตถึงห้าคน พวกเขาเปรียบเสมือนผู้แข็งแกร่งที่สุดในรุ่นของฝ่ายอธรรม เดิมยังคิดว่า จะสามารถไล่ต้อนฝ่ายธรรมะให้จนมุม และหนีหัวซุกหัวซุนได้
ทว่าในเวลาที่เฒ่าประหลาดเนตรมารนำพากองกำลังที่พ่ายแพ้กลับมายังสำนัก เหล่าสาวกฝ่ายอธรรมทั้งหมดก็ต้องอึ้งจนกล่าวอะไรออกมาไม่ได้ ทำได้เพียงยืนมองด้วยแววตาโง่งมเท่านั้น ศิษย์สองหมื่นกว่าคน แต่รอดกลับมาได้เพียงแค่ห้าร้อยคน!!!!
ยิ่งไปกว่านั้นผู้อยู่เหนือขอบเขตทั้งห้าคนที่ร่วมรบ มีถึงสามคนตายจากไป อีกทั้งหยินหลอผู้ที่ถูกขนานนามว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์มากที่สุดที่มีมาในรอบหมื่นปี ยังถึงกับสูญเสียขาไปข้างหนึ่ง
เมื่อเรื่องนี้ลือออกไป ทำให้ฝ่ายอธรรมได้รับความอับอายยิ่งนัก ข่าวลือเช่นนี้แทบจะไม่สามารถเชื่อได้ว่าจะเกิดขึ้นจริง แต่หากได้สืบข่าวดูอย่างละเอียด ก็จะทราบได้ถึงบุคคลผู้เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้
นามของหลงเฉิน เป็นที่โจษจันกันในหมู่ศิษย์ของฝ่ายอธรรมไปแล้ว พวกเขาต่างเคียดแค้น คนที่ไม่ได้ร่วมรบพอทราบข่าวก็คิดที่จะหาทางลงมือจัดการในทันที ส่วนศิษย์ของฝ่ายอธรรมที่มีชีวิตรอดกลับมาจากสนามรบได้ เมื่อได้ยินนามของหลงเฉิน ต่างก็ต้องสั่นเทาไปทั่วทั้งร่าง
ความแข็งแกร่งของหลงเฉิน ทำให้เกิดแรงกดดันอย่างหนักขึ้นต่อเหล่ายอดฝีมือฝ่ายอธรรม ราวกับมีก้อนหินขนาดใหญ่มหึมากดทับเอาไว้ ในส่วนของเหล่าคนเบื้องสูงในฝ่ายอธรรม ถึงกับต้องเปิดการประชุมระดับสูงเพื่อถกถึงเรื่องของหลงเฉินขึ้นมาเป็นพิเศษ
ยอดฝีมือฝ่ายอธรรม ลงมติเป็นเอกฉันท์ว่า หลงเฉินนั้นไม่อาจมีชีวิตต่อไปได้ ไม่เช่นนั้นก็คงจะเป็นหนามยอกอกของฝ่ายอธรรมอย่างไม่ต้องสงสัย
พวกเขาสั่งให้วาดภาพเหมือนและระบุนามหลงเฉินขึ้น ส่งไปยังขุมกำลังฝ่ายอธรรมแห่งอื่นๆที่อยู่ตามที่ต่างๆ บุคคลในภาพนั้นถูกขึ้นทะเบียนเป็นบุคคลที่ฝ่ายอธรรมจำเป็นต้องฆ่าให้ได้
ในฝ่ายธรรมะ ก็คงมีการแจ้งไปยังเบื้องบนด้วยเช่นกัน มีบุคคลที่มีความสามารถเช่นนี้ปรากฎขึ้นมา จำเป็นที่จะต้องแจ้งให้เบื้องบนทราบ เพื่อจะได้เตรียมมาตราการรับมือกับเรื่องที่จะตามมา
ถึงอย่างไรเสียหลงเฉินยังคงถือเป็นศิษย์ของหมู่ตึกพลิกสวรรค์ ศิษย์ที่มีความแข็งแกร่งมากมายเช่นนี้ จะต้องได้รับการดูแล เลี้ยงดู ปกป้องเป็นอย่างดีแน่นอน เรื่องที่คิดจะลอบสังหารนั้น แทบจะเป็นไปได้แค่ในความฝันเท่านั้น คงจะมีเพียงแต่ต้องพึ่งพาพลังที่มีอยู่ ต่อสู้ซึ่งหน้า น่าจะเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับความเป็นไปได้มากที่สุด
หยินเล่อหลังจากที่จะต้องอับอายจากการถูกตัดขาไปแล้ว ด้วยการช่วยเหลือของสำนัก ทำให้สามารถงอกขาขึ้นมาได้ใหม่อีกครั้ง
ถึงแม้ว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บภายนอกได้แล้ว ทว่าความอับอายที่ได้รับมาจากหลงเฉิน แทบจะทำให้เขากลายเป็นคนคลุ้มคลั่งไปเลยทีเดียว
หยินหลอที่ถูกเรียกขานกันว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่ยากจะพบพานได้ในรอบหมื่นปีของฝ่ายอธรรม ที่ผ่านมายังไม่เคยมีผู้ใดที่ดูจะเป็นคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมกับเขาได้มาก่อน แม้ว่าจะเป็นผู้อยู่เหนือขอบเขตด้วยกันก็ตาม ก็ยังเป็นการยากที่จะต้านทานเขาเอาไว้ให้ได้ถึงกระบวนท่าที่สิบ
คุณสมบัติเช่นเขา ระดับพลังสูงส่งเช่นนี้ กลับต้องมาเสียขาไปข้างหนึ่ง ด้วยฝีมือเจ้าหนูที่มีพลังอยู่ในขอบเขตก่อโลหิตแค่คนเดียวเท่านั้น ถือว่าเป็นความอัปยศอดสูที่แทบจะทำให้เขาคลั่งใจตายได้เลย
หลังจากที่ฟื้นคืนจากอาการบาดเจ็บแล้ว หยินหลอก็เริ่มเก็บตัวฝึกปรือในทันที เขาได้ลั่นวาจาเอาไว้ว่าในวันที่ฝึกฝนสำเร็จแล้ว จะต้องเด็ดหัวของหลงเฉินกับม่อเนี่ยนมาให้จงได้
เกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของทั้งฝ่ายธรรมะและอธรรม หลงเฉินแทบจะไม่เก็บมาใส่ใจเลยด้วยซ้ำ เขาในเวลานี้ กำลังเร่งมุ่งหน้าไปทางจักรวรรดิเมืองเฟิงหมิง เพื่อกลับจวนสกุลหลง
แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้เดินทางเพียงลำพัง มีทั้งอาหมาน, ฉู่เหยา, ถังหว่านเอ๋อ รวมไปจนถึงเสี่ยวเสว่ยร่วมเดินทางไปด้วย
เดิมทีถังหว่านเอ๋อไม่ได้คิดที่จะเดินทางกลับบ้านพร้อมกับหลงเฉิน แต่ไม่ทราบว่าเพราะอะไร ฉู่เหยาถึงดึงมือของถังหว่านเอ๋อเอาไว้ ทำให้นางไม่สามารถแยกกลับไปได้ ถังหว่านเอ๋อจึงได้แต่ใบหน้าแดงก่ำเดินติดตามมา
หลงเฉินรู้สึกว่าสาวน้อยทั้งสองทำท่าทีบางอย่างประหลาด และน่าสงสัย ตลอดรายทางมานี้เอาแต่ฉวยโอกาสตอนอยู่ลับสายตาเขา หรือเวลาที่เขาไม่มอง แอบลอบกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกัน
หลายครั้งที่หลงเฉินคิดจะใช้พลังแห่งจิตวิญญาณเพื่อแอบฟัง แต่ก็ถูกฉู่เหยาตรวจพบเข้า ฉู่เหยาที่เป็นถึงผู้อยู่เหนือขอบเขต พลังแห่งจิตวิญญาณย่อมไม่ด้อยไปกว่าหลงเฉินอย่างแน่นอน
และถังหว่านเอ๋อหลังจากที่ได้ดูดกลืนอักขระของผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นไปแล้ว ทั้งยังสามารถกักเก็บพลังอักขระนั้นเอาไว้ได้ จึงทำให้กลายเป็นเหมือนดั่งผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้หนึ่งไป
กล่าวถึงโชควาสนาอย่างหนึ่งที่อยู่ในตัวของผู้อยู่เหนือขอบเขตคือ หลังจากที่สำเร็จกลายเป็นผู้อยู่เหนือขอบเขตไปแล้ว จะได้รับพรจากฟ้าดิน ซึ่งจะช่วยให้การฝึกปรือสามารถประสบความสำเร็จได้มากยิ่งขึ้นอีกหลายเท่า
ก่อนหน้านี้ถังหว่านเอ๋อเคยกล่าวว่า ในตัวของนาง ราวกับว่ามีพลังวิถีแห่งฟ้าคอยเกื้อหนุนอยู่ ทำให้เกิดความคุ้นเคยกับพลังจากลมปราณฟ้าดินที่ได้จากขอบเขตภายนอกมากมายยิ่งขึ้น
ทำให้ในช่วงที่ได้รับการฝึกปรือจะไม่ถูกปฏิเสธจากพลังแห่งฟ้าดินอีกต่อไป ในขณะเดียวกันนางก็พบด้วยว่าพลังวายุของตนเอง ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาชนิดหนึ่ง ที่ทำให้มีความน่ากลัวมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
กล่าวได้ว่าวาสนาของถังหว่านเอ๋อนั้นยอดเยี่ยมเป็นอย่างยิ่ง เพราะหลังจากที่ฉู่เหยาทำการสังหารผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นไปแล้ว ก็ทิ้งซากศพเอาไว้ให้แก่เยี่ยจื่อชิว
เยี่ยจื่อชิวเองก็ทำการดูดกลืนพลังอักขระวิถีแห่งฟ้าของผู้อยู่เหนือขอบเขตที่ประมือกับตนด้วยเช่นกัน ทว่าน่าเสียดาย ที่ต้องล้มเหลวไป พลังอักขระวิถีแห่งฟ้าแม้จะไหลเข้าสู่ภายในร่างกายของเยี่ยจื่อชิวได้ แต่นางกลับไม่สามารถกักเก็บเอาไว้ได้ ทำให้พลังหลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิดเท่านั้น จึงทำให้ล้มเหลวไปในที่สุด
อีกทางด้านหนึ่ง ทางฝั่งของอาหมาน ที่ได้ทำการสังหารผู้อยู่เหนือขอบเขตอีกคนสำเร็จ ก็ทดลองเข้าไปดูดกลืนพลังอักขระวิถีแห่งฟ้าดูเช่นกัน ทว่าก็พบกับความล้มเหลวอยู่ดี
ทั้งสามคนที่ได้ทำการทดลอง มีแค่ถังหว่านเอ๋อเพียงคนเดียวที่ทำได้สำเร็จ ทำให้ค้นพบว่าการช่วงชิงวาสนาวิถีแห่งฟ้า จำเป็นที่จะต้องมีวาสนาแต่เดิมที่เหมาะสมอยู่ก่อนแล้ว ไม่เช่นนั้นก็แทบจะไม่มีคุณสมบัติที่จะเก็บวาสนาเช่นนี้เอาไว้ได้
สิ่งที่เรียกกันว่าเป็นวาสนานั้นจัดว่าเป็นความลี้ลับของความเร้นลับเลยก็ว่าได้ แม้ว่าวาสนานี้ จะเป็นดั่งภาพมายาที่ไม่อาจจับต้องได้ แต่ก็ดูราวกับว่ามันมีตัวตนอยู่อย่างแท้จริง เพราะวาสนานั้นเสมือนกับเป็นหัวใจสำคัญของเรื่องบางเรื่องเลยทีเดียว
“เหว่ยเหว่ย พวกเจ้าสองคนที่แท้กำลังซุบซิบอะไรกันอยู่ มีเรื่องอะไรกัน ก็ช่วยพูดออกมาให้ดังๆหน่อย เผื่อให้คนอื่นได้รับรู้ จะได้มีความสุขอย่างพวกเจ้าบ้าง” หลงเฉินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
หลงเฉินกับอาหมานเดินอยู่หน้าขบวน ส่วนฉู่เหยากับถังหว่านเอ๋อนั้นขี่หลังของเสี่ยวเสว่ย ติดตามมาอยู่ทางด้านหลังห่างออกไป มีบางครั้งบางคราวที่ทั้งสองส่งเสียงหัวเราะคิกคักกัน จนได้ยินมาถึงทางหน้า ฟังดูคล้ายเสียงกระดิ่งที่ดังสะท้อนมาก็มิปาน
เมื่อได้ยินหลงเฉินบ่นออกมา ฉู่เหยานั้นเพียงแต่ หัวเราะหึหึ มิได้กล่าววาจาใดๆตอบกลับ แต่ถังหว่านเอ๋อเป็นฝ่ายที่ตอบโต้กลับไป “หลงเฉินเจ้าตัวร้าย เรื่องที่พวกเรามีความสุข ไม่แน่ว่าหากกล่าวออกมาแล้ว อาจจะทำให้เจ้าเจ็บปวดใจก็ได้นะ”
ถึงแม้ใบหน้าหลงเฉินจะแสร้งทำเป็นไม่พอใจ แต่ทว่าภายในจิตใจก็เหมือนกับได้ยกหินศิลาออกไปจากอก เมื่อมั่นใจแล้วว่าฉู่เหยานั้นหาได้เกิดความไม่พอใจในตัวถังหว่านเอ๋อเลยแม้แต่น้อย เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม หลงเฉินก็ยังอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ ถังหว่านเอ๋อนั้นถือได้ว่าเป็นหญิงสาวที่มีนิสัยประหลาด เหตุใดถึงสามารถอยู่กับฉู่เหยาที่มักไม่ค่อยเอ่ยวาจาและค่อนข้างขี้อาย เช่นนี้ได้กัน ทั้งยังดูจะสนทนากันได้อย่างมีความสุขมากเพียงนี้ นี่เป็นสิ่งที่หลงเฉินไม่อาจเข้าใจได้เลยแม้แต่น้อย
แล้วจู่ๆอาหมานก็พูดออกมาเสียงดังลั่น “พี่หลง พวกเรารีบไปกันเถอะ ท้องข้าคำรามไม่หยุดขึ้นมาอีกแล้ว ข้าหิวจนหัวหมุนตาลายไปหมดแล้ว”
นับตั้งแต่อาหมานได้สติฟื้นคืนมา ก็เริ่มสวาปามอาหารอย่างไม่คิดชีวิต เขารู้สึกหิวโหยเหมือนจะตายให้ได้ เขากินทุกสิ่ง ไม่สนว่าจะใช่เนื้อหรือไม่ ขอเพียงสามารถกินได้ สิ่งของที่อยู่ภายในแหวนมิติของหลายๆคนก็ถูกอาหมานกินไปจนหมดสิ้น
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น ท้องของอาหมาน ก็ยังคงร้องออกมาไม่หยุด เสียงคล้ายกับมีฟ้าผ่าอยู่ตลอดเวลาเลยก็มิปาน จนทำให้ผู้คนทั้งตกใจทั้งขบขัน
“อาหมาน ข้าขอถามเจ้า วันนั้นที่ร่างของเจ้าเปลี่ยนสี แท้จริงแล้วเกิดขึ้นได้อย่างไร? ”หลงเฉินเอ่ยถามขึ้น
วันนั้นผิวหนังของอาหมานกลายเป็นสีแดงในชั่วพริบตา ดูแล้วคล้ายกับการตื่นขึ้นของสัตว์ร้าย รู้สึกได้ถึงพลังความมุ่งมั่นอันมหาศาลถูกระเบิดออกมา แม้แต่หลงเฉินก็ยังต้องตกใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกตื่นเต้นไปด้วย
“ข้าเองก็ไม่ทราบ ทุกครั้งที่ข้ามีโทสะขึ้นมา ก็ดูเหมือนว่าเจ้าพลังประหลาดพิสดารนี้ก็จะถูกปลุกขึ้นมาด้วย เป็นพลังมหาศาลที่แข็งแกร่งยิ่งนัก
แต่ว่าหลังจากที่ข้าได้ใช้พลังมหาศาลนั้นไปแล้ว ก็จะเกิดอาการหิวโหยจนแทบตายทันที ปกติถ้าหากอาจารย์ไม่อยู่ข้างกายข้า ข้าจะไม่กล้าใช้เจ้าพลังมหาศาลนั่นเลย เพราะข้ากลัวว่าข้าอาจจะหิวจนตายไปเลยขึ้นมา” อาหมานกล่าวด้วยอาการทุกข์ระทม
เมื่อได้ฟังอาหมานอธิบาย ว่าภายในร่างกายของเขานั้นซ่อนเร้นเอาไว้ด้วยพลังประหลาดอันมหาศาลที่อยู่ขุมหนึ่ง หากแต่คำว่า ‘ในร่างกาย’ ตามความเข้าใจของอาหมานนั้น แท้จริงแล้วคือ ‘จิตใจ’ ของเขา พลังขุมนั้นหาได้อยู่ภายในกายของเขาไม่ แต่ซ่อนเร้นอยู่ภายในส่วนลึกของจิตวิญญาณของเขา
ทว่านี่เป็นเพียงข้อสรุปที่หลงเฉินคาดเดาเอาเท่านั้น เพราะที่อาหมานกล่าว แทบจะไม่สามารถอธิบายได้เลย ว่าที่มาของพลังนั้นกำเนิดมาจากจุดใดกันแน่
ในทุกครั้งหลังจากที่ได้กระตุ้นใช้พลังนี้ขึ้น อาหมานจะเกิดอาการหิวโหยจนแทบบ้าคลั่งอยู่หลายวัน จนแทบจะไม่สามารถหยุดกินได้
ดูคล้ายภายในท้องกลายห้วงมิติที่กว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดไปแล้ว ไม่ว่าจะกินอะไรลงไปก็ไม่ยอมอิ่ม และเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกหลายวัน มีอยู่ครั้งหนึ่งที่อาหมานออกไปล่าสัตว์เพียงคนเดียว แล้วได้พบกับสัตว์มายาระดับสี่เข้าตนหนึ่ง เพราะตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย พลังประหลาดนี้จึงถูกดึงออกมาใช้
ผลสุดท้ายเขาก็ฆ่าสัตว์มายาตัวนั้นได้ แต่ทว่าตนเองกลับเกิดความหิวโหยแทบคลั่งตาย อยู่ใจกลางหุบเขา ท้ายที่สุดแล้วแม้แต่กระดูกของสัตว์มายาตัวนั้นก็ยังถูกแทะจนไม่หลงเหลือ จึงค่อยสามารถประวิงความหิวโหยเอาไว้ได้ระยะหนึ่ง
เมื่อได้หวนนึกถึงช่วงเวลานั้น ใบหน้าของอาหมานก็ปรากฎร่องรอยความหวาดผวาขึ้นมา ความหิวโหยนั้นสามารถทำให้ผู้คนบ้าคลั่งขึ้นมาได้เลยจริงๆ เรียกได้ว่าเป็นความทรมานที่หนักหนาสาหัสเลยทีเดียว ทั้งยังเป็นสิ่งที่ผู้คนยากที่จะอดทนได้อีกด้วย
ด้วยร่างกายที่มีความพิเศษของอาหมาน ที่ไม่จำเป็นต้องใช้พลังลมปราณคอยเกื้อหนุนในการต่อสู้ เขาสามารถดึงพลังจากกายเนื้อเข้าต่อสู้ได้โดยตรง
ขณะเดียวกันกล้ามเนื้อก็มีข้อจำกัดที่ต้องการใช้พลังงานที่ได้จากอาหาร เมื่อพลังงานที่สะสมไว้ในกล้ามเนื้อถูกใช้ออกไป ก็ต้องการพลังงานใหม่มาทดแทน ยิ่งใช้พลังงานไปในปริมาณมหาศาลถึงเพียงนั้นแล้ว ปริมาณความต้องการพลังงานทดแทนก็ต้องมีมหาศาลตามไปด้วย ดังนั้นพลังอันมหาศาลของอาหมาน จึงมีพลังงานตั้งต้นมาจากอาหารนั้นเอง ทำให้หลังปลดปล่อยพลังประหลาดนั่นแล้ว กล้ามเนื้อทุกส่วนของอาหมานก็คล้ายกับถามหาอาหารอย่างบ้าคลั่ง นี่เองเป็นสาเหตุของอาการหิวโหยแทบคลั่งของเขา และเป็นสิ่งที่บุคคลอื่นไม่เข้าใจนั้นเอง
ก่อนที่จะมารู้จักกับหลงเฉิน อาหมานที่ครั้งหนึ่งเคยพยายามที่จะอดทนต่อความหิวโหย ก็คงยังไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก ทว่าเมื่อร่างกายเปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ก็ทำให้เขาไม่อาจที่จะต้านทานความหิวโหยเอาไว้ได้อีกต่อไปแล้ว
มิใช่กล่าวว่าความอดทนของอาหมานนั้นด้อยลง เพียงแต่เป็นความต้องการจากทางร่างกายที่มีเพิ่มมากขึ้นของเขา ที่สั่งให้เขาไม่อาหยุดกินอาหารได้
ทว่าก็ยังดี ที่พวกเขาเดินทางได้รวดเร็ว ไปข้างหน้าอีกไม่ไกล ก็จะถึงเขตแดนของเฟิงหมิงแล้ว และเมื่อเดินทางต่ออีกไม่นานนัก จักวรรดิก็ปรากฏให้เห็นต่อสายตา
เพียงก้าวแรกที่หลงเฉินเหยียบย่ำเข้าสู่เมือง ตลอดทั่วทั้งจักรวรรดิก็ได้เกิดความเคลื่อนไหวขึ้นทันที ผู้คนมากมายต่างก็ออกมาต้อนรับหลงเฉิน
หลงเฉินได้พบใบหน้าที่คุ้นเคยมากมาย ทั้งเจ้าอ้วน เจ้าลิง และพวกพ้องคนอื่นๆต่างก็รวมตัวกันจนครบ พากันโอบกอดหลงเฉินด้วยความตื่นเต้นดีใจ
หลงเฉินหัวเราะพร้อมกับทักทายพวกเขา แต่เนื่องจากหลงเฉินต้องรีบกลับบ้านเพื่อที่จะได้กลับไปหาบิดามารดา จึงได้นัดพวกเขาเอาไว้ว่า หากดึกอีกสักหน่อยค่อยมาร่ำสุรากัน
แล้วหลงเฉินก็พาทุกคนมุ่งหน้าไปยังจวนสกุลหลง ครั้งนี้จากบ้านมานานถึงครึ่งปี เมื่อได้เห็นประตูบ้านที่คุ้นเคย หลงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหมือนเกิดรสฝาดขึ้นที่จมูก
ประตูใหญ่นี้ถูกเปลี่ยนเป็นบานใหม่ไปแล้ว อีกทั้งกำแพงของจวนก็ได้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ตลอดทั่วทั้งจวนขุนนางสกุลหลงนี้ แทบจะถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดเลยก็ว่าได้ เมื่อเทียบกับสภาพทรุดโทรมก่อนหน้านี้ ในช่วงเวลาก่อนที่เขาจะจากไปนั้น ช่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
หลงเฉินกำลังจะเปิดประตูบานใหญ่ ก็ได้ยินเสียงของมารดาแว่วออกมาจากหลังประตู เสียงนั้นแสดงความขัดใจชัดเจน
“เฉินเอ๋อกลับมาแล้ว ข้าจะไปรับเขา เหตุใดเจ้าไม่ยอมพาข้าออกไป เอาแต่ปล่อยให้ข้าต้องรอเขากลับมาที่จวน เจ้าจะให้พวกเราสองแม่ลูกได้พบหน้ากันเร็วหน่อยไม่ได้อย่างนั้นหรือ
เจ้าเองได้เจอกับเฉินเอ๋อที่ชายแดนไปแล้ว เจ้าก็วางใจได้สิ แต่ว่าข้ายังไม่ได้พบ เจ้าอย่าเอาแต่ทำเป็นคนดีเป็นห่วงข้า ทั้งทั้งที่ไม่เข้าใจถึงความทุกข์ระทมของข้าสิ”
ทันทีที่สิ้นเสียงของหลงฮูหยิง เสียงตอบกลับของหลงเทียนเซียวก็ดังขึ้น น้ำเสียงนั้นสั่นเครือแฝงเอาไว้ด้วยอารมณ์ที่ไม่ต่างอะไรไปจากความระทมทุกข์ “นั้นก็เป็นเพราะว่าข้านั้นหวังดีต่อเจ้า ที่ตรงนั้นมีคนอยู่เยอะมากไป ไม่ค่อยจะสะดวกนัก”
เอี๊ยดเอี๊ยด!
ประตูบานใหญ่ถูกเปิดออก ในที่สุดหลงเฉินก็ได้พบหน้าบุคคลที่เขาคิดคำนึงถึงทุกเช้าเย็นมาโดยตลอดเสียที เขาอดไม่ได้ที่จะร้องเรียกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ท่านแม่”
ฮูหยินหลงที่กำลังฉุดดึงสามีมาเพื่อต่อว่าอยู่นั้น ทันทีที่ได้ยินเสียงของหลงเฉิน เนื้อตัวก็สั่นเทาขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ นางรีบหันหน้ากลับไปมองในทันที เมื่อได้เห็นลูกชายก็น้ำตาคลอ วิ่งออกไปหาทันที
“เฉินเอ๋อ”
หลงเฉินสวมกอดมารดาเอาไว้ จนจมูกเริ่งจะแดงเพราะเกิดรสฝาดขึ้น และอดไม่ได้ที่จะร่ำไห้ในที่สุด เขากล่าวขึ้นว่า “มารดา บุตรไม่รักดี”
ถึงแม้ฮูหยินหลงจะมิใช่มารดาบังเกิดเกล้าของหลงเฉิน แต่ว่าหลงเฉินก็ทราบดีว่า มารดารักตนดั่งแก้วตาดวงใจ เป็นเหมือชีวิตของนาง แทบจะไม่ต่างอะไรไปจากบุตรแท้ๆ ของนางเลยก็ว่าได้
การจากไปในครั้งนี้ของหลงเฉิน ถือได้ว่าเป็นการทำร้ายฮูหยินหลงยิ่งนัก ภายในใจของหลงเฉินเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกผิดมาโดยตลอด และการที่ได้กลับมาพบหน้ามารดาอีกครั้ง ก็ทำให้ความรู้สึกเสียใจที่มีอยู่นั้น ล้นออกมาให้เห็นเป็นน้ำตา
“ลูกรัก อย่าได้ร้อง กลับมาก็ดีแล้ว มามา มาให้แม่ดูหน่อยสิ ว่าเจ้าได้ผอมลงหรือไม่” ฮูหยินหลงใช้มือลูบไล้ใบหน้าบุตรชายแผ่วเบา
ฮูหยินหลงมองสำรวจร่างกายของหลงเฉินที่จากบ้านไปนานาถึงครึ่งปี ร่องรอยของความเยาว์วัยบนใบหน้าเลือนหายไปสิ้นแล้ว กลับกลายเป็นใบหน้าที่สมชายชาตรีเข้ามาแทนที่ นางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาพลางเอ่ยว่า “ยอดเยี่ยมยิ่งนัก! เฉินเอ๋อเจ้าเติบใหญ่ขึ้นแล้ว ทั้งยังดูสมกับเป็นชายชาตรี แม่เองก็มีความสุข แต่ว่าก็เจ็บปวดใจเป็นอย่างยิ่ง ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา เจ้าคงจะได้รับความลำบากมาไม่น้อย”
“เอาละ เอาละ มีอะไรก็ไว้ค่อยสนทนากันในเรือนเถอะ ยังมีแขกมาด้วยนะ” หลงเทียนเซียวกล่าวเตือนสติ
ฮูหยินหลงถึงได้สังเกตเห็นว่า ยังมีคนอื่นติดตามบุตรชายมาด้วย นางจึงรีบปาดเช็ดน้ำตา แล้วก็ชักชวนทุกคนเข้าไปในเรือน
อาหมานนั้เพียงแค่ได้อ้าปากพูด ก็เอาแต่ร่ำร้องว่าหิวจะเป็นจะตายอยู่แล้ว หลงเทียนเซียวจึงรีบสั่งให้คนไปตระเตรียมอาหาร ในเวลาเดียวกันก็ให้พ่อครัวจากท้องพระโรงมาช่วยด้วย เพราะทุกคนต่างก็ทราบดีว่า อาหมานนั้นกินจุเพียงใด
เมื่อเข้ามาภายในเรือนแล้ว หลงเฉินก็เข้าไปจับมือของมารดาเอาไว้ ทันใดนั้นมือที่เขาจับไว้ก็ทอสีประหลาดขึ้นมา เมื่อจ้องมองไปที่มารดาอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ภายในแววตาของหลงเฉินก็ฉายแววทั้งตื่นเต้นทั้งยินดี