พอหลิ่วหมิงเห็นลูกกระดูกกลมๆ ลางเลือนที่มีพื้นผิวเป็นกระดูกอันแหลมคมแล้วในใจก็รู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาทันที เขาทำท่ามือด้วยมือเดียว แสงสีเขียวเป็นจุดๆ ออกจากนิ้วของเขา แล้วสะบัดข้อมืออีกข้าง ห่วงเขี้ยวพยัคฆ์ก็ร้องเสียงดังพร้อมกับโผล่หัวพยัคฆ์สีเหลืองออกมา
เขายังไม่ทันจะลงมือโจมตี ก็มีเสียง “ซู่!” ดังมาจากด้านหลัง เส้นสีแดงยาวฉื่อกว่าๆ พุ่งออกไปก่อนแล้วพันอยู่บนกระดูกลูกกลมๆ นั้นพอดี
เสียงดัง “ตู้ม!”
เส้นสีแดงระเบิดออกมา แล้วกลายเป็นเปลวแสงสีแดงปกคลุมกระดูกลูกกลมๆ ไว้
กระดูกลูกกลมๆ ที่หมุนกลิ้งอยู่หยุดชะงักในทันที และส่งเสียงคำรามอย่างเจ็บปวดสุดขีด เมื่อเปลวแสงกะพริบหายไปก็คืนร่างอย่างเลือนลางแล้วกลับเป็นโครงกระดูกมนุษย์ดังเดิม
บนร่างศพกระดูกมีบาดแผลเต็มไปหมด เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่นั้นมันได้รับความเจ็บปวดเป็นอย่างมาก
ขณะนี้ เปลวไฟในเบ้าตาทั้งสองของมันมองมาทางหลิ่วหมิงอย่างดุร้าย แต่ดูเหมือนว่ายังพะวงกับอะไรบางอย่างอยู่ ระยะห่างใกล้แค่นี้ก็ยังไม่ได้กระโจนเข้ามาในทันที
ตาของหลิ่วหมิงค่อยๆ เป็นประกายขึ้นมารีบหันหน้ากลับไปดูอย่างรวดเร็ว
เขาเจียหลานกำลังถือธนูยาวสีเขียวอ่อนอยู่ด้วยสีหน้าที่เยือกเย็น บนนั้นมีลูกธนูสีแดงกางพร้อมที่จะยิงอยู่หนึ่งดอก ตอนนี้รูเลือดบนบ่านางได้สมานกันสนิทแล้วเหลือไว้แค่เส้นสีแดงจางๆ
“ศิษย์น้องไป๋อย่างวอกแวก สติปัญญาของศพกระดูกตนนี้สูงมาก ทั้งยังเล่ห์เหลี่ยมเยอะกว่าปีศาจระดับขุนพลทั่วไป แต่ถ้าหากเราสองคนร่วมมือกันล่ะก็ยังพอจะรับมือกับมันได้บ้าง” พอดรุณีน้อยใบหน้างดงามเห็นหลิ่วหมิงเบนความสนใจมามองนาง นางก็กล่าวเตือน
“พอจะรับมือได้บ้าง! ปีศาจรร้ายกาจระดับนี้ หรือว่าศิษย์พี่ไม่คิดที่จะทำให้มันศิโรราบ?” หลิ่วหมิงได้ยินดังนั้นก็หันหน้ากลับไปทางศพกระดูกอีกครั้ง แต่ถึงกระนั้นก็ยังถามออกไปด้วยความรู้สึกแปลกใจ
“ปีศาจร่างมนุษย์ที่มีพรสวรรค์อัจฉริยะขนาดนี้ ถึงแม้จะร้ายกาจเป็นอย่างมากแต่มันต่างกับปีศาจอื่นๆ ที่เกิดจากปราณหยินเป็นอย่างมาก แค่ใช้วิชาสื่อสารจิตวิญญาณสั่นสะเทือนสยบไม่สามารถทำให้มันศิโรราบได้ นอกจากว่าจะมีพลังที่เหนือกว่าพวกมันมาก มิเช่นนั้นต่อให้เจ้าปราบมันได้ก็ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น และอาจจะแว้งกลับมากัดได้ในภายหลัง อาจารย์อาในนิกายของเรามีไม่น้อยที่ที่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ศิษย์อย่างพวกเราก็อย่าหวังที่จะสยบมันได้เลย” พอเจียหลานได้ยิน ก็กล่าวออกมาเรียบๆ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นคงทำได้แค่ฆ่ามันทิ้งซะ” หลิ่วหมิงฟังคำพูดนี้แล้วก็รู้สึกเสียดายขึ้นมา
“ฆ่าทิ้ง?” ถึงแม้เจียหลานผู้นี้จะดูมีท่าทีที่สงบ แต่เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็รู้สึกตะลึงอย่างอดไม่ได้
กระดูกขาวตรงหน้าก็ดูเหมือนจะฟังคำพูดของหลิ่วหมิงออก พอมันฟังจบก็โมโหจนเปลวไฟสีแดงในเบ้าตาคุโชนขึ้นมา มือทั้งสองดึงกระดูกแหลมคมบนตัวออกมาสองชิ้น หลังจากที่มันตวัดไปมาก็กลายเป็นหอกกระดูกยาวจั้งกว่าๆ สองอันแล้วก้าวเท้ายาวๆ พุ่งเข้ามา
ดรุณีน้อยใบหน้างดงามหดม่านตาลง ยิงลูกธนูพุ่งออกไปในทันที
เสียงดัง “ตู้ม!”
ภายใต้เปลวแสงอันโชติช่วง ศพกระดูกที่เดิมทีพุ่งมายังด้านหน้าของหลิ่วหมิงถูกโจมตีจนถอยไปจั้งกว่าๆ
แต่ปีศาจตนนี้ดูเหมือนจะโดนกระตุ้นจนดูดุร้ายสุดขีด ไม่สนใจบาดแผลมากมายที่เพิ่มขึ้นมาบนร่าง มันเขวี้ยงหอกกระดูกสองอันออกไปอย่างรุนแรง หลังจากที่คำรามเสียงดังออกมา มันก็กระโจนเข้ามาอย่างโหดเหี้ยม
เสียงดัง “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” คมวายุสองเส้นพุ่งออกไปภายในพริบตา ปะทะเข้ากับหอกกระดูกที่พุ่งเข้ามาพอดี ทำให้พวกมันเบนทิศทางผ่านร่างทั้งสองข้างของเขาไป
เจียหลานที่อยู่ด้านหลังสีหน้าหม่นลง หลังจากที่มือทั้งสองเคลื่อนไหวอย่างพร่ามัว ธนูคันยาวก็ยิงลูกธนูออกไปหนึ่งดอกอย่างรวดเร็ว
เกิดเสียงดังขึ้นเช่นเดิม แต่ครั้งนี้ร่างของศพกระดูกแค่สั่นไหวเล็กน้อยก็ต้านแรงระเบิดของเปลวแสงออกมาได้
หลิ่วหมิงเขม้นตามอง ก็เห็นอย่างชัดเจนว่าหน้าลำตัวของศพกระดูกมีแผ่นกระดูกไม่ทราบชื่อขนาดใหญ่ที่ไม่รู้ว่าโผล่มาตอนไหน และมันถือแผ่นกระดูกนั้นราวกับเป็นโล่กำบังพุ่งเข้ามา มันแค่ก้าวไม่กี่ก้าวก็จู่โจมมาถึงด้านหน้าของหลิ่วหมิงพร้อมกับกลิ่นเหม็นคาวที่ม้วนตัวออกมา
“ศิษย์น้อง รีบถอยไปเร็ว!” เจียหลานเห็นเช่นนี้ สีหน้าก็หม่นลง นางตะโกนเสียงต่ำออกไป ขณะเดียวกันก็สะบัดแขนเสื้อ ธนูยาวในมือก็หายไป แต่กลับมียันต์สีเงินผืนหนึ่งโผล่ออกมาแล้วเตรียมปล่อยพุ่งออกไปในทันที
แต่ที่ทำให้เขาตกตะลึงก็คือหลิ่วหมิงทำเหมือนกับไม่ได้ยินที่เขาพูด ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ยอมหลบหลีก เขายกแขนขึ้น หัวพยัคฆ์อ้าปากโผล่ออกมาจากห่วงเขี้ยวพยัคฆ์ คลื่นเสียงสีขาวโพลนม้วนตัวพุ่งไปยังหัวของศพกระดูก
ศพกระดูกก็แค่เอียงหัว ก็หลบการโจมตีของคลื่นเสียงจากห่วงเขี้ยวพยัคฆ์ได้ หลังจากที่เปลวไฟสีเลือดในเบ้าตามันคุโชน มือใหญ่ทั้งสองก็โอบกอดมายังหลิ่วหมิงอย่างโหดเหี้ยม
รอบตัวปีศาจตนนี้เต็มไปด้วยกระดูกแหลมคมแลดูโหดร้าย ถ้าถูกมันโอบกอดเข้าต่อให้เป็นอาจารย์จิตวิญญาณก็ยังต้องร้องขอชีวิต
ตอนนี้สีหน้าของดรุณีน้อยเปลี่ยนไปอย่างมาก คิดที่จะหยิบจับอะไรออกมาช่วยก็ไม่ทันแล้ว
เสียงดัง “ซู่!” “ซู่!”
พลันก็ปรากฏก้ามยักษ์สีดำสองข้างโผล่ออกมาจากพื้นทรายใต้ร่างศพกระดูกอย่างรวดเร็ว แล้วหนีบข้อเท้าสีขาวทั้งสองไว้แน่น ถึงแม้จะไม่ได้ตัดมันออกเป็นสองท่อน แต่ก็ทำให้ศพกระดูกที่กำลังพุ่งเข้ามาหยุดชะงักในทันที และเกือบจะล้มลงไปบนพื้น
ภายใต้สถานการณ์ที่น่าตกใจเช่นนี้ มันรีบใช้มือข้างหนึ่งดึงกระดูกแหลมสีดำตรงหน้าอกออกมาแทงไปยังก้ามยักษ์อันหนึ่งอย่างรวดเร็ว
แต่ในขณะนั้นเอง ก็มีเสียง “ซู่!” ดังขึ้น
เส้นสีดำเส้นหนึ่งพุ่งออกมาจากใต้พื้นทราย หลังจากที่มันกะพริบเคลื่อนไหวก็แทงทะลุไปยังแขนที่ถือหอกกระดูกของศพกระดูกอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ จนมันสั่นระริกแล้วปล่อยหอกกระดูกลงไปอย่างไร้เรี่ยวแรง ขณะเดียวกันสิ่งของสีดำราวกับน้ำหมึกแผ่กระจายออกจากรูบนแขนของมันอย่างฉับไว
เส้นสีดำนั้นก็คือหางตะขอสีดำขลับอันดุร้ายนั่นเอง
ภายใต้ความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสนี้ มันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงที่แผ่ขยายมาจากแขน มันรู้สึกลนลานเป็นอย่างมาก มือเดียวที่เหลืออยู่กำลังพยายามดึงหางตะขอนั้นออกอย่างบ้าคลั่ง
แต่หางตะขอนี้แข็งแรงมาก ถึงแม้นิ้วทั้งสิบของศพกระดูกจะแหลมคมแค่ไหน ก็ทำได้แค่ทิ้งร่องรอยสีขาวจางๆ ไว้บนนั้นเท่านั้น
และในขณะนั้น หลิ่วหมิงร่ายคาถาขึ้นมา มือทั้งสองประกบเข้าหากัน หลังจากค่อยๆ แยกออกมา คมวายุยักษ์ยาวครึ่งจั้งปรากฏออกมาทันที
“ไป!”
พอหลิ่วหมิงคำรามเสียงต่ำออกไป แล้วแค่กระตุกข้อมือทั้งสอง คมวายุยักษ์ก็กลายเป็นแสงสีเขียวกะพริบผ่านเอวของศพกระดูกไป
เสียงดัง “เพล้ง!”
ร่างศพกระดูกที่เดิมกำลังดิ้นให้หลุดพ้นจากก้ามยักษ์อยู่นั้นกลับชะงักงันในทันที ร่างส่วนบนของมันโอนเอนอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็หลุดออกมาเป็นสองส่วนร่วงลงพื้นไป
หลิ่วหมิงถอนหายใจเบาๆ เผยรอยยิ้มออกมาบนใบหน้า
แต่ในขณะนั้นเอง ก็มีเสียง “ตู้ม!” ดังเข้ามา
ร่างท่อนบนของศพกระดูกระเบิดออกมา กระดูกแหลมๆ สีดำหลายสิบท่อน กลายเป็นเส้นสีดำมากมายพุ่งมาทางหลิ่วหมิงกับเจียหลาน
ในระยะอันใกล้เช่นนี้ แม้แต่หลิ่วหมิงก็ยังไม่ทันเตรียมป้องกันเลย ใจเขาร่วงหล่นลงไปในทันที ทำได้แค่ใช้มือทั้งสองบังไปยังด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
แต่ในขณะนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมา ม่านแสงสีขาวกว้างใหญ่ชั้นหนึ่งปรากฏขึ้นที่ด้านหน้าเขา
เมื่อเส้นสีดำเหล่านั้นปะทะลงไปด้านบน ก็บังเกิดเสียงดังราวกับฝนตกใส่รั้วไม้ไผ่ จากนั้นค่อยๆ ร่วงลงสู่พื้นอย่างอ่อนแรง
หลิ่วหมิงตกตะลึงหันมองกลับไป
เห็นในมือทั้งสองของเจียหลานคีบยันต์สีเงินที่เปล่งรัศมีแสงสีขาวอยู่ ปากก็ร่ายคาถาอยู่เบาๆ
พอนางเห็นหลิ่วหมิงมองมาก็หยุดร่ายคาถา แล้วยิ้มบางๆ กล่าวออกมา
“ศพกระดูกเหล่านี้โหดร้ายเป็นอย่างยิ่ง พอร่างของมันตายก็ระเบิดตนเองออกมาเพื่อให้ศัตรูตายไปพร้อมกับมันด้วย ดูเหมือนศิษย์น้องจะยังไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องเหล่านี้”
“ขอบคุณศิษย์พี่ที่ช่วยเหลือ ศิษย์น้องไม่รู้เรื่องนี้จริงๆ” หลิ่วหมิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ยิ้มขมขื่นกล่าวออกมา
“ข้าก็ได้ยินมาจากอาจารย์ของข้า มิเช่นนั้นก็ไม่อาจรู้เรื่องนี้ได้ แต่พลังของศิษย์น้องเกินกว่าที่คาดไว้มากนัก เกือบจะใช้พลังตนเองฆ่าปีศาจระดับขุนพลตนนี้ได้ ใช่สิ! แมงป่องกระดูกขาวตนนี้ศิษย์น้องเป็นคนปราบมันมาได้หรือ?” เจียหลานเก็บยันต์ลงไป และกล่าวต่ออีกสองประโยค แล้วสายตาก็มองลงไปยังแมงป่องกระดูกขาวที่กำลังแทะกลืนกระดูกอยู่บริเวณที่หลิ่วหมิงยืนอยู่
“พลังอันน้อยนิดของศิษย์น้องนี้นับประสาอะไรไม่ได้ ถ้าหากไม่มีศิษย์พี่คอยช่วยในตอนท้ายเกรงว่าคงต้องตายไปพร้อมกับปีศาจตนนี้แล้ว แมงป่องกระดูกขาวตนนี้เป็นของศิษย์น้องจริงๆ ศิษย์น้องโชคดีถึงทำให้มันยอมศิโรราบได้ แต่ทำไมศิษย์พี่ถึงได้ไปยั่วยุโดนกระดูกศพตนนี้ได้ล่ะ ท่านไม่ได้อยู่ด้วยกันกับอาจารย์อาปิงหรอกหรือ?” หลิ่วหมิงย้อนถามกลับไป
“หลังจากอาจารย์ข้าเข้ามาที่นี่ ก็พบเจอเรื่องที่ไม่คาดคิดเลยแยกทางกับข้าชั่วคราว สำหรับศพกระดูกตนนี้นั้นข้าก็พบเจอมันโดยไม่ตั้งใจ จากนั้นมันก็ไล่ตามข้าไม่ปล่อย ใช่สิ! ข้ายังเก็บป้ายชื่อของนิกายเราจากบริเวณที่ศพกระดูกตนนี้อยู่ได้อันหนึ่ง ไม่แน่ศพกระดูกตนนี้อาจจะเป็นผู้อาวุโสนิกายเราที่เสียชีวิตที่นี่แล้วกลายเป็นปีศาจขึ้นมา” เจียหลานพูดจบก็โยนป้ายหยกในมือไปให้หลิ่วหมิง
หลังจากหมิ่วหมิงรับมาแล้วก็ดูอย่างละเอียด ที่แท้มันเป็นป้ายชื่อที่ทางนิกายปีศาจจัดทำขึ้นมาเป็นพิเศษ เขาถอนหายใจออกมา โยนคืนให้ดรุณีน้อยใบหน้างดงามแล้วกล่าวขึ้น
“ปีศาจร่างมนุษย์ในแดนปีศาจปรโลกมีน้อยมาก ดูเหมือนคงจะเป็นเช่นนั้น ถ้าหากพวกเราเสียชีวิตที่นี่ก็คงจะเป็นเช่นนี้เหมือนกัน ที่นี่อันตรายเป็นอย่างมากตอนนี้ศิษย์น้องเตรียมที่จะกลับไปยังฐานที่ัมั่นให้ตรงเวลา ศิษย์พี่ล่ะจะทำอย่างไรต่อไป?” หลิ่วหมิงมองดูซากกระดูกศพบนพื้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามออกไปอย่างสงบ
“ข้ามีเรื่องอื่นที่ยังต้องทำอีกเล็กน้อยต้องอยู่ที่นี่ต่ออีกสองวัน คงไม่กลับไปพร้อมกับศิษย์น้องแล้ว ใช่สิ! ครั้งนี้โชคดีที่ศิษย์น้องได้ช่วยไว้ ข้ามีสิ่งของบางอย่างจะมอบให้ ถือว่าตอบแทนที่ช่วยชีวิตไว้” ดรุณีน้อยใบหน้างดงามกล่าวออกมา และหลังจากที่ดวงตาเป็นประกาย พลันหยิบถุงหนังตรงเอวโยนไปให้หลิ่วหมิง
“นี่…นี่คือถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณ!” หลิ่วหมิงรับถุงหนังมาด้วยความตกตะลึง พอนิ้วสัมผัสถึงความเย็นที่ส่งออกมาจากถุงก็หลุดปากออกมาทันที
“ไม่ผิด มีเจ้าสิ่งนี้แล้วศิษย์น้องสามารถพกแมงป่องกระดูกขาวติดตัวได้นาน และไม่ต้องกังวลว่าปราณหยินจะไม่พอจนทำให้พลังของมันค่อยๆ ลดลง” ดรุณีน้อยใบหน้างดงามกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณนี้เกือบเทียบเท่ากับอาวุธจิตวิญญาณ ใบหนึ่งอย่างน้อยก็ต้องใช้หินจิตวิญญาณเกือบหมื่นก้อน มันล้ำค่ามากไปหน่อย ศิษย์น้องเกรงว่าจะไม่สามารถรับไว้ได้” หลิ่วหมิงได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไปมา แต่ยังคงฝืนยิ้มกล่าวออกมา
“ต่อให้จะล้ำค่าแค่ไหน ก็ไม่สำคัญเท่าชีวิตข้าหรอก อีกอย่างข้ายังมีอีกใบที่ดีกว่า ข้าเห็นศิษย์น้องไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย ใยต้องกล่าวออกมาเช่นนี้เล่า” เจียหลานกล่าวอย่างไม่ใส่ใจแล้วดึงถุงหนังอีกใบที่ดีกว่าแกว่งให้หลิ่วหมิงดู
……………………………………….