เหนือทะเลแห่งหนึ่งในแดนวิญญาณ อสูรทะเลระดับต่ำไม่ทราบชื่อสองกลุ่มซึ่งคล้ายกับวาฬยักษ์กำลังกัดกันโดยไม่มีเหตุผล
ชิ้นส่วนของซากสัตว์ที่ถูกทำลายลอยขึ้นจากทะเลเป็นครั้งคราว และเลือดที่ไหลออกมาจากแต่ละชิ้นทำให้พื้นผิวทะเลใกล้เคียงกลายเป็นสีแดงสดจนหมด
ทันใดนั้น กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวพุ่งออกมาจากส่วนลึกของทะเล
อสูรทะเลทั้งสองกลุ่มรับรู้ถึงกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวนี้ ต่างก็ตื่นตระหนก พวกมันหยุดต่อสู้โดยไม่ลังเล ต่างรีบหนีไปในทิศทางที่ต่างกันในทันที
ในชั่วพริบตา นอกจากเศษซากพวกนั้นและกลิ่นเลือดจางๆ ท้องทะเลก็กลับสู่ความสงบดังเดิม
เวลานี้เอง น้ำทะเลที่เขตนี้ก็แบ่งออกเป็นสองฝั่ง เรือยักษ์สีดำสนิทลำหนึ่งบินออกมาตามแนวรอยแยก ด้วยขนาดที่ยาวกว่าพันจั้งของมัน ทำให้ดูเหมือนอสูรสีดำขนาดใหญ่
ที่หัวเรือและท้ายเรือเต็มไปด้วยกลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนมาก ส่วนใหญ่ดูอ่อนวัย ทุกคนต่างตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ชี้นู่นนี่ในทะเลเป็นครั้งคราว
ผู้บำเพ็ญเพียรรุ่นเยาว์บางส่วนหลับตาลง ราวกับกำลังรู้สึกถึงอะไรบางอย่างอยู่เงียบๆ
เรือยักษ์ลำนี้คือเรือศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำหมึกที่เพิ่งกลับมาจากเสี่ยวหลิงเทียน
ตอนที่เรือนี้กลับมาถึงยังก้นทะเล รัศมีแสงเจ็ดสีที่แปรเปลี่ยนเป็นทางเชื่อมเส้นนั้นก็แตกออกโดยที่ไม่สามารถยื้อต่อไว้ได้
หากหานลี่ต้องการไปยังเสี่ยวหลิงเทียนครั้งถัดไป ก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใด อีกทั้งยังต้องตามหาแท่นบูชาโบราณเพื่อคำนวณหาพิกัดอีกครั้ง จึงจะสามารถกลับไปได้
เวลานี้ หานลี่และหนานกงหวั่นยืนเคียงข้างกันอยู่ที่ด้านหน้าสุดของหัวเรือ ผู้คนโดยรอบต่างเว้นระยะห่างด้วยความหวาดกลัว เกิดเป็นที่ว่างขนาดใหญ่ ไม่กล้าเข้าใกล้เลยแม้แต่น้อย
“นี่คือแดนวิญญาณเป็นแน่แท้ ความบริสุทธิ์ของพลังวิญญาณไม่สามารถเทียบกับเสี่ยวหลิงเทียนได้เลย เพียงแค่อยู่ที่นี่พวกเราเหล่าเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ก็สามารถพัฒนาไปได้อีกขั้น และในท้ายที่สุดก็สามารถขึ้นสู่แดนเซียน” หนานกงหวั่นสูดกลิ่นอายของลมทะเลเบาๆ เอ่ยด้วยเสียงพึมพำ
“แดนวิญญาณแท้จริงแล้วแข็งแกร่งกว่าเสี่ยวหลิงเทียน ทว่าผู้ที่ฝึกฝนถึงระดับมหาเมธีมีอยู่ไม่มาก เผ่าอ่อนแออย่างเผ่ามนุษย์ของพวกเรา โดยปกติแล้วจะมีมหาเมธีเพียงแค่หนึ่งหรือสองคน ก็เพียงพอแล้วในแดนวิญญาณ ทว่าหากเป็นเผ่าพันธุ์ใหญ่ที่แข็งแกร่ง โดยพื้นฐานแล้วจะมีมหาเมธีตั้งแต่สองคนขึ้นไป แน่นอนว่าแม้จะเป็นมหาเมธีเช่นเดียวกันก็มีความต่างของพลังอยู่ด้วย ผู้แข็งแกร่งบางคนในระดับมหาเมธีสามารถต่อสู้กับวิญญาณแท้ได้โดยไม่ตายตก และเป็นการง่ายที่จะสังหารผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันหลายคนได้ด้วยพลังของเขาในคราเดียว” หานลี่เอ่ยยิ้มๆ
ระยะเวลาที่ยังอยู่ในเสี่ยวหลิงเทียน เขาได้บอกเล่าสถานการณ์ส่วนใหญ่ของแดนวิญญาณให้แก่พวกผู้บำเพ็ญเพียรฟัง ดังนั้นคนเหล่านี้ที่กลับมาจากเสี่ยวหลิงเทียนจึงไม่ได้ไม่รู้เรื่องของแดนวิญญาณ
“ดูจากท่าทีมั่นใจในตัวเองเช่นนี้ของสามีแล้ว ท่านต้องเป็นหนึ่งใน ‘ผู้แข็งแกร่ง’ อย่างแน่นอน ข้าไม่คิดเลยว่าสถานการณ์ของเผ่ามนุษย์ในแดนวิญญาณจะไม่เป็นไปด้วยดีถึงเพียงนี้ ตอนนี้มีท่านแล้ว ทุกอย่างน่าจะดีขึ้นหรือเปล่า” หนานกงหวั่นกล่าวพลางถอนหายใจ
“ข้าคิดว่าในการต่อสู้คนเดียวจะไม่ด้อยกว่ามหาเมธีคนอื่นๆ แต่สุดท้ายแล้ว เวลาที่ก้าวเข้าสู่ระดับมหาเมธีของข้าก็ยังสั้นอยู่ หากต้องการฟื้นฟูเผ่าพันธุ์มนุษย์คงจะต้องใช้เวลาอีกนาน” หานลี่กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“แน่นอนอยู่แล้ว ภรรยาเชื่อว่าด้วยพลังของสามีจะต้องทำเรื่องนี้สำเร็จได้ในวันหนึ่ง” หนานกงหวั่นจ้องมองที่หานลี่และกล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยน
“ข้าก็หวังเช่นนั้น” หานลี่เอ่ยด้วยแววตาเป็นประกาย
“เราจะกลับไปที่แผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนได้อย่างไร หรือว่าต้องเดินทางข้ามทะเลนี้ต่อไป” หนานกงหวั่นถามขึ้นหลังจากที่มองไกลออกไปในท้องทะเล
“ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น ข้ารู้จักกับหัวหน้าของกลุ่มพันธมิตรการค้าเฮ่อเหลียนที่อยู่ใกล้เคียงกับแผ่นดินใหญ่นภาสีเลือด เขตอาคมส่งตัวที่เขาควบคุมอยู่สามารถส่งพวกเรากลับไปยังเฟิงหยวนได้โดยตรง” หานลี่กล่าวโดยไม่ต้องคิด
“เช่นนี้ดีที่สุดเลย ข้าคิดอยากที่จะเห็นสถานที่อยู่อาศัยของเผ่ามนุษย์ในโลกวิญญาณในสักวันหนึ่ง” หนานกงหวั่นเผยรอยยิ้มงดงาม
หานลี่ยิ้มบางๆ และไม่ได้กล่าวอะไรอีก หันไปตั้งพิกัดทิศทางที่จะไป จากนั้นเรือยักษ์ก็พุ่งตัวออกไปยังแผ่นดินใหญ่นภาสีเลือดด้วยเสียงคำราม
ไม่กี่เดือนต่อมา เรือศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำหมึกก็ได้ปรากฏตัวขึ้นเหนือเมืองท่าขนาดใหญ่ในแผ่นดินใหญ่นภาสีเลือด และลอยตัวอยู่เหนือสิ่งก่อสร้างทรงสามเหลี่ยมขนาดใหญ่นิ่งๆ
หานลี่และหนานกงหวั่นอยู่ที่ห้องโถงในอาคารสามเหลี่ยม
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งบอกเล่าเรื่องราวบางอย่างให้แก่ทั้งสองคนด้วยท่าทีระแวดระวัง
“อะไรนะ กองกำลังของกลุ่มพันธมิตรของท่านในตอนนี้หดหายไปเกือบหมด อีกทั้งท่านนักพรตปี้อิ่งยังเสียชีวิตแล้ว เจ้าคงไม่ได้ล้อข้าเล่นใช่หรือไม่ ข้าจากไปจากแผ่นดินใหญ่เป็นเวลาสั้นๆ เท่านั้น เรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร” สีหน้าของหานลี่มืดครึ้มลง จ้องมองไปที่ชายวัยกลางคนตรงหน้าแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ผู้อาวุโสหานถือเป็นลูกค้ากิตติมาศักดิ์ของกลุ่มพันธมิตรของเรา ข้าน้อยจะกล้าเอ่ยความเท็จกับท่านได้อย่างไร เรื่องนี้รับรู้กันไปทั่วทั้งแผ่นดินนี้ หากท่านไม่เชื่อ ก็ลองออกไปสอบถามผู้คนด้านนอกดู ว่าเรื่องที่ข้าน้อยกล่าวเป็นความจริงหรือไม่” ชายวัยกลางคนเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่นในขณะที่โค้งคำนับครั้งแล้วครั้งเล่า
“มารร้ายตนนั้นทรงพลังมาก สามารถสังหารผู้แข็งแกร่งระดับมหาเมธีจำนวนมากเช่นนี้ด้วยพลังของเขาเพียงผู้เดียว ไม่ว่าเขาจะใช้วิธีการใด นี่เป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อ กลุ่มพันธมิตรของท่านรับรู้ข่าวสารอยู่เสมอ สามารถตรวจสอบที่มาของมารร้ายตนนี้อย่างชัดเจนได้หรือไม่” หลังสีหน้าของหานลี่เปลี่ยนไปมาอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยถามออกมาอีกครั้ง
“เรื่องนี้ข้าน้อยไม่สมควรเอ่ยถึง! อาจจะมีข้อมูลที่แม่นยำของพันธมิตรทางด้านนั้น ทว่าข้าเป็นเพียงผู้รับผิดชอบสาขาหนึ่งของกลุ่มพันธมิตร รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่มาก” ชายวัยกลางคนครุ่นคิดครู่หนึ่ง จึงเอ่ยตอบเช่นนี้
“รู้ไม่มาก แต่ก็ยังรู้บ้าง ท่านนักพรตไม่ต้องกังวลไป แค่เล่าเรื่องที่รู้ออกมา หรือว่าด้วยสถานะของสามีข้า ก็ยังไม่สามารถที่จะทราบเรื่องเหล่านี้” หนานกงหวั่นที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้นยิ้มๆ
เรื่องเกี่ยวกับมารร้ายตนนี้ หานลี่อธิบายให้นางฟังมาบ้างแล้ว
ตอนที่นางได้ยินครั้งแรกว่าที่แดนวิญญาณนี้มีมารร้ายที่แอบสังเวยโลหิต ย่อมตกตะลึงเป็นอย่างมาก
“ข้าน้อยจะกล้าคิดเช่นนั้นได้อย่างไร หากผู้อาวุโสหานต้องการทราบ ข้าน้อยก็จะเล่าให้ท่านฟังโดยไม่ปิดบัง” ในใจของชายวัยกลางคนหนาวยะเยือก รีบร้อนกล่าวอธิบายออกมา
หานลี่ได้ฟังดังนั้น พยักหน้าด้วยสีหน้าที่อ่อนลง
หนานกงหวั่นที่อยู่ด้านข้างมีสีหน้าจริงจัง เตรียมพร้อมที่จะตั้งใจฟัง
“การปรากฏตัวของมารร้ายตนนี้แปลกมาก ดูเหมือนว่าจะโผล่มาจากความว่างเปล่าสักแห่งในนภาสีเลือด อีกทั้งเมื่อใช้วิทยายุทธ์บางอย่างตรวจสอบดูแล้ว พบว่ามารร้ายตนนี้ไม่ได้เป็นคนของแผ่นดินใหญ่นี้อย่างแน่นอน ตอนนี้ที่ด้านนอกลือกันว่า เป็นผู้แข็งแกร่งที่ข้ามแดนมาจากดินแดนที่แข็งแกร่งอื่นๆ หรือเป็นผู้มาเยือนที่มาจากโลกเบื้องบน และตามข้อมูลที่ข้าได้รับมา มีโอกาสแปดในสิบส่วนที่จะเป็นอย่างหลัง” ชายวัยกลางคนลดเสียงลงโดยไม่รู้ตัวและพูดประโยคสุดท้าย หางตาของเขากระตุกโดยไม่ตั้งใจ
“ผู้มาเยือน? เจ้าจะบอกว่ามารร้ายตนนี้คือเซียนที่ลงมาจากแดนเซียนอย่างนั้นหรือ! เจ้าแน่ในเรื่องนี้ได้อย่างไร” หานลี่ที่ได้ยินสิ่งนี้ก็อดที่จะตกใจไม่ได้
สีหน้าของหนานกงหวั่นเปลี่ยนไปมากยิ่งขึ้น
“ว่ากันว่ามีคนเคยลอบสังเกตการณ์จากระยะไกลเมื่อมารร้ายตนนี้ใช้อิทธิฤทธิ์ยิ่งใหญ่บางอย่าง ดูเหมือนว่าจะทำให้พลังของพื้นผิวดินแดนพิโรธ ทำให้โซ่แห่งอาคมปรากฏออกมา เจาะทะลุกระดูกและเนื้อทั่วร่างกาย ผนึกพลังอาคมส่วนใหญ่ของเขาเอาไว้ หากไม่ใช่เซียนจากแดนเซียน จะทำให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และดินแดนทรงพลังอื่นๆ ที่รับรู้กันอาจจะมีการเกิดขึ้นของสิ่งมีชีวิตอันทรงพลัง แต่การที่มารร้ายตนนี้จัดการกับใต้เท้าปี้อิ่งและผู้แข็งแกร่งอื่นอีกมากมายในคราเดียวกัน เป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ แม้แต่วิญญาณแท้โบราณที่ทรงพลังอย่างหงส์ฟ้าในตำนานก็ไม่มีทางทำเรื่องเหล่านี้ได้” ในที่สุดชายวัยกลางคนก็บอกเล่าการวินิจฉัยของเขา และพูดถึงที่มาที่แท้จริงของ “มารร้าย”
“หากเรื่องโซ่แห่งอาคมเป็นเรื่องจริง การวินิจฉัยของเจ้าก็มีเหตุผล ทว่าข้ายังไม่ปักใจเชื่อว่ามีจะมีเซียนแท้ปรากฏขึ้นที่แดนวิญญาณ ข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียดที่หอของกลุ่มพันธมิตรของท่าน จริงสิ นักพรตปี้อิ่งไม่อยู่แล้ว ตอนนี้ใครเป็นผู้นำของกลุ่มพันธมิตรของพวกท่าน อีกทั้งมารร้ายตนนั้นตอนนี้อยู่ที่ใด ยังคงสังเวยโลหิตของสิ่งมีชีวิตอยู่หรือไม่” หานลี่เอ่ย
“หลังการเสียชีวิตของใต้เท้าปี้อิ่ง กลุ่มพันธมิตรของพวกเราได้รับความร่วมมือจากผู้เฒ่าหลายท่านร่วมกันดูแลจนกว่าจะมีการเลือกผู้นำกลุ่มพันธมิตรในครั้งถัดไป ส่วนมารร้ายตนนั้น จนถึงตอนนี้ได้สังเวยโลหิตของสิ่งมีชีวิตทางทิศตะวันตกของแผ่นดินใหญ่นภาสีเลือดทั้งหมดไปจนเกือบหมดแล้ว ทว่าสองเดือนก่อนหน้านี้ มารร้ายตนนี้กลับบุกไปยังสำนักคราบโลหิต สังหารผู้อาวุโสระดับมหาเมธีทั้งสองของสำนักและศิษย์ระดับกลางถึงสูงอีกหลายพันคน จากนั้นจึงใช้พื้นที่ของสำนักนี้จัดตั้งเป็นเขตอาคมข้ามแผ่นดินและได้จากไปแล้ว” ชายวัยกลางคนตอบอย่างสัตย์จริง
“เขตอาคมข้ามแผ่นดิน? เขาไปยังแผ่นดินใหญ่อื่นแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาไปที่ใด” หานลี่แสดงความตกใจในที่สุด
หนานกงหวั่นก็ราวกับคิดบางอย่างขึ้นมาได้ ใบหน้าของนางก็แสดงความกังวลด้วยเช่นกัน
“จากการตรวจสอบหลังเกิดเหตุ ดูเหมือนว่ามารร้ายตนนั้นจะไปยังแผ่นดินใหญ่ฟ้าคำราม” ชายวัยกลางคนตอบหลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
หลังจากหานลี่ได้ยินดังนี้ สีหน้าก็อ่อนลงเล็กน้อย ทว่าความเคร่งเครียดที่อยู่ระหว่างคิ้วเขายังไม่หายไป หลังจากสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้กับชายวัยกลางคนเพิ่มเติมเล็กน้อย ก็แสดงความเคารพและพาหนานกงหวั่นจากไปจากห้องโถง เหาะออกจากอาคารแล้วมุ่งตรงไปยังเรือยักษ์ที่อยู่กลางอากาศโดยทันที
…
เหนือทะเลสาบสีเขียวมรกตไร้ขอบเขตแห่งหนึ่งในแผ่นดินใหญ่ฟ้าคำราม เส้นใยผลึกสายหนึ่งพุ่งออกมาด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ ในชั่วพริบตา ก็มาถึงสถานที่ห่างออกไปหลายพันจั้งและยังคงมุ่งหน้าออกไปโดยไม่มีหยุด
เมื่อเห็นรูปร่างของเกาะที่มีต้นไม้กระจัดกระจายอยู่ข้างหน้า เส้นใยผลึกก็พลิกกลับและพุ่งลงมาทันที
เสียง “ปึง” ดังขึ้น
ที่ด้านบนสุดของภูเขาดินสีเหลืองเพียงแห่งเดียวบนเกาะ มีหลุมขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น ด้านในมีชายหนุ่มชุดขาวที่คุกเข่าข้างเดียวและหญิงสาวในชุดสีเงินปรากฏขึ้น
“พักสองชั่วยาม แล้วค่อยเดินทางต่อ” หลังชายชุดขาวพ่นก้อนโลหิตออกมา ก็ลุกขึ้นยืนอย่างโงนเงน กัดฟันเอ่ยออกมา
“สองชั่วยามเพียงพอหรือ หลังปราณของท่านตอนนี้ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ถึงจะมีวิธีรักษาชั่วคราว แต่หากเจ้ายังใช้เคล็ดวิชาลับต่อไปเช่นนี้ เกรงว่าจะไม่สามารถรักษามันไว้ได้อีกต่อไป” หญิงสาวชุดเงินเอ่ยหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง
“หึ เช่นนั้นเจ้าจะทำอย่างไร ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นกินยาอะไรไป จู่ๆ ก็ไม่ดำเนินการสังเวยโลหิตต่อ แต่กลับไล่ล่าพวกเราอย่างเอาเป็นเอาตาย ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่สำนักคราบโลหิต ถ้าไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายไล่ตามติดมากะทันหัน เหตุใดพวกเราจะไม่รั้งรอเขตอาคมส่งตัวปรับแต่งตำแหน่งให้เสร็จก่อน แล้วถูกส่งตัวมายังแผ่นดินใหญ่ฟ้าคำรามโดยไม่ตั้งใจ” ชายหนุ่มชุดขาวตอบด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง