“เรื่องนี้จะน่าแปลกใจอันใด เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าเจ้าคนบ้านั่นจะมองวิธีการยึดครองดวงวิญญาณของพวกเราไม่ออก เดิมทีเขาก็สนใจแต่การสังเวยโลหิตอีกทั้งหยิ่งผยองมาก ตอนนี้มีข้ออ้างที่ไม่เลวแล้ว ก็คร้านที่แยกแยะจริงเท็จ ด้วยอิทธิฤทธิ์เซียนของเขามหาเมธีธรรมดาจะต้านทานเขาได้อย่างไร” ชายหนุ่มเจี่ยวชือตอบด้วยรอยยิ้มเยาะ
“ก็จริง ทว่าข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะรู้เคล็ดวิชาลับการยึดครองวิญญาณที่แสนลึกลับเช่นนี้ อีกทั้งยังสามารถกำจัดการเฝ้าติดตามของอีกฝ่ายได้ชั่วคราว เช่นนี้แล้ว หากใช้วิธีนี้ตั้งแต่แรก ก็ไม่จำเป็นต้องถูกศัตรูไล่ตามอย่างไม่ลดละ” หญิงชาวเจี่ยวชือถามออกมาด้วยความไม่เข้าใจ
“เจ้ารู้อะไรหรือไม่ วิธีนี้แตกต่างจากวิชาผูกมัดจิตใจและยึดครองปราณก่อกำเนิดทั่วไป นี่เป็นการผูกมัดจิตวิญญาณเข้ากับกายเนื้อของผู้อื่นอย่างสมบูรณ์ การร่ายคาถานั้นอันตรายมาก ข้าเองก็มีโอกาสเพียงแค่เจ็ดถึงแปดส่วนที่จะทำสำเร็จ อีกทั้งหลังจากคลายวิชาแล้ว ร่างหลักจะตกสู่ห้วงนิทราชั่วคราว และอยู่ในร่างที่เราผูกมัดจิตวิญญาณได้เพียงชั่วคราว อีกทั้งอิทธิฤทธิ์ย่อมถูกผนึกเอาไว้กว่าครึ่ง หากไม่ถึงคราวจวนตัวจริงๆ ข้าก็จะไม่ทำเรื่องที่เสี่ยงถึงเพียงนี้ ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดหลบซ่อนสายตาของมันได้ชั่วคราว ข้าคิดว่าเหตุผลคงเป็นเพราะวิธีนี้เป็นเคล็ดวิชาลับของแดนเซียน เรื่องนี้เป็น ข้าไม่ได้นึกถึงก่อนหน้านี้ เดิมทีข้าเตรียมวิธีการรับมืออีกอย่างหนึ่งเพื่อหลีดหนีจากความวุ่นวาย ทว่าก็ไม่ได้ใช้งาน” ชายเจี่ยวชือกล่าวด้วยความหดหู่เล็กน้อย
จากบทสนทนาของทั้งสองคนแล้ว ที่แท้คือลิ่วอี้และปิงเฝิงนั่นเอง
ไม่รู้ว่าใช้วิธีการอันใด แต่พวกเขาทั้งสองผูกจิตวิญญาณไว้กับร่างของคนในเผ่างเจี่ยวชือ และหลบหนีการล่าสังหารของศัตรูได้ชั่วคราว
“เคล็ดวิชาลับของเซียน? เจ้าได้รับวิทยายุทธ์นี้มาได้อย่างไร” ปิงเฝิงรู้สึกประหลาดใจ
“ข้าเคยเข้าไปในที่พำนักของต่างเผ่าในถิ่นทุรกันดารโดยบังเอิญ และได้หน้าหนึ่งของหนังสือหยกทองคำมา ด้านในบันทึกเคล็ดวิชาลับของเซียนที่น่าทึ่งเอาไว้ น่าเสียดายที่เคล็ดวิชานี้ต้องเป็นเซียนเท่านั้นจึงจะสามารถฝึกฝนได้สำเร็จโดยสมบูรณ์ การผูกจิตวิญญาณนี้เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ในวิธีการนั้น และเป็นส่วนเดียวที่ข้าสามารถฝึกฝนได้ น่าเสียดายมากที่การผูกจิตนี้อยู๋ได้เพียงแค่ครึ่งวัน เมื่อหมดเวลาพวกเราก็จำเป็นต้องกลับไปร่างหลัก มิเช่นนั้นหากหนีไปทั้งอย่างนี้ ก็ดูเหมือนจะไร้สิ้นความหวัง” ลิ่วอี้เอ่ยด้วยความเสียใจ
“ช่างมันเถอะ เจ้ารู้เคล็ดวิชาของเซียนที่สามารถปิดปังการไล่ล่าของศัตรูได้ชั่วคราวก็เป็นเรื่องที่น่าตกใจมากแล้ว ตอนนี้ตราบใดที่เคล็ดวิชานี้ยังคงอยู่ รีบไปที่เมืองอีกเมืองของเผ่าเจี่ยวชือเถิด หากไปถึงก็ถือว่าประสบความสำเร็จ ด้วยการเผด็จการของเผ่าเจี่ยวชือในแผ่นดินใหญ่ฟ้าคำราม อีกทั้งยังมีการสังเวยโลหิตที่เมืองไก้หลิง ข้าไม่เชื่อว่าทั้งสองจะไม่ลงมืออย่างยิ่งใหญ่ ขอเพียงแค่เจ้าบ้านี้ถูกสกัดไว้ได้เพียงชั่วคราว พวกเราก็มีเวลาพอที่จะตามหาเขตอาคมส่งตัวอีกครั้ง แล้วเดินทางกลับไปยังแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวน ในครั้งนี้ ตราบใดที่เขาไม่ไล่ตามาในทันที หากต้องการตามหาพวกเราคงเป็นเรื่องยากแล้ว หากไม่สำเร็จอีกครั้ง พวกเราก็ต้องไปหานักพรตหาน ด้วยอิทธิฤทธิ์ของพี่หานที่เคยสังหารหนอนเพลี้ยตัวแม้แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิธีที่จะลบตราประทับในจิตวิญญาณของพวกเรา” ปิงเฝิงกล่าวด้วยดวงตาเป็นประกาย
“หาหานลี่ ฝันไปเถอะ! ข้ายอมที่จะตายดีกว่าที่จะทำตามวิธีนี้” ลิ่วอี้มีโทสะเมื่อได้ยินดังนี้
“หึ เจ้าทำให้เซียนแท้บ้านั่นขุ่นเคืองใจถึงเพียงนี้ คิดหรือว่าหากเขาจับได้จริงๆ จะปล่อยให้เราตายอย่างง่ายดาย” ปิงเฝิงไม่แปลกใจเมื่อได้ยินดังนี้ กลับเอ่ยอย่างเฉยเมย
“เรื่องนี้อย่างเพิ่งพูดถึงตอนนี้เลย ถึงเวลานั้นค่อยพูด บางทีเมื่อกลับไปยังแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนแล้ว ก็เป็นเรื่องง่ายที่จะสลัดเจ้าเซียนบ้านั่น” ลิ่วอี้กลับคืนสู่ความสงบ
“ได้ ในเมื่อเจ้าเอ่ยเช่นนี้ เช่นนั้นค่อยๆ ทำไปทีละขั้นตอน ตอนนี้รีบไปยังเมืองหลักถัดไปของเจี่ยวชือเถิด ข้ารับรู้ได้ลางๆ ว่าร่างนี้จะคงอยู่ได้อีกไม่นาน และเจ้าบ้านั่นจะต้องรู้ตำแหน่งของเราในอีกครั้งในไม่ช้า” ปิงเฝิงไม่ได้เอ่ยถึงหานลี่อีกต่อไป
ในเวลาต่อมา ทั้งสองก็กลายเป็นเส้นแสงสีเขียวพุ่งออกไปด้านหน้าในทันที
ครึ่งเดือนต่อมา ชายหนุ่มร่างผอมที่ตามมาถึงอีกเมืองหนึ่งของเผ่าเจี่ยวชือ กำลังคิดถึงเรื่องที่จะใช้แม่น้ำเลือดสังเวยโลหิตเมืองทั้งเมือง ในที่สุดก็ได้เผชิญหน้ากับการซุ่มโจมตีของผู้อาวุโสมหาเมธีทั้งหกที่ได้เตรียมการไว้ก่อนหน้านี้
เมื่อมีคนจำนวนมากในเผ่าถูกสังเวยโลหิต อีกทั้งมหาเมธีสองคนถูกสังหาร ย่อมไม่มีความคิดที่จะเสวนากับศัตรูตัวฉกาจด้านหน้าอีกต่อไป ทันทีที่อีกฝ่ายปรากฏตัว ก็ร่วมมือกันกระตุ้นเขตต้องห้ามที่ติดตั้งไว้ก่อนหน้านี้
เซียนแท้ผู้มาเยือนนั้น ไม่ได้ใช้ยันต์ลึกลับใบนั้นที่ปลดโซ่แห่งอาคมบนร่างกาย ใช้เพียงแค่อิทธิฤทธิ์ของตนต่อสู้กับผู้อาวุโสมหาเมธีทั้งหกจนสะเทือนเลืองลั่นไปทั่วฟ้าปฐพี
เห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่าทั้งหกไม่ใช่มหาเมธีธรรมดา พวกเขาล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับต้นๆ ของแดนนี้ ทั้งหกคนร่วมมือกับอีกทั้งยังมีพลังจากเขตต้องห้ามเป็นตัวช่วยเสริม ก็เกือบจะกวาดล้างทั้งแผ่นดินใหญ่ฟ้าคำรามได้
เซียนแท้ผู้มาเยือน แม้ว่าพลังส่วนมากของเขาจะถูกจำกัด ทว่านอกจากเคล็ดวิชาของเซียนหลายแขนงแล้ว เขายังมีของวิเศษเซียนอีกเป็นจำนวนมาก ย่อมไม่มีความเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย
ทันทีที่สองฝ่ายปะทะกัน พวกเขาต่างไม่ออกมือให้กัน และยิ่งทำให้การต่อสู้รุนแรงขึ้นไปอีก
ในท้ายที่สุด การต่อสู้นี้กินเวลากว่าครึ่งวัน จบลงด้วยการเสียชีวิตของมหาเมธีสี่คน และอีกสองคนได้รับบาดเจ็บสาหัสจนต้องหลบหนีไป
ทันทีที่ทั้งสองฝ่ายเล่นกันเอง พวกเขาอยู่ในตำแหน่งที่ดี แต่ก็ทำให้การต่อสู้ที่ด้านหลังรุนแรงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
ทว่าในวินาทีสุดท้ายของการต่อสู้ มหาเมธีทั้งสี่ของเผ่าเจี่ยวชือระเบิดพลังของของวิเศษลึกลับออกมาพร้อมกัน ทำให้หม่าเหลียงบาดเจ็บสาหัส
ภายใต้ความโกรธเกรี้ยวของเซียนแท้ผู้มาเยือน เขาได้เริ่มการล้างบาง โดยการสังเวยโลหิตเมืองใหญ่ของเผ่าเจี่ยวชืออย่างต่อเนื่อง
ในสถานการณ์เช่นนี้ สมาชิกอาวุโสที่เหลืออยู่ของเผ่าเจี่ยวชือทำอะไรไม่ถูก ในที่สุดก็ต้องขอความช่วยเหลือจากสัญญาโบราณ พวกเขาเรียก วิญญาณแท้โบราณจากมิติอื่นออกมาสามตัวในคราเดียว “มังกรกีบ” “นกยูงสงบ” “กวางแสงจันทร์” เพื่อต่อสู้กับหม่าเหลียงอีกครั้ง
การต่อสู้ที่ดุเดือดนี้กินเวลาหลายวัน และส่งผลโดยตรงต่อพื้นที่ภายในรัศมีหลายลี้
สามวันต่อมา เมื่อการต่อสู้อันดุเดือดหยุดลง ผู้คนเผ่าเจี่ยวชือก็หลบหนีไปโดยทันที
ผลของสงครามครานี้คือ นอกจากร่องรอยที่เหลืออยู่ของการต่อสู้แล้ว วิญญาณแท้โบราณสามตนก็หายไป และหม่าเหลียงก็หายไปโดยไร้ร่องรอย
หลังจากนั้นเผ่าเจี่ยวชือใช้เคล็ดวิชาลับติดต่อกับวิญญาณแท้โบราณทั้งสาม แต่ก็ไม่เป็นผล
สิ่งนี้ทำให้สมาชิกอาวุโสของเผ่าทั้งหมดมองหน้ากันด้วยความตกใจ
ในเวลานี้ เรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับ “มารร้ายที่ไม่มีใครเปรียบ” จากแผ่นดินใหญ่นภาสีเลือด ในที่สุดก็ถูกส่งมาถึงยังแผ่นดินใหญ่ฟ้าคำราม
ด้วยสถานการณ์ของหม่าเหลียงที่ตอนนี้ไม่มีใครทราบ ทุกเผ่าในแผ่นดินใหญ่ฟ้าคำรามเริ่มพูดถึง “มาร”
ลิ่วอี้และปิงเฝิงเมื่อได้ยินข่าวการหายตัวไปของหม่าเหลียง ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง และปฏิบัติตามแผนเดิมโดยไม่ลังเล
ผ่านไปกว่าหนึ่งเดือน ทั้งสองก็เข้าสู่ดินแดนของอีกตระกูลใหญ่ หลังจากจ่ายสิ่งตอบแทนไปแล้ว ในที่สุดพวกเขาก็กลับมาที่แผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนด้วยแรงเคลื่อนย้ายข้ามแผ่นดิน
…
ในเวลาเดียวกัน หานลี่พาหนานกงหวั่นและคนอื่นๆ ปรากฏกายขึ้นที่มุมหนึ่งของเขตอาคมขนาดใหญ่ในแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวน
เขตอาคมนั้นตั้งอยู่ที่สำนักขนาดใหญ่ ผู้คุ้มกันหลายสิบคนที่เฝ้าระวังอยู๋ใกล้ๆ เมื่อเห็นคนจำนวนมากปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าพวกเขา กลับไม่แสดงสีหน้าตกใจเลยแม้แต่น้อย
ผู้คุ้มกันที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้า กวาดตามองหานลี่เล็กน้อย ก็เอ่ยด้วยความเคารพ
“ข้าน้อยได้รับคำสั่งให้มารอต้อนรับผู้อาวุโส นายท่านรออยู่ใกล้ๆ นานแล้ว อยากจะพบหน้าผู้อาวุโสหาน”
“โอ้ ที่แท้เป็นคำเชิญจากนักพรตหมิงจุน แน่นอนว่าข้าย่อมไปพบหน้า เจ้านำทางเถอะ หวั่นเอ๋อร์ พวกเจ้าพักผ่อนอยู่แถวนี้เถิด” ดวงตาของหานลี่เป็นประกายเล็กน้อย พยักหน้าเอ่ยตอบ
“สามีไปเถิด ข้าจะจัดการทุกอย่างที่นี่เอง” หนานกงหวั่นเมองผู้คุ้มกัน เอ่ยพลางดึงสายตากลับมา
ภายใต้การเรียกของหนานกงหวั่น คนกลุ่มหนึ่งก็เคลื่อนตัวออกมาจากเขตอาคมส่งตัว ต่างก็นั่งขัดสมาธิตามที่ต่างๆ นอกสำนัก
ในเวลานี้ หานลี่ได้ติดตามผู้คุ้มกันไปยังบ้านหินใกล้สำนักที่ถูกปกคลุมด้วยป่าทึบ
ไม่รอให้หานลี่เดินมาถึงหน้าบ้านหิน ประตูหินที่แต่เดิมปิดอยู่พลันเปิดออกด้วยตนเอง เสียงของชายชราดังออกมาจากด้านใน
“นักพรตหาน ในที่สุดเจ้าก็มา เข้ามาเถิด ผู้เฒ่ารอเจ้ามานานแล้ว”
“ให้ท่านรอนานเสียแล้ว เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจ” คิ้วของหานลี่เลิกขึ้น ก้าวเดินเข้าประตูหินไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ที่กลางบ้านหิน นอกจากโต๊ะไม้สีเหลืองอ่อนและเก้าอี้ไม้จันทร์จำนวนหนึ่ง ก็ไม่มีของอื่นอีก
ชายชราผมสีแดงผู้หนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ก้มศีรษะหมุนม้วนคัมภีร์หยกสีขาวที่อยู่ในมือเล่น
“นักพรตหาน เชิญนั่ง ครั้งก่อนข้าปล่อยข่าวของท่านให้แก่นักพรตปี้อิ่ง หวังว่าท่านนักพรตจะไม่แปลกใจ” หมิงจุนเมื่อเห็นว่าหานลี่เข้ามาแล้ว เงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้
“ไม่เป็นไร อีกทั้งนักพรตปี้อิ่งก็เสียชีวิตแล้ว เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงอีกต่อไป” หลังหานลี่ส่ายหัว ก็นั่งลงตรงข้ามกับชายชรา
“จริงด้วย ไม่เคยคิดเลยว่าเจ้าปี้อิ่งจะนำหน้าข้าไปก่อนแล้ว ตอนนี้ที่แผ่นดินใหญ่นภาสีเลือด กลุ่มพันธมิตรคงจะได้รับความทุกข์ทรมานไม่น้อย อิทธิพลของกลุ่มคงจะลดน้อยลงมากเลยทีเดียว” หมิงจุนเอ่ยพลางถอนหายใจ
“ผู้คนของกลุ่มพันธมิตรลดน้อยจริงๆ ทว่าภายใต้การจัดการดูแลของผู้อาวุโสหลายท่าน ก็ไม่มีปัญหาอะไรมาก ที่ข้ากลับมาแผ่นดินใหญ่นภาสีเลือดในครั้งนี้ได้อย่างราบรื่น ต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสเหล่านี้” หานลี่เอ่ยอย่างเป็นกลาง
“เช่นนี้ก็ดี ข่าวคราวเกี่ยวกับมารร้ายตนนั้น นักพรตหานคงรับรู้มาบ้างไม่น้อย” ในที่สุดหมิงจุนก็เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลกับผู้เฒ่าในกลุ่มพันธมิตรมาบ้างแล้ว เรื่องที่ข้ารู้ไม่นับว่ามากแต่ก็ไม่นับว่าน้อย ทว่าไม่ต้องสงสัยเลยว่าการคงอยู่ของมารร้ายตนนี้ไม่ด้อยไปกว่าหนอนเพลี้ยตัวแม่อย่างแน่นอน” หางตาของหานลี่กระตุก สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย