A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 2403 อันตรายของพันธมิตรซาง

“นายท่านสำแดงอิทธิฤทธิ์เลย ข้าน้อยจะเป็นผู้คุ้มกันเอง” หยางลู่เอ่ยอย่างไม่ต้องขบคิด

“ได้ เช่นนั้นก็หาที่จัดการด้านหน้าเถิด” หม่าเหลียงพยักหน้าแล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ

ดังนั้นทั้งสองจึงกลายเป็นลำแสงหลีกหนีตรงไปยังยอดเขายักษ์ตรงหน้าทันที

สองสามชั่วยามต่อมาใจกลางเทือกเขาเหนือยอดเขายักษ์แห่งหนึ่ง ชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีดำหลับตานั่งสมาธิอยู่บนพื้น เบื้องหน้ามีลูกบอลผลึกสีดำขาวหนึ่งล้วนหมุนวนโคจรไปมาไม่หยุด หน้าผีสีแดงโลหิตปรากฏขึ้นด้านบน

หม่าเหลียงชี้นิ้วไปที่ลูกบอลผลึก ทันใดนั้นหน้าผีก็มีสีหน้าโหดเหี้ยมปรากฏขึ้น ดวงตาทั้งสองข้างจ้องเขม็งไปยังทิศทางหนึ่ง และครู่ต่อมาก็พ่นลูกบอลลำแสงสีแดงโลหิตออกมา

ลูกบอลลำแสงลูกนี้แค่เปล่งแสงสว่างวาบ ก็จมหายเข้าไปในหว่างคิ้วของชายหนุ่มชุดดำอย่างเงียบเชียบ

“หึ สองคนนั้นหนีมาที่แผ่นดินใหญ่แห่งนี้ดังคาด เอ๋ ดูจากทิศทางที่ไป ดูเหมือนจะใกล้กับพันธมิตรเฮ่อซางเหลียน หรือว่าพวกเขาหนีไปที่นั่น” หม่าเหลียงเบิกตาทั้งสองข้าง ใบหน้าเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา

“ในเมื่อคนของพันธมิตรซางคิดแผนร้ายกับนายท่าน อาจจะคุ้มครองสองคนนั้นไว้จริงๆ” หยางลู่ที่ยืนอยู่ด้านข้าง กลอกตาไปมาแล้วรีบร้อนตอบกลับ

“หากเป็นเช่นนั้นก็ดี จะได้จัดการพวกเขาพร้อมกัน” หม่าเหลียงหัวเราะอย่างเย็นชา แล้วอ้าปากออก เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น ลูกบอลผลึกและหน้าผีกลายเป็นไอสีดำขาวแล้วพลันสูบเข้าไปในท้อง

จากนั้นเขาพลันมีสีหน้าเคร่งขรึม มือหนึ่งตบไปที่เหนือศีรษะ ชั่วขณะนั้นลำแสงสีทองพลันหมุนวน คนตัวเล็กที่มีรัศมีลำแสงห้าสีแผ่ออกมาปรากฏขึ้น

คนตัวเล็กและหม่าเหลียงมีใบหน้าเหมือนกันทุกระเบียบนิ้ว แต่ร่างกายกลับโปร่งแสงราวกับร่างเคลือบมันวาว มือเล็กกวักออกไปกลางอากาศ ทันใดนั้นยันต์วิเศษสีทองสายหนึ่งก็ม้วนวนออกมาจากร่าง แล้วเริงระบำอยู่รอบๆ

คนตัวเล็กร่างใสแจ๋วมีสีหน้าเคร่งขรึม สองมือร่ายอาคม นิ้วทั้งสิบร่ายไปทางยันต์วิเศษสีทองราวกับล้อรถ

ยันต์วิเศษนี้มีเสียงอึกทึกดังขึ้น เงาลวงตาสีเทาขาวทะลักออกมา

เงาลวงตานี้ดูเหมือนชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา แต่ดวงตาทั้งสองกลับไร้ความรู้สึก แค่ลอยอยู่กลางอากาศนิ่งๆ และยิ่งไปกว่านั้นลำแสงสีดำขาวและยันต์วิเศษก็เชื่อมโยงกันอยู่ในร่างลางๆ

“ลำบาก”

คนตัวเล็กใสแจ๋วตะโกนต่ำๆ พูดใส่อาคมหลีกหนี รัศมีลำแสงห้าสีที่ผิวหนังหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง

หลังจากที่เงาร่างของชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเลือนราง ฉับพลันนั้นดวงตาทั้งสองข้างก็มีเลศนัยมองไปยังทิศทางหนึ่งแล้วกระโจนออกไป แต่หลังจากที่บินออกไปได้ร้อยจั้งเศษ ก็ถูกลำแสงสีดำขาวดึงเอาไว้

“ฮ่าๆ ในที่สุดก็หาเป้าหมายของแดนล่างพบ ดูแล้วอีกไม่นาน ก็คงกลับไปยังแดนเซียนได้อย่างง่ายดาย” คนตัวเล็กตัวใสๆ มีสีหน้ายินดี ทนไม่ไหวหัวเราะร่าออกมา

จากนั้นอาคมในมือของคนตัวเล็กก็เปลี่ยนไป ตัวและยันต์วิเศษสีทองรวมทั้งเงาลวงตาบุรุษรูปงามล้วนเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป

ด้านล่างร่างของหม่าเหลียงเบิกตาขึ้นด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น อาศัยพลังสัมผัสวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์สัมผัสเป้าหมายได้อย่างง่ายดาย ช่างเป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขาจริงๆ

“ยินดีกับนายท่าน เช่นนั้นจากนี้พวกเราก็ไปหาเป้าหมายของนายท่านก่อน แล้วค่อยไปพันธมิตรเฮ่อเหลียนซาง?” หยางลู่เองก็เอ่ยด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม

“อืม ในเมื่อรู้ตำแหน่งของเป้าหมายของข้าแล้ว ก็ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะหนีไปแล้ว จัดการพันธมิตรเฮ่อเหลียนซางที่ทำข้าก่อน ถึงอย่างไรเสียก็ไม่ได้เสียเวลานัก ตราประทับโลหิตหมื่นวิญญาณของข้าขาดการบวงสรวงโลหิตอีกสองสามครั้งถึงจะบวงสรวงสำเร็จอย่างเป็นทางการ” หม่าเหลียงครุ่นคิดเล็กน้อย ก็เผยสีหน้าโหดเหี้ยมออกมา

หยางลู่ได้ยินย่อมไม่มีความคิดเห็นอื่นอีก

ดังนั้นทั้งสองจึงกลายเป็นลำแสงหลีกหนี พุ่งไปยังทิศทางหนึ่ง

ยามที่หม่าเหลียงใช้ยันต์สีทองแผ่นนั้นสัมผัสตำแหน่งของอีกฝ่ายก่อนหน้านี้ เขตอาคมต้องห้ามในเขตแดนของเผ่าวิญญาณ ด้านล่างยอดเขาน้ำแข็งสูงพันจั้งที่มีลำแสงสีฟ้าห่อหุ้มอยู่ ชายหนุ่มรูปงามที่มีโซ่พันธนาการอยู่ก็กำลังหลับตาทั้งสองข้างจมอยู่ในห้วงแห่งนิทรา

ฉับพลันนั้นหว่างคิ้วของเขาก็มีอักขระสีทองเปล่งแสงสว่างวาบ ลูกตาที่มีเปลือกตาปิดอยู่ดูเหมือนจะขยับไปมาอย่างไม่ตั้งใจ

เสียง “ปัง” ดังขึ้น!

ด้านหน้าชายหนุ่มรูปงามมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น คนตัวเล็กสวมชุดสีขาวความสูงสองสามฉื่อเปล่งแสงสว่างวาบปรากฏขึ้นอยู่ในยอดเขาน้ำแข็ง ใบหน้าตึงเครียดพลางกวาดตามองรอบๆ ไปมา สุดท้ายดวงตาก็เปล่งแสงสว่างวาบตกอยู่ที่ใบหน้าของชายหนุ่มรูปงาม

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ คนตัวเล็กชุดขาวก็ยังคงไม่พบความผิดปกติอันใด แต่สีหน้าตกตะลึงระคนฉงนบนใบหน้ายังคงไม่หายไป กลับยังคงลังเลเล็กน้อย มือหนึ่งร่ายอาคม ปากก็ขยับพะงาบๆ อย่างเงียบๆ

ผลคือผ่านไปชั่วครู่สายรุ้งสีขาวก็พุ่งมาจากจุดที่ไกลออกไป หลังจากกะพริบวาบ คนตัวเล็กที่หน้าตาเหมือนชายชราชุดขาวก็ปรากฏขึ้นด้านหน้ายอดเขาน้ำแข็งอย่างเงียบเชียบ

“เกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดถึงต้องเรียกข้ามา” ชายชราชุดขาวเอ่ยถามคนตัวเล็กด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ด้านนอกไม่มีอันใด ข้าเฝ้าอยู่ที่ทางเข้าตลอด หากมีอันใดผิดปกติ ไม่มีทางที่ข้าจะสัมผัสไม่ได้” ชายชราชุดขาวตอบกลับอย่างประหลาดใจเล็กน้อย

“ในเมื่อไม่มีอันใด แล้วความผิดปกติเมื่อครู่มันคืออันใด เขาถูกพวกเราผนึกเอาไว้แล้ว แม้แต่จิตสัมผัสก็ไม่อาจใช้ได้” คนตัวเล็กกลับขมวดคิ้วแน่นขณะเอ่ยถาม

“หากเป็นเช่นนั้น ก็แปลกไปหน่อย” ชายชราชุดขาวเองก็ครุ่นคิดอย่างไม่กล้าประมาท

“ช่วงนี้โลกภายนอกมีเรื่องใหญ่อันใดเกิดขึ้นเรื่องไม่?” หลังจากที่คนตัวเล็กแววตาเปล่งประกายก็เอ่ยถาม

“เรื่องใหญ่? ไม่มีนะ ตั้งแต่ที่เผ่ามารถอนตัวออกไป แดนรอบๆ นอกจากเผ่ามนุษย์ที่มีพละกำลังเพิ่มขึ้นแล้ว อย่างอื่นล้วนปกติ” ชายชราชุดขาวลูบเครา แล้วตอบกลับอย่างมั่นใจ

แม้ว่าราชาวิญญาณผู้นี้จะมีพละกำลังไม่ธรรมดา แต่ในแดนวิญญาณกลับชอบอยู่อย่างสันโดษ พันธมิตรเฮ่อเหลียนซางรู้จักขอบเขต แน่นอนว่าย่อมไม่ได้รวมเขาเข้าไปในการร่วมมือ และไม่มีทางบอกเรื่องที่เซียนปรากฏตัว

“นั่นอาจจะเป็นข้าที่คิดมากไป ข้าจะตรวจสอบเขตอาคมอีกครั้ง หากไม่มีอันใด ก็น่าจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญจริงๆ” คนตัวเล็กมีสีหน้าผ่อนคลายลง พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่งขณะเอ่ย

คนตัวเล็กพยักหน้า มือหนึ่งร่ายอาคมโดยไม่ได้เอ่ยอันใดอีก ร่างกายส่งเสียง “ปัง” แล้วระเบิดออก กลายเป็นลำแสงสีขาวสลายหายไปจากยอดเขาน้ำแข็ง

ส่วนชายชราชุดขาวพลันมีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใสก้มหน้าครุ่นคิดอันใดสักอย่างอยู่ที่เดิม เมื่อรู้สึกว่าไม่มีอันใดหลุดออกไปก็สั่นศีรษะกลายเป็นลำแสงหลีกหนีสายรุ้งสีขาวสายหนึ่งพุ่งแหวกอากาศออกไป

“อันใด มีผู้น่าสงสัยที่เหมือนมารเหี้ยมบวงสรวงโลหิตมาที่แผ่นดินใหญ่เฟิงหยวน และมาที่พันธมิตรของเราหรือ อยู่ห่างจากเราไปแค่ครึ่งเดือน?” ในห้องโถงของพันธมิตรเฮ่อเหลียนซาง หมิงจิวินที่นั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ เอ่ยกับบุรุษวัยกลางคนที่ไม่สะดุดตาตรงหน้าพร้อมกับหน้าที่เปลี่ยนสี

“ไม่ใช่แค่นั้น อาวุโสอันดับหนึ่งของเผ่าตะเภาเกราะก็ถูกสังหารแล้ว หลังจากที่พวกเรายืนยันข่าวแล้ว ประกอบกับยืนยันหน้าตาของอีกฝ่าย ถึงได้กล้ามั่นใจว่าอีกฝ่ายคือมารเหี้ยมบวงสรวงโลหิตผู้นั้น” บุรุษค้อมตัวลงแล้วตอบกลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“เผ่าตะเภาเกราะอยู่ไม่ไกลจากพวกเรา เหตุใดพวกเราถึงได้ข่าวเอาตอนนี้” หมิงจวินยืนขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส

“ใต้เท้าหมิง มารเหี้ยมบวงสรวงโลหิตเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก หากไม่ใช่เพราะยามที่อีกฝ่ายอาศัยเขตอาคมส่งตัวถูกศิษย์ของพันธมิตรเราจำได้ เกรงว่าจนถึงยามนี้พวกเราก็ยังไม่อาจรู้ข่าวคราวว่ามารเหี้ยมผู้นั้นมาที่ดินแดนเฟิงหยวน” บุรุษตอบกลับพร้อมกับหัวเราะอย่างขมขื่น

“ข่าวที่มารเหี้ยมผู้นั้นมายังพันธมิตรของเรา มั่นใจแล้วหรือ” หมิงจวินมีสีหน้าเคร่งขรึมพลางเอ่ยถาม

“น่าจะไม่ผิด ตามเส้นทางที่เขามา ระหว่างทางนอกจากพันธมิตรของเราแล้ว ก็ไม่มีขุมอำนาจอื่นอยู่เลย มารเหี้ยมผู้นั้นทำเช่นนี้ หรือว่ารู้ว่าพันธมิตรของเรากำลังรวบรวมผู้แข็งแกร่งมาต่อกรเขา!” บุรุษลังเลเล็กน้อย ถึงได้ตอบกลับอย่างมั่นอกมั่นใจ

“ข่าวเรื่องนี้น่าจะถูกแพร่งพรายออกไปแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นกว่าครึ่งน่าจะเป็นเพราะอาวุโสอันดับหนึ่งของเผ่าตะเภาเกราะผู้นั้น ตอนแรกข้าก็เรียนเชิญเขา ในเมื่อยามนี้เขาเพลี้ยงพล้ำในเงื้อมมือของมารเหี้ยมผู้นั้นแล้ว ดูแล้วคงถูกอีกฝ่ายค้นวิญญาณ มิเช่นนั้นคงไม่อาจอธิบายการเคลื่อนไหวของมารเหี้ยมในยามนี้ได้” หมิงจวินขมวดคิ้วครุ่นคิดชั่วครู่ ถึงได้ตอบกลับอย่างเคร่งขรึม

“เช่นนั้นยามนี้จะทำอย่างไร ในเมื่อรู้ว่ามารเหี้ยมผู้นั้นมาที่นี่แล้ว แต่หากจะรวบรวมผู้แข็งแกร่ง เวลาครึ่งเดือนย่อมไม่เพียงพอ ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่ามารเหี้ยมผู้นี้จะมาที่พันธมิตรเรา” บุรุษรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย

“ลนลานอันใด? ในเมื่อยามนี้ไม่อาจต่อกรกับอีกฝ่ายได้ มีเพียงให้พันธมิตรของเรากลายเป็นศูนย์แล้วถอยชั่วคราว เพื่อยื้อเวลาในการรวบรวมผู้แข็งแกร่ง” หมิงจวินกลับดูเหมือนจะคิดแผนการณ์ไว้แล้วพลางเอ่ยออกมา

“ถอยชั่วคราว?” บุรุษได้ยินพลันตกตะลึงไปเล็กน้อย

“พันธมิตรของเราและขุมอำนาจอื่นๆ ไม่เหมือนกัน และไม่มีจำนวนคนมหาศาลและดินแดนที่มั่นคง ขอแค่ทุกคนลงมือในที่ลับ ข้าก็ไม่เชื่อว่ามารเหี้ยมจะทำอันใดพันธมิตรของเราได้?” หมิงจวินเอ่ยอย่างราบเรียบ

“ใช่แล้ว นี่เป็นความคิดที่ดี ผู้น้อยจะไปจัดการเรื่องถอนทัพ” ในที่สุดบุรุษก็ถึงบางอ้อแล้วเอ่ยด้วยความดีใจ

“ไม่ต้องรีบร้อน นอกจากเรื่องถอนทัพ เจ้าก็เริ่มส่งข่าวเหล่านั้นไปยังผู้แข็งแกร่งของเผ่าต่างๆ ที่นัดกันไว้เถิด ให้พวกเขามารวมตัวด้านนอกแดนหมิงซา ที่นั่นมีกลิ่นอายแห่งความตายคละคลุ้งมาก เพราะจะใช้เรียกจิตวิญญาณเที่ยงแท้โบราณที่พันธมิตรของเราบูชาไว้พอดี” หมิงจวินออกคำสั่งอย่างคาดการณ์ไว้แล้ว

“เลือกที่นั่นไว้ต่อสู้กับมารเหี้ยมผู้นั้นย่อมเป็นเรื่องที่ดีที่สุด แต่อีกฝ่ายจะไปที่นั่นง่ายๆ หรือ?” บุรุษเอ่ยถามอย่างลังเลเล็กน้อย

“วางใจ ข้าเชิญหกปีกและพวกมาที่พันธมิตรก็เพื่อใช้ในยามนี้ไม่ใช่หรือ?” หมิงจวินหัวเราะอย่างเย็นชาขณะเอ่ย

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ผู้น้อยเข้าใจแล้ว” บุรุษเข้าใจแล้ว ค้อมตัวลงอย่างนอบน้อม ทันใดนั้นก็ถอยออกไปจากห้องโถง

“หลังจากที่หมิงจวินกลับเข้ามา ก็นั่งลงที่เดิม แต่ใบหน้าพลันเต็มไปด้วยสีหน้าครุ่นคิดอันใดสักอย่าง …

เผ่ามนุษย์ในวังชิงหยวนของเกาะหยวนเหอ หานลี่กำลังนั่งสมาธิอยู่บนฟูก มองอัสนีสีม่วงทองลูกนั้นในมือ

อัสนีลูกนี้มีขนาดเท่ากำปั้น แต่เห็นเพียงสายฟ้าแล่นเปรี้ยะๆ แต่กลับไร้สุ้มเสียง ไม่ได้ยินเสียงฟ้าร้องใดๆ ดูแล้วแปลกประหลาดยิ่ง

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

Fan Ren Xiu Xian Chuan, Phàm Nhân Tu Tiên, RMJI, 凡人修仙传
Score 8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
เจ้าบื้อที่สอง หานลี่ เด็กหนุ่มธรรมดาสามัญผู้ได้รับวาสนาให้ไปเข้าทดสอบเป็นศิษย์ในสำนักเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทำให้เขาได้รู้จักกับโลกใบใหม่ที่หนุ่มน้อยชนบทอย่างเขาใฝ่ฝันอยากสัมผัสกับมันมาโดยตลอด ในโลกแห่งเซียน เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรต่างฝึกฝนค้นหาเส้นทางเพื่อก้าวเข้าสู่ความเป็นนิรันดร์ ทว่าเส้นทางที่แม้กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรซึ่งมีพรสวรรค์สูงส่งแต่กำเนิดยังต้องผ่านความยากลำบากเท่าไหร่กว่าจะไปถึงจุดนั้น แล้วเด็กหนุ่มปุถุชนเช่นเขาจะทำได้หรือ? ด้วยความสามารถอันธรรมดาสามัญของเขาจะเอาตัวรอดในโลกแห่งเซียนนี้ไปได้อย่างไร? เส้นทางแห่งความสำเร็จช่างอยู่ห่างไกลเสียเหลือเกิน… คัมภีร์วิถีเซียนเป็นนิยายจีนย้อนยุคเล่าเรื่องการเดินทางอันน่าติดตามของหานลี่ ผู้ต้องใช้ทั้งไหวพริบและพลังยุทธ์ในการฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ด้วยตัวคนเดียว มาร่วมเดินทางไปกับหานลี่ ผู้เย้ยฟ้าท้านรกเพื่อแสวงหาเส้นทางแห่งการเป็นเซียนด้วยกันเถอะ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset