ได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนี้ พวกหยวนเหยาสองคนก็หันมาสบตากันทีหนึ่ง ต่างก็มีสีหน้าลังเลขึ้นมา
พวกนางสองคนย่อมไม่มีทางละทิ้งความคิดที่จะฟื้นฟูร่างเป็นปกติอย่างแน่นอน
“ข้าพิจารณาไม่รอบคอบแล้ว ฟังจากคำพูดก่อนหน้าของพี่หาน ดูเหมือนเมื่อก่อนจะเคยลุยผ่านจุดเชื่อมต่อมิติมาแล้ว หากเป็นเช่นนี้ สามารถหาจุดเชื่อมต่อที่ค่อนข้างเสถียรและเหมาะสมได้จริงๆ ข้ากับศิษย์น้องย่อมคาดหวังที่จะออกไปจากที่นี่ แต่การจะค้นหาจุดเชื่อมต่ออย่างไรนั้น ข้าสองคนกลับไม่รู้อะไรเลยแม้แต่น้อย”
“ตรงจุดนี้สหายทั้งสองสบายใจได้ ในด้านนี้ข้าน้อยมีวิธีการที่ค่อนข้างเฉพาะตัวอยู่ แค่ต้องออกไปตามหาจริงๆ แต่ต้องรอเวลาสักระยะหนึ่ง หลังจากหลบการค้นหาของพวกแม่เฒ่าภูตแล้วจึงจะทำได้ ไม่ว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาเหล่านั้นจะได้ของที่ต้องการหรือไม่ แต่เพราะมีเผ่าแมงเม่าอยู่ จึงไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้นานเกินไป ช่วงเวลาระหว่างที่พวกเขาออกจากแม่น้ำอเวจี และก่อนที่คนของเผ่าแมงเม่าจะมาถึง จึงจะเป็นโอกาสดีที่สุดที่พวกเราจะตามหาจุดเชื่อมต่อรอบๆ แล้วหนีออกไป ตอนนี้พวกเราหาสถานที่ลับตาสุดๆ สักแห่งหนึ่ง หลบซ่อนชั่วคราวสักระยะหนึ่งค่อยว่ากันเถอะ” หานลี่พูดอย่างช้าๆ ดูเหมือนจะมั่นใจตัวเองในเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง
หลังจากที่หยวนเหยากับเหยียนลี่ได้ฟัง ก็รู้สึกว่ามีเหตุผลมาก จึงพยักหน้าถี่ๆ โดยพลัน
ดังนั้น หลังจากที่ทั้งสามคนหารือกันจบ ลำแสงหลีกหนีก็ไม่หยุดลงแม้แต่น้อย พุ่งทยานออกจากกกลางอากาศบริเวณใกล้เคียงอย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุดก็ลับหายไปในฟากฟ้า
หลายวันต่อมา พวกหานลี่มาปรากฏตัวที่กลางอากาศเหนือผิวน้ำแปลกประหลาดแห่งหนึ่ง
ใต้ผิวน้ำสีครามปรากฏเป็นสีดำอีกหนึ่งชั้น มีหมอกสีดำจางๆ ลอยเป็นเกลียวขึ้นมา!
ที่ยิ่งแปลกก็คือ ท่ามกลางผืนน้ำที่ไม่สิ้นซึ่งไม่รู้ว่าเป็นทะเลหรือทะเลสาบแห่งนี้ มีหมู่เกาะน้อยใหญ่กระจัดกระจายไปทั่วราวกับดวงดาวที่ดารดาษอยู่เต็มท้องฟ้า
พวกหานลี่ดำลึกเข้าไปในนั้นตลอดทั้งวันทั้งคืนไม่พักผ่อน ยังคงมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดแม้แต่น้อย
“พวกเราซ่อนตัวอยู่ที่นี่กันเถอะ ผืนน้ำแห่งนี้กว้างใหญ่โพศาลขนาดนี้ เกรงว่าจะไม่ด้อยไปกว่ามหาสมุทรทั่วไป คิดว่าราชาปีศาจพวกนั้นมาตามหาก็ไม่มีทางหาพวกเราเจอในระยะเวลาอันสั้นเป็นอันขาด อีกทั้งข้าสัมผัสได้ลางๆ ว่าส่วนลึกของก้นน้ำนี้ดูเหมือนจะมีสิ่งที่น่ากลัวซ่อนอยู่ในมุมมืดไม่น้อย หากมีของบางอย่างอยู่ พวกแม่เฒ่าภูตคงไม่กล้าใช้จิตสัมผัสค้นหาตามอำเภอใจเกินไป และยังทำหน้าที่เป็นม่านกำบังในระดับที่แน่นอนให้พวกเราอีกด้วย” หานลี่ที่นำหน้าหยุดลำแสงหลีกหนีลง ดวงตาเปล่งแสงสีน้ำเงินวูบหนึ่ง สายตากวาดมองไปในม่านหมอกสีดำหนาแน่นผิดปกติผืนใหญ่ที่อยู่เบื้องล่าง พลางพูดอย่างช้าๆ
กลุ่มหมอกที่เกาะตัวกันอย่างหนาทึบเช่นนี้ ตลอดทางที่ผ่านมาพวกเขาต่างก็พบเห็นไม่น้อย ทว่าม่านหมอกที่อยู่ภายใต้เนตรวิญญาณนั้น ปรากฏรูปร่างลักษณะของเกาะเล็กๆ ที่ซ่อนภายในความมืดอยู่ลางๆ
แม้ว่าพวกหยวนเหยาสองคนจะไม่สามารถมองเห็นหมู่เกาะภายในหมอกสีดำนี้ได้ แต่ในเมื่อหานลี่กล่าวเช่นนี้ พวกนางสองคนก็ตกลงอย่างฉับพลันโดยไม่ลังเลใดๆ แล้วตามหานลี่ลงไปในหมอกสีดำเบื้องล่าง
เหตุการณ์ที่ทำให้ทั้งสามคนตื่นตะลึงพลันปรากฏขึ้น
หมอกสีดำเหล่านี้ดูเหมือนจะปกติทั่วไป แต่เมื่อทั้งสามคนเหาะเข้าไปในนั้น จู่ๆ ก็รู้สึกเพียงหมอกสีดำรอบด้านเกิดการพลิกตัวระลอกหนึ่งแล้วกระโจนเข้าใส่ร่าง ทำให้ปราณวิญญาณทั่วทั้งร่างสลายไปอย่างฉับพลัน คาดไม่ถึงว่าจะทำให้ลำแสงหลีกหนีของทั้งสามแตกสลายหายไปในชั่วพริบตา
“หา”
หยวนเหยากับเหยียนลี่ตกตะลึงยกใหญ่ หลุดเสียงร้องออกมาด้วยใบหน้าถอดสี บนร่างพวกนางเปล่งแสงวิญญาณชนิดต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ทว่าร่างกายยังคงดิ่งลงไปยังส่วนลึกของหมอก
หานลี่รู้สึกตกตะลึงในใจเช่นนี้ แต่โชคดีที่เขาเคยประสบกับเหตุการณ์คับขันที่เกิดขึ้นกะทันหันมานับไม่ถ้วนแล้ว ภายในร่างเปลี่ยนแปลงคาถาหลายชนิดอย่างต่อเนื่องในชั่วพริบตา แสงเทวะดูดปราณ วิชามารเที่ยงแท้พราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ และวิชาอื่นๆ ต่างก็โคจรพร้อมกัน แต่ก็ไม่สามารถดึงพลังวิญญาณขึ้นมาให้เพียงพอได้ แต่ในขณะที่เกิดไหวพริบร่ายคาถาแปลงกายเป็นวิหคมัจฉาท่ามกลางความฉุกละหุก บนร่างก็เปล่งแสงสีเขียวสว่างอย่างฉับพลัน กลายเป็นวิหคยักษ์สีเขียวแล้วฟื้นคืนพลังยุทธ์กลับมาทั้งหมด
ภายใต้ความดีอกดีใจยกใหญ่ของหานลี่ เขากากปีกสองข้างออก ร่างก็ขยายขึ้นหลายเท่าอย่างรวดเร็ว ครั้นขยับร่าง ก็ใช้กรงเล็บคว้าร่างของหญิงสาวทั้งสองไว้ แล้วพุ่งทยานขึ้นไปยังชั้นบรรยากาศสูง
หลังจากพุ่งปราดเปรียวไม่กี่หน วิหคยักษ์สีเขียวก็ทยานออกมาจากม่านหมอก ปรากฏตัวบริเวณที่สูงกว่าก่อนหน้านี้
แสงสีเขียวดับลง ร่างของวิหคยักษ์ก็หายไป หานลี่กลับมาปรากฏกายกลางอากาศด้วยร่างมนุษย์อีกครั้ง ขณะเดียวกันพวกหยวนเหยาและเหยียนลี่ในตอนนี้ต่างก็ได้พลังยุทธ์ฟื้นคืนกลับมาแล้ว ต่างก็ลอยคว้างอยู่กลางอากาศด้วยใบหน้าซีดเผือด
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมหมอกสีดำนี้ถึงได้น่ากลัวเช่นนี้? หากไม่ใช่เพราะพี่หานยื่นมื่อมาช่วย เกรงว่าพวกเราคงประสบเคราะห์ใหญ่แล้ว” เหยียนลี่กล่าวพึมพำด้วยใบหน้าซีดขาว
หยวนเหยาก็มีสีหน้าซีดเช่นกัน แต่เมื่อดวงตาของนางเปล่งประกายอยู่พักหนึ่ง ก็เผยอารมณ์ประหลาดใจออกมาเล็กน้อย
หานลี่เอามือไพล่หลัง พลางจ้องมองหมอกสีดำที่ตลบฟุ้งอยู่เบื้องล่างอย่างละเอียด และเผยสีหน้าลังเลออกมา
“ที่แท้ก็มีความลึกล้ำบางอย่าง แต่ความรู้สึกเช่นนี้… สหายหยวน เจ้าเองก็มีความรู้สึกที่คุ้นเคยมากเหมือนกันใช่หรือไม่!” หานลี่หันหน้าไปถามหยวนเหยา
“พี่หานพูดถูกแล้ว เมื่อก่อนพวกเราเคยประสบเหตุการณ์เช่นนี้มาแล้วครั้งหนึ่งที่แดนมนุษย์จริงๆ ก็คือที่มหาสมุทรดาวคลั่งตอนที่ถูกหมอกภูตนั่นปิดล้อมแล้วเข้าไปในอเวจีทมิฬนั่นแหละ”
“อเวจีทมิฬ แม่น้ำอเวจี หึๆ สองที่นี่ฟังดูแล้วก็คล้ายกันจริงๆ อีกทั้งหมอกประหลาดที่ทำให้ผู้คนสูญเสียพลังยุทธ์เช่นนี้ น่าจะมีความเกี่ยวข้องอะไรบางอย่างกระมัง” หานลี่เอามือลูบๆ คราง พลางพินิจพิจารณาแล้วกล่าว
“แต่ก็ยังมีบางอย่างที่ไม่เหมือนกัน รู้สึกว่าประสิทธิภาพในการช่วงชิงพลังวิญญาณผู้คนของหมอกในที่แห่งนี้ดูเหมือนจะด้อยกว่าหมอกภูตในแดนมนุษย์เล็กน้อย แม้ว่าจะไม่สามารถดึงพลังยุทธ์ขึ้นมาได้ แต่ก็ยังสามารถสัมผัสถึงการคงอยู่ของพลังวิญญาณได้อยู่ แต่วันนั้น ตอนที่ถูกหมอกภูตหอบเข้าไปในนั้น สภาพก็ไม่ต่างจากปุถุชนธรรมดาเลยแม้แต่น้อย” หยวนเหยามีท่าทีไม่ค่อยยอมรับ
“ข้าก็รู้สึกเช่นนี้เหมือนกัน สาเหตุที่รูปธรรมนั้น น่าจะเพราะหมอกประหลาดของที่นี่เทียบกับแดนมนุษย์ไม่ได้ หรืออาจะเป็นเพราะหลังจากที่พลังยุทธ์ของพวกเราพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด หมอกภูตจึงเทียบกับเมื่อก่อนไม่ได้อย่างเห็นได้ชัดเจน แต่ทั้งสองแห่งนี้ก็ยังไม่เหมือนกัน หมอกภูตของแดนมนุษย์ดูเหมือนจะมีชีวิตกว่า สามารถเข้ามากลืนกินผู้บำเพ็ญเพียรในบริเวณใกล้เคียงด้วยเองได้ และสำหรับที่นี่…” หานลี่ส่ายศีรษะ พลันพูดจี้ถูกจุดสำคัญของความแตกต่างระหว่างสองสิ่ง
“เหมือนอย่างที่พี่หานพูดจริงๆ นั่นแหละ หมอกดำในที่แห่งนี้ไม่ได้มีวี่แววว่าจะเข้ามากลืนกินด้วยตัวเอง แต่หมอกภูตที่แดนมนุษย์สามารถหอบคนเข้ามาในแม่น้ำอเวจีได้ หมอกนี้คงไม่ได้เชื่อมต่อกับดินแดนหรือมิติอื่นหรอกนะ” หยวนเหยาสองตาเปล่งประกาย พลันพูดขึ้นมาด้วยอารมณ์คึกคัก
“เรื่องนี้ก็ไม่แน่ใจนัก! ถึงอย่างไรหมอกภูตของแดนมนุษย์กับอเวจีทมิฬ พวกเราก็ยังไม่สามารถเข้าใจที่มาของมันมาโดยตลอด” หานลี่ถอนหายใจคราหนึ่ง แล้วกล่าวออกมาเช่นนี้
“ข้าว่าหมอกสีดำในบริเวณใกล้เคียงนี้ก็พอๆ หมอกตรงที่อื่นๆ ก็คงจะร้ายกาจเช่นนี้เหมือนกันสินะ” เหยียนลี่ที่ฟังอยู่ข้างๆ มาโดยตลอด จู่ๆ ดวงตาก็เปล่งประกายวาบหนึ่งแล้วถามโพล่งขึ้นมา
“เรื่องนี้ผู้แซ่หานไม่เคยสังเกตมาก่อนจริงๆ! สหายทั้งสองรออยู่ที่นี่สักครู่ ข้าจะไปดูสักหน่อย เดี๋ยวก็กลับมา” หานลี่ตกตะลึง แต่ก็เลิกคิ้วขึ้นแล้วกล่าวในทันที
ร่างของเขาเปล่งแสงสีเขียววาบหนึ่ง กลายเป็นวิหคยักษ์สีเขียวอีกครั้ง ครั้นสยายปี ก็พวยพุ่งออกไปไกลสิบจั้งเศษอย่างฉับพลัน แล้วเหาะทยานจากไปไกลลับตา
เหลือเพียงหญิงสาวสองคนที่หันมามองหน้ากันและกัน
“ศิษย์น้องหยวน อิทธิฤทธิ์ที่สหายหานฝึกมีไม่น้อยจริงๆ คาดไม่ถึงว่าแม้แต่เคล็ดวิชาลับแปลงกายของเผ่าวิญญาณเหาะเหินชนิดนี้ก็ได้ร่ำเรียนมาด้วย” เหยียนลี่กล่าวชมออกมา
“หรือว่าศิษย์พี่จะลืมไปแล้ว พี่หานสามารถเข้ามาในเหวพสุธษด้วยฐานะของบุตรสวรรค์เผ่าวิญญาณเหาะเหินได้ การที่รู้เคล็ดวิชาลับชนิดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร” หยวนเหยากลับยิ้มแล้วกล่าว
“ศิษย์น้องคงยังไม่รู้ บุตรสวรรค์ของเผ่าวิญญาณเหาะเหินใช่ว่าใครจะสามารถตบตาปะปนเข้ามาได้ ข้าเคยได้ยินเรื่องทำนองนี้จากปากของคนอื่นมา สาขาบุตรสวรรค์ของเผ่าวิญญาณเหาะเหินไม่เพียงแต่จำเป็นต้องมีโลหิตบริสุทธิ์และวิญญาณเที่ยงแท้ของสาขาวิญญาณเหาะเหินแล้ว ยังมีข้อจำที่ทารุณโหดร้ายต่างๆ อยู่อีก แม้แต่การที่คนในเผ่าวิญญาณเหาะเหินจะสามารถเป็นบุตรสวรรค์ได้ก็เป็นเรื่องที่ลำบากยากยิ่ง ไม่รู้ว่าสหายหานทำได้อย่างไร และยังได้เรียนอิทธิฤทธิ์เช่นนี้ด้วย” เหยียนลี่ยิ้มกล่าว
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” หยวนเหยาพยักหน้า แต่สายตาจ้องมองไปยังทิศทางที่หานลี่เลือนหายไป
เหยียนลี่เห็นสีหน้าของหยวนเหยาเป็นเช่นนี้ ดวงตาอันงดงามก็เปล่งประกายด้วยความประหลาดใจปราดหนึ่ง ฉับพลันก็พูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “เทียบกับเรื่องนี้ ข้ารู้สึกแปลกใจยิ่งนัก เหตุใดพอพี่หานแปลงกายเป็นวิหคยักษ์แล้วถึงไม่กลัวหมอกภูตนี้ในทันที”
“ค่อนค้างแปลกประหลาด แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจ หรือว่าเคล็ดวิชาลับแปลงกายของเผ่าวิญญาณเหาะเหิน ยังมีอิทธิฤทธิ์อย่างอื่นที่ไม่รู้อยู่อีก?” หยวนเหยาถูกคำถามนี้รบกวนสมาธิ จึงดึงสายตากลับมา แล้วเผยสีหน้างุนงงสงสัย
“เรื่องนี้ก็ยังไม่แน่ใจ อีกเดี๋ยวค่อยถามสหายหานกันเถอะ บางทีเขาอาจจะรู้อะไรบางอย่างก็ได้” เหยียนลี่เม้มปากยิ้มคราหนึ่ง
“ไม่ค่อยดีกระมัง เรื่องที่เกี่ยวกับอิทธิฤทธิ์และเคล็ดวิชาเช่นนี้ พวกเราสองคนออกจะไม่สะดวกที่จะซักถามเขาโดยตรงเท่าไหร่” หยวนเหยาได้ยินคำนี้ กลับมีท่าทีลังเลขึ้นมา
“เหอะๆ ด้วยมิตรภาพของศิษย์น้องและสหายหานเมื่อปีนั้น เรื่องเล็กแค่นี้ไม่น่าจะเป็นอะไรหรอก อีกอย่างพวกเราก็ไม่ได้คิดจะสืบหาคำร่ายเคล็ดวิชาของเขา เพียงแต่หมอกภูตนี้ช่างแปลกประหลาด แค่อยากจะดูว่ามีวิธีอะไรบ้างที่สามารถยับยั้งจากภายใน แต่ข้ากับสหายหานไม่ได้สนิทสนมกันนัก ให้ศิษย์น้องเป็นฝ่ายถามจึงดูค่อนข้างเหมาะสม” เหยียนลี่พูดอย่างไม่หนักหนาอะไร
หยวนเหยาได้ยินคำนี้ก็ขมวดคิ้วคราหนึ่ง หลังจากคิดแล้วคิดอีกจึงค่อยพยักหน้าไม่ส่งเสียง
เวลาผ่านไปครึ่งชั่วยามเต็ม บนขอบฟ้ามีแสงสีเขียวเปล่งประกายขึ้นอีกครั้ง ตามด้วยเสียงเพรียกกระจ่างใส วิหคยักษ์สีเขียวก็พุ่งทยานกลับมาอีกครั้ง
เพียงแค่พวยพุ่งสองสามหน ก็เกิดพายุก่อตัวขึ้นอย่างบ้าคลั่งระลอกหนึ่ง วิหคยักษ์พลันปรากฏตัวที่เบื้องหน้าหญิงสาวทั้งสอง เมื่อแสงสีเขียวดับวูบลง ร่างของวิหคยักษ์ก็หายไป ปรากฏเป็นร่างของหานลี่แทน
“เป็นอย่างไรบ้าง หมอกสีดำพวกนั้นมีความแปลกประหลาดเช่นกันหรือไม่?” เหยียนลี่อดไม่ได้ที่จะชิงถามขึ้นมาก่อน
“ไม่ใช่ทั้งหมด แต่ส่วนหนึ่งที่อยู่ในนั้นสามารถกลืนกินพลังวิญญาณได้ อีกทั้งส่วนใหญ่ล้วนเป็นหมอกที่เกาะตัวเป็นบริเวณค่อนข้างกว้าง และค่อนข้างหนาแน่น” หานลี่ตอบกลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ได้ยินหานลี่ตอบกลับเช่นนี้ หญิงสาวทั้งสองก็เผยสีหน้าตกตะลึงออกมา
“เช่นนั้นควรเข้าไปในหมอกสีดำเพื่อค้นหาสาเหตุหรือไม่?” เหยียนลี่ถอนหายใจยาวคราหนึ่งแล้วเอ่ยถาม
“พูดตามหลักแล้ว พวกเราต่างก็มีความยุ่งยากติดตัวอยู่แล้ว ให้ค้นหาสาเหตุเรื่องนี้อีกดูไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่ หมอกสีดำเหล่านี้สามารถกักขังและส่งผลกระทบต่อจิตสัมผัสได้ หากพวกเราเข้าไปในนั้น ต่อให้ราชาปีศาจเหล่านั้นทรงอิทธิฤทธิ์แค่ไหนก็ไม่อาจตามหาพวกเราได้อย่างแน่นอน สิ่งที่กังวลเพียงหนึ่งเดียวก็คือ ส่วนลึกของหมอกสีดำเหล่านี้ไม่รู้ว่ามีอันตรายอะไรอยู่หรืออไม่” หานลี่ลังเลเล็กน้อยแล้วกล่าว
“เพียงแค่สามารถหลบหลีกการค้นหาของพวกแม่เฒ่าภูตได้ ต่อให้เสี่ยงอันตรายสักหน่อยก็คุ้มค่า จะว่าไปแล้วพี่หาน ไม่ใช่ว่าท่านแปลงกายเป็นวิหคมัจฉาแล้วไม่กลัวหมอกภูตนี้หรอกรึ?” เหยียนลี่กลับยิ้มกล่าว
หานลี่ยิ้มจางๆ คราหนึ่ง ขณะที่ยังไม่ทันคิดว่าจะพูดอะไร หยวนเหยาที่ลังเลอยู่พักหนึ่งก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “พี่หาน เคล็ดวิชาลับแปลงกายของท่านคงจะมาจากเผ่าวิญญาณเหาะเหินสินะ เหตุใดหลังจากที่แปลงกายแล้วจึงไม่กลัวการจำกัดพลังวิญญาณของหมอกประหลาดนี้ล่ะ แสดงว่ารู้สาเหตุบางอย่างบ้างแล้วสินะ? พวกเราสองคนก็มีวิธีหลีกเลี่ยงไม่ให้สูญเสียพลังยุทธ์ทั้งหกภายในหมอกนี้ใช่หรือไม่?”