A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 1493 มีดเบญจมังกร

ลำแสงสีโลหิต ลำแสงสีดำเปล่งแสงสว่างวาบอย่างต่อเนื่องบนม่านลำแวงราวกับพายุฝนฟ้ากระหน่ำ ทำให้เดี๋ยวสว่างวาบเดี๋ยวมืดสนิท!

 

 

ชั่วครู่หุ่นเชิดสีม่วงโลหิตก็ขยายใหญ่ขึ้นเป็นพันจั้ง มือใหญ่ยักษ์ราวกับเทพแห่งฟ้าดินสองมือหันเป็นแนวขวาง ขวานยักษ์สีม่วงด้ามหนึ่งปรากฎขึ้น สองมือที่ถือขวานโบกสะบัดไปมาจนเป็นผืนลำแสงสีม่วง สับลงมาที่ม่านลำแสงสีดำอย่างแม่นยำ

 

 

เสียงอึกทึกราวกับฟ้าผ่าดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในเวลาเดียวกันเงาขวานจำนวนนับไม่ถ้วนพลันสับลงมาที่จุดเดียวกันบนม่านลำแสง

 

 

ส่วนหญิงงามผมขาวกลับแค่กระตุ้นมีดโลหิตในมือ และไม่ได้สำแดงอิทธิฤทธิ์อะไรอีก

 

 

เสียง “ครืน” ดังขึ้น!

 

 

แม้ว่าเขตอาคมนี้จะมหัศจรรย์ แต่เมื่อระดับหลอมร่างจำนวนมากร่วมมือกัน ก็ถูกโจมตีจนกลายเป็นรอยแยกที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางสิบกว่าจั้ง

 

 

แม้ว่ารอยแยกจะมีลำแสงสีดำสว่างวาบแล้วผสานกันอีกครั้ง แต่ความล่าช้าแค่นี้กลับเพียงพอสำหรับเหล่าราชันย์ปีศาจแล้ว

 

 

“เยี่ยม ข้าจะใช้เคล็ดวิชาลับทำให้ทางเข้านี้มั่นคง!” ลิ่วจู่ยินดียกใหญ่ ยกมือหนึ่งขึ้น ชั่วขณะนั้นลำแสงสีฟ้าแปดกลุ่มพลันพุ่งออกไป ทันใดนั้นก็ขยายใหญ่ขึ้น

 

 

คาดไม่ถึงว่าจะเป็นอาวุธสที่เหมือนกับเสาสีฟ้าแปดต้น จมหายเข้าไปในรอยแยกทั้งหมด

 

 

ฉากที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฎขึ้น

 

 

เห็นเพียงลำแสงสีฟ้าสว่างวาบ ปากรอยแยกกลายเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส กำแพงทั้งสี่ด้านล้วนทำมาจากผลึกหินสีฟ้าที่เรียบลื่นราวกับสลักลงไปบนม่านลำแสงเป็นอย่างดี

 

 

“เหล่าสหายข้าน้อยขอล่วงหน้าไปก่อน” ลิ่วจู๋หัวเราะอย่างบ้าคลั่งออกมา แม้ว่ากายจะกลายเป็นสายรุ้งสีดำ ก็ยังหมุนวนรอบหนึ่งแล้วพุ่งเข้าไป

 

 

หลังจากที่ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตสองคนมองสบตากันแวบหนึ่ง ฉับพลันนั้นหนึ่งในนั้นก็กระโดดลงจากหุ่นเชิดสีม่วงโลหิต ร่อนลงบนพื้นดิน

 

 

อีกคนหนึ่งใช้เท้าข้างหนึ่งตบไปบนหุ่นเชิด

 

 

หุ่นเชิดสีม่วงโลหิตหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว จนมีขนาดสองสามจั้ง หลังจากกระพริบวาบสองสามครั้ง ก็เข้าไปในม่านลำแสงสีดำพร้อมกับผู้ที่สวมชุดคลุมโลหิตที่เหลือ

 

 

ไม่รู้ว่าทั้งสองคิดอย่างไร คาดไม่ถึงว่าจะทิ้งคนไว้คนหนึ่ง

 

 

หญิงงามผมขาวเห็นแล้วจึงตกตะลึง

 

 

ส่วนมู่ชิงที่อยู่อีกด้านแขนเสื้อยาวทั้งสองพลันเริงระบำ ลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากสี่ทิศแปดด้าน ล้วนเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในแขนเสื้อ

 

 

นางเก็บเขตอาคมที่วางเอาไว้ทั้งหมดจนเกลี้ยง

 

 

“พี่หญิงหลัน เจ้าและศิษย์อีกสองคนจะเข้าไปด้วยกันหรือไม่? แม้ว่าอสูรอเวจีอัสนีจะถูกล่อไปแล้ว แต่ผู้ใดจะรู้ว่าด้านในยังมีอันตรายอะไรอีกหรือไม่ พลังยุทธ์ของนางทั้งสองต่ำต้อยขนาดนั้น จะเพลี้ยงพล้ำอยู่ข้างในได้ พี่หญิงคงไม่อยากเสียแรงที่ทุ่มเทมาหรอกกระมัง! จิตวิญญาณทอง เจ้ารักษาการณ์ที่ภายนอกเอาไว้ก็พอ” มู่ชิงเอ่ยเตือนสติหญิงงามผมขาวด้วยรอยยิ้ม แล้วออกคำสั่งกับวานรสีทอง แล้วพลันบินเข้าไปพร้อมกับดอกไม้สีทอง

 

 

จิตวิญญาณสีทองค้อมตัวลงเล็กน้อย แล้วยืนนิ่งอยู่ที่เดิมดังคาด

 

 

หญิงงามผมขาวกลับขมวดคิ้ว สายตามองไปยังหยวนเหยาและเหยียนลี่ที่ยืนนิ่งอยู่ไกลออกไปด้านข้างแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยกับตัวเองพร้อมกับฉีกยิ้มอย่างเย็นชาว่า

 

 

“ทิ้งไว้ข้างนอก แม่เฒ่าย่อมไม่วางใจ พวกเจ้าสองคนตามข้าเข้ามา!” สตรีผู้นี้ใช้มือหนึ่งร่ายอาคม ชั่วพริบตาก็ปล่อยพายุทมิฬสีเทาออกมากลุ่มหนึ่ง ห่อหุ้มตนเองและสตรีทั้งสองเอาไว้ จากนั้นก็เปล่งเสียงร้องแล้วเข้าไปในรอยแยก

 

 

ชั่วพริบตาด้านนอกก็เหลือเพียงไม่กี่คน

 

 

“พวกเรารักษาการณ์อยู่ภายนอกสักครู่เถิด หากราบรื่นล่ะก็ อีกเดี๋ยวพวกเราก็จะได้เกษียรเทวะกลับมาแล้ว” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตที่เหลืออยู่ผู้นั้นเอ่ยกับจิตวิญญาณสีทอง

 

 

“ชนรุ่นหลังก็หวังเช่นนั้นขอรับ เรื่องนี้ต้องพึ่งท่านอาวุโสแล้ว!” จิตวิญญาณสีทองแสดงท่าทีอ่อนน้อมกับผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตเป็นอย่างมาก

 

 

“หึๆ กำลังสงสัยว่าข้าคือเทพตี้เสวี่ย หรือว่าเป็นแค่ร่างแปลงเท่านั้นใช่หรือไม่” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตแววตาเปล่งประกาย พลางหัวเราะหึๆ ออกมา

 

 

“ท่านอาวุโสล้อเล่นแล้ว นายท่านเคยกล่าวว่า ท่านอาวุโสตี้เสวี่ยฝึกฝนความสามารถแยกร่าง ทั้งสองร่างล้วนกล่าวได้ว่าเป็นร่างหลักและเป็นร่างแปลงของท่านอาวุโสตี้เสวี่ย” ใบหน้าที่มีขนปกคลุมของจิตวิญญาณทองพลันเปลี่ยนสี ตอบกลับอย่างเยือกเย็น

 

 

“เซียนมู่รู้เรื่องราวของตาเฒ่าไม่น้อยจริงๆ!” คำพูดของจิตวิญญาณทองทำให้ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตตกตะลึง ทันใดนั้นก็หัวร่อออกมา สายตากวาดไปรอบๆ

 

 

ครานี้ด้านนอกนอกจากสองคนแล้ว ยังมีปีศาจระดับสูงเหลืออยู่อีกสามตน

 

 

ปีศาจทั้งสามตนล้วนสามารถแปลงกายเป็นคนได้ กำลังยืนอยู่นิ่งอย่างเชื่อฟังอยู่ไกลออกไป

 

 

หลังจากที่ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตกวาดสายตาไปที่สองสามคนนั้นแล้ว คราที่แววตาเปล่งประกายกำลังจะเอ่ยอะไรนั้น แต่รูม่านตาของเขาพลันหดเล็กลง ยกมือหนึ่งขึ้นด้วยความรวดเร็วราวสายฟ้า ตะปบไปกลางอากาศใกล้ๆ อย่างไม่มีเค้าลางมาก่อน

 

 

ชั่วขณะนั้นมือยักษ์สีแดงโลหิตข้างหนึ่งที่เต็มไปด้วยกลิ่นเลือดคละคลุ้งพลันปรากฎขึ้นกลางอากาศ ขยายขนาดจนมีขนาดหลายหมู่ ตะปบลงไปด้านล่างอย่างรุนแรง

 

 

เสียง “ปัง” ดังขึ้น กลางอากาศมีลำแสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะสับมือยักษ์สีโลหิตออกเป็นสองส่วน

 

 

จากนั้นเงาร่างคนที่อยู่ใกล้ๆ พลันพลิ้วไหว ภายใต้ลำแสงสีเงินพลันมีผู้ที่สวมชุดเกราะสีแดงโลหิตคนหนึ่งปรากฎออกมา มองมาทางผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตด้วยแววตาไร้ความรู้สึก

 

 

คาดไม่ถึงว่าจะเป็นหุ่นเชิดเกราะโลหิต!

 

 

“ระวังหน่อย! ไม่ใช่หุ่นเชิดเกราะโลหิตธรรมดาๆ! เป็นสิ่งที่ถูกชนชั้นสูงของเผ่าแมลงเม่าสิงอยู่” ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตที่อยู่ด้านข้างกลับร้องอุทานด้วยความตกตะลึง

 

 

การโจมตีเมื่อครู่ไม่ใช่อิทธิฤทธิ์ที่ยิ่งใหญ่อะไร แต่อีกฝ่ายถูกทำลายลงอย่างง่ายดายเช่นนี้ ก็ยังทำให้เขารู้สึกประหลาดใจมาก

 

 

เขาอดที่จะหรี่ตาสองข้างลงไม่ได้ จ้องเขม็งไปยังลำแสงสีเงินที่เลือนรางไม่ชัดเจน

 

 

ลำแสงสีเงินสายนี้เปล่งประกายอย่างผิดปกติ จากพลังการมองของเขาล้วนไม่อาจมองเห็นอะไรได้ นี่จึงทำให้เขารู้สึกระวังตัวขึ้นมา จ้องเขม็งไปยังลำแสงสีเงินด้วยดวงตาที่ไม่กระพริบ ไม่กล้าดึงระยะห่างแม้แต่ครึ่งก้าว

 

 

จิตวิญญาณทองได้ยินคำเตือนของผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิต และเห็นสีหน้าเคร่งขรึมเช่นนี้ ก็รู้สึกใจหายวาบ สายตาเปล่งแสงสีทองขณะทอดมองไป

 

 

แม้แต่ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตยังไม่อาจมองเห็นลำแสงสีเงินได้ชัดเจน ขณะที่จิตวิญญาณทองใช้ความสามารถของเนตรวิญญาณ คาดไม่ถึงว่าจะมองเห็นได้อย่างชัดเจน

 

 

เห็นเพียงกลางลำแสงสีเงินขุ่นๆ มังกรวารีสีเงินอ่อนสายหนึ่งกำลังหมุนวนโคจรอยู่ในนั้น เห็นได้ชัดว่าดูมหัศจรรย์มาก

 

 

“นี่คือ…”

 

 

จิตวิญญาณทองพลันขมวดคิ้ว ยังไม่ทันรู้ว่าคือสมบัติชนิดใด ทว่ากว่าครึ่งน่าจะเป็นสมบัติประเภทดาบหรือกระบี่ มิเช่นนั้นคงไม่อาจสับการโจมตีของผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตได้

 

 

“เจ้าน่าจะเป็นปลาที่หลุดรอดแหของเผ่าแมลงเม่าสินะ ในเมื่อสามารถตบตาพวกเราได้ ไม่ไปมั่วโลกีย์ที่อื่นล่ะ โผล่มาตอนนี้หรือว่าเบื่อการใช้ชีวิตแล้ว อยากให้พวกเราส่งเจ้าไปตายหรือ?” ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตเอ่ยปากหัวเราะอย่างเย็นชา น้ำเสียงแหลมสูงเป็นอย่างมาก

 

 

“มั่วโลกีย์? หากพวกเราไม่ได้ใช้ร่างของหุ่นเชิดสู้กับพวกเจ้า พวกเจ้าคิดว่าจะสังหารพวกเราได้ง่ายๆ หรือ ทว่าตอนนี้ก็ไม่จำเป็นแล้ว นอกจากพวกเจ้าแล้ว คนที่เหลือก็เข้าไปในบ่อเทวะแล้ว เช่นนั้นก็สามารถจับตะพาบในไห[1] และสังหารพวกเจ้าทั้งหมดได้แล้ว” หุ่นเชิดเกราะโลหิตเอ่ยอย่างเย็นชาออกมา

 

 

“สังหารพวกเรา เจ้าคนเดียวหน่ะหรือ?” ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตแบะปาก ไม่ได้โกรธขึง กลับหัวเราะอย่างเ**้ยมโหดออกมา

 

 

“ใช่แล้ว มีข้าเพียงคนเดียวและยังมีมีดเบญจมังกรด้วย!” ฉับพลันนั้นเสียงของหุ่นเชิดเกราะโลหิตพลันเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด

 

 

จากนั้นพลันยกมือหนึ่งขึ้นกวักเรียกไปกลางอากาศ

 

 

ชั่วขณะนั้นเสียงคำรามของมังกรพลันดังขึ้น มีดสีเงินแวววาวดุจกระจกร่อนลงมาจากกลางอากาศ ถูกหุ่นเชิดรับเอาไว้ และจับขวางมาเบื้องหน้าอย่างคล่องแคล่ว

 

 

“มีดเบญจมังกร! ดูเหมือนว่าข้าจะเคยได้ยินมาจากที่ไหนมาก่อน” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตจ้องมีดเล่มนั้นเขม็ง แววตาฉายแววตกตะลึงเล็กๆ ออกมา

 

 

“งั้นหรือ แต่มันไม่สำคัญหรอก พวกเจ้ากำลังจะเพลี้ยงพล้ำให้กับสมบัติชิ้นนี้แล้ว”

 

 

เอ่ยจบหุ่นเชิดสีม่วงโลหิตก็ดูเหมือนว่าจะไม่อยากเอ่ยอะไรอีก ฉับพลันนั้นพลันชูมือขึ้น มือหนึ่งถือมีดกวัดแกว่งไปยังฝั่งตรงข้าม

 

 

จิตวิญญาณสีทองและผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตเห็นเช่นนั้น ร่างกายก็พลิ้วไหวตามจิตสำนึกทันที บินออกทั้งซ้ายและขวา

 

 

เสียง “ฉับ” ดังขึ้นสามครั้ง เงามีดสีอื่นสามสายร่อนลงมา เป้าหมายก็คือปีศาจรระดับสูงที่อยู่ไกลออกไป

 

 

“เอ๋…” แม้ว่าปีศาจระดับสูงสามตนจะเตรียมการป้องกันเอาไว้แล้ว แต่เงาลวงตาก็เปล่งแสงสว่างวาบอย่างรวดเร็วเกินไป

 

 

หลังจากกระพริบวาบ ปีศาจสามตนก็ล้มลงกับพื้นอย่างไม่อาจต้านทานได้ร่างกายถูกแยกออกเป็นสองส่วน

 

 

จากนั้นหลังจากกระพริบวาบอีกครั้ง เงามีดสามชนิดหายไปอย่างแปลกประหลาด

 

 

จิตวิญญาณสีทองและผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตต่างพากันตกตะลึง ร่างของจิตวิญญาณสีทองหมุนติ้วๆ หมายจะพวยพุ่งหนีขึ้นไปกลางอากาศ

 

 

ส่วนผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตนั้นพลันสะบัดแขนเสื้ออย่างไม่ต้องคิด หมอกสีโลหิตเป็นกลุ่มๆ ปรากฎขึ้น

 

 

แต่หุ่นเชิดเกราะโลหิตที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม กลับเผยรอยยิ้มเยาะเย้ยออกมา แค่ตวัดมีดในมืออีกครั้ง

 

 

เงามีดสี่สายก็ร่อนลงมาทางศีรษะของเขาพร้อมกัน

 

 

ครั้งนี้เงาลวงตาดูเหมือนจะไม่รวดเร็วนัก แต่กลับลางเลือน แล้วมาอยู่ใกล้ทั้งสองแค่คืบ

 

 

ภายใต้ความตกตะลึงจนหน้าถอดสีของจิตวิญญาณสีทอง ไหล่พลันพลิ้วไหว กระบี่สั้นสองเล่มที่แต่เดิมสะพายอยู่บนไหล่กลายเป็นสายรุ้งสองสายพุ่งออกไปรับเงามีดสองสองสายเอาไว้

 

 

ผลคือเสียง “ครืด” ดังขึ้น ชั่วพริบตากระบี่สั้นสองเล่มพลันกลายเป็นสี่ส่วนแล้วร่อนลงมาด้านล่างฃ

 

 

เงาลวงตาสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบแล้วลดระดับลง!

 

 

“แย่แล้ว!” จิตวิญญาณสีทองร้องอุทานออกมาในใจด้วยความตกตะลึง ร่างกายรางเลือนอย่างรวดเร็ว

 

 

เงามีดเปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วขณะนั้นวานรตัวนั้นพลันกลายเป็นสองส่วน แต่ทันใดนั้นศพก็สลายหายไป

 

 

คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเพียงเงาลวงตาสายหนึ่งเท่านั้น

 

 

ห่างออกไปสิบจั้งเศษ ลำแสงสีทองสว่างวาบ ร่างของจิตวิญญาณทองปรากฎชัดเจนขึ้น

 

 

แต่ไม่รอให้ร่างของเขาปรากฎออกมาอย่างชัดเจน วานรสีททองตัวนั้นก็รู้สึกว่าเบื้องหน้าสว่างจ้า เงามีดอีกสายกระโจนเข้ามาในเวลาที่เหมาะเจาะพอดี มันจึงไม่อาจหลบหลีกได้

 

 

เสียง “ฉับ” ดังขึ้น หัวขนาดยักษ์ถูกตัดออก ศพวานรสีทองไร้หัวสั่นเทา แล้วล้มตึงลงกับพื้น

 

 

ส่วนหุ่นเชิดเกราะโลหิตที่ยืนอยู่ไกลออกไป กลับพลิกมีดสีเงินที่อยู่ในมือ คาดไม่ถึงว่าจะมีเพลิงสีเขียวกลุ่มหนึ่งปรากฎออกมา ด้านในห่อหุ้มวานรน้ยอสีทองขนาดจิ๋วเอาไว้ สีหน้าตกตะลึงและลนลาน

 

 

หัวเราะอย่างเย็นชา สมบัติในมือหุ่นเชิดเกราะโลหิตสั่นเทา

 

 

ชั่วขณะนั้นผิวของมีดพลันเปล่งแสงสีเงินสว่างวาบ วานรน้อยร้องอย่างน่าเวทนาออกมา เพลิงสีเขียวกลายเป็นกลุ่มควันท่ามกลางลำแสงวิญญาณ

 

 

ครานี้สายตาของหุ่นเชิดเกราะโลหิตถึงได้กวาดไปอีกด้าน

 

 

เห็นเพียงผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตที่อยู่ทางนั้นปล่อยหมอกโลหิตขนาดสองสามหมู่ออกมา ปกคลุมตัวเองเอาไว้อย่างแน่นหนา

 

 

แม้ว่าเงามีดสองสายจะสับไปมาไม่หยุด กลับยังคงถูกผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตหลบหลีกได้อย่างแปลกประหลาด

 

 

แววตาของหุ่นเชิดเกราะโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบ แค่นเสียงอย่างเย็นชาออกมา ฉับพลันนั้นพลันโยนมีดในมือขึ้นไปกลางอากาศ ชั่วขณะนั้นมีดพลันเปล่งแสงสีเงินสว่างวาบ ฉับพลันนั้นพลันมีเงามีดจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาอย่างหนาแน่นอย่างไร้จุดสิ้นสุด

 

 

ครานี้ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตที่แต่เดิมมีสีหน้าเยือกเย็นก็ตกตะลึงจนหน้าซีดเผือด

 

 

รีบกระตุ้นเมฆโลหิตอย่างไม่ต้องคิด คิดจะพุ่งไปหาทางเดินสีฟ้าที่อยู่ไม่ไกลนัก

 

 

เห็นได้ชัดว่ามันรู้แล้วว่ามีดที่อีกฝ่ายถืออยู่ ไม่ใช่สิ่งที่มันจะต้านทานได้

 

 

แต่สิ่งที่ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตคิดไม่ถึงก็คือ มาถึงครานี้แล้ว มีดเบญจมังกรเพิ่งจะเริ่มเผยเขี้ยวเล็บที่แท้จริงออกมา

 

 

หุ่นเชิดเกราะโลหิตใช้สองมือร่ายอาคม ฉับพลันนั้นเงามีดในมือพลันสลายหายไป มีดสีเงินพลันกลายเป็นกรงเล็บมังกรห้ากรงที่มีสีสันแตกต่างกันท่ามกลางเสียงฟ้าร้อง

 

 

หลังจากที่พวกมันหมุนตัวกลางอากาศแล้ว ก็กลายเป็นใบมีดยักษ์ห้าใบ สั่นเทาแล้วหายวับไปจากที่เดิม

 

 

และครู่ต่อมาด้านบนทางเข้าทางเดินสีฟ้า ใบมีดยักษ์ห้าใบก็ปรากฎขึ้นพร้อมกัน จากนั้นก็ตกลงมา

 

 

ด้านล่างก็คือเมฆโลหิตที่เพิ่งจะบินมาถึง

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] จับตะพาบในไห หมายถึง ทำสิ่งที่ทำได้อย่างง่ายดาย

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

Type: Author: ,
เจ้าบื้อที่สอง หานลี่ เด็กหนุ่มธรรมดาสามัญผู้ได้รับวาสนาให้ไปเข้าทดสอบเป็นศิษย์ในสำนักเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทำให้เขาได้รู้จักกับโลกใบใหม่ที่หนุ่มน้อยชนบทอย่างเขาใฝ่ฝันอยากสัมผัสกับมันมาโดยตลอด ในโลกแห่งเซียน เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรต่างฝึกฝนค้นหาเส้นทางเพื่อก้าวเข้าสู่ความเป็นนิรันดร์ ทว่าเส้นทางที่แม้กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรซึ่งมีพรสวรรค์สูงส่งแต่กำเนิดยังต้องผ่านความยากลำบากเท่าไหร่กว่าจะไปถึงจุดนั้น แล้วเด็กหนุ่มปุถุชนเช่นเขาจะทำได้หรือ? ด้วยความสามารถอันธรรมดาสามัญของเขาจะเอาตัวรอดในโลกแห่งเซียนนี้ไปได้อย่างไร? เส้นทางแห่งความสำเร็จช่างอยู่ห่างไกลเสียเหลือเกิน… คัมภีร์วิถีเซียนเป็นนิยายจีนย้อนยุคเล่าเรื่องการเดินทางอันน่าติดตามของหานลี่ ผู้ต้องใช้ทั้งไหวพริบและพลังยุทธ์ในการฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ด้วยตัวคนเดียว มาร่วมเดินทางไปกับหานลี่ ผู้เย้ยฟ้าท้านรกเพื่อแสวงหาเส้นทางแห่งการเป็นเซียนด้วยกันเถอะ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset