A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 1465 เผ่ามังกรปีศาจ

ต่อหน้าพวกหานลี่กับเซวี่ยตู๋ มู่ชิงและราชาปีศาจอีกสามคนได้หารือหลายเรื่องอย่างต่อเนื่อง

 

 

รายละเอียดในนั้นเกี่ยวข้องกับ “ภูตทมิฬ” “หุ่นเชิด” และของต่างๆ คิดไม่ถึงว่าพวกเขากำลังฝึกกำลังขนาดใหญ่ คล้ายกำลังเตรียมไปโจมตีอะไรบางอย่าง

 

 

ทว่าสิ่งที่หานลี่สนใจที่สุดก็ยังเป็น “แม่น้ำอเวจี” ที่คนเหล่านั้นเอ่ยถึงเป็นพักๆ

 

 

ตอนที่ได้ยินสถานที่นี้เป็นครั้งแรก หานลี่ก็เกิดฉุกคิดขึ้นมา สิ่งแรกสุดที่นึกขึ้นได้กลับเป็นสถานที่ที่เรียกว่าอเวจีทมิฬแห่งนั้น

 

 

ทว่า นอกจากคนพวกนี้จะพูดถึงสถานที่นี้สองสามครั้งแล้ว กลับไม่พูดถึงสิ่งใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับสถานที่นี้เลย

 

 

ในตอนนี้ หานลี่ได้ถอยมาอยู่อีกฝั่งนานแล้ว แอบสังเกตราชาปีศาจพวกนี้อย่างลับๆ

 

 

พูดตามจริง ในบรรดาสี่มหาราชาปีศาจนี้ คนที่เขารู้สึกว่าลึกลับและดูไม่ออกที่สุดก็คือลิ่วจู๋กับตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ย

 

 

คนแรกบนร่างแผ่กลิ่นอายหนาวเหน็บ ดูแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีกลิ่นอายของชีวิตแม้แต่น้อย หากไม่ใช่เพราะเห็นว่าการพูดการจาและอากัปกิริยาไม่มีสิ่งผิดปกติแม้แต่น้อย หานลี่คงสงสัยว่าเขาเป็นสิ่งที่ตายไปแล้ว

 

 

ส่วนคนที่สองเป็นเพราะมีสองร่างที่รูปร่างหน้าตาเหมือนกันไม่มีผิด

 

 

ชายชุดโลหิตสองคนไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียงพูด รูปร่าง และกลิ่นอายก็ไม่มีอะไรแตกต่างกัน แต่สองคนนี้ต่างก็ถูกเรียกว่าตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ย

 

 

เรื่องนี้ย่อมแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง

 

 

สำหรับมู่ชิงกับหญิงงามผมขาว หานลี่พอจะมองออกถึงความเป็นมาเล็กน้อยของสองคนนี้ได้ลางๆ

 

 

บนร่างของมู่ชิงถูกปกคลุมด้วยม่านแสงสีดำหนึ่งชั้น แม้กระทั่งใช้เนตรวิญญาณกระจ่างก็ยังไม่สามารถมองได้ชัด แต่แสงสีเขียวมรกตที่ทะลุออกมาจากแสงสีดำนั้น กลับไม่สามารถปิดบังสองตาของหานลี่ได้

 

 

อีกทั้งพลังวิญญาณพฤกษาที่แผ่ออกมาจากบนร่างของหญิงผู้นี้ยังบริสุทธิ์ถึงขั้นสุดยอด หานลี่จึงแทบจะแน่ใจถึงแปดส่วนว่า มู่ชิงคือปีศาจวิญญาณพฤกษาที่หายากตนหนึ่ง

 

 

เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นวิญญาณพฤกษาชนิดใด

 

 

สำหรับหญิงสาวผมขาว ตลอดทั้งร่างมีปราณทมิฬเกาะอย่างหนาแน่น ทั้งชีวิตนี้ของเขาเห็นแบบนี้น้อยมาก

 

 

อีกทั้งคำพูดของราชาปีศาจแต่ละตนเมื่อครู่นี้ หานลี่จึงเดาออกเช่นกันว่าหญิงงามผู้นี้คือปีศาจภูต

 

 

เพียงแต่ปีศาจตนนี้แทบจะหลอมร่างภูตของตัวเองจนเหมือนกับคนธรรมดาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน แสดงให้เห็นว่ามีอิทธิฤทธิ์ยิ่งใหญ่

 

 

แต่ด้วยเหตุนี้ หานลี่ก็สังเกตเห็นบนร่างของหยวนเหยามีปราณทมิฬเกาะตัวไม่บางเบาเช่นกัน ดูเหมือนจะไม่ใช่ร่างของคนธรรมดา เพียงแต่ไม่ได้มีร่างภูตที่แท้จริงเหมือนกับหญิงงาม

 

 

หญิงผู้นี้ดูเหมือนจะประสบกับโอกาสบางอย่าง สำหรับบนร่างของเหยียนลี่ก็เป็นเช่นเดียวกับหยวนเหยา

 

 

ทว่าดูจากกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากหญิงทั้งสอง มีพลังอยู่ในระดับเทพแปลงขั้นต้น

 

 

พวกหยวนเหยาสองคนมีพลังยุทธ์ต่ำเช่นนี้แต่กลับถูกหญิงงามผมขาวพามาอยู่ข้างกาย ดูแล้วถ้าไม่ใช่เพราะรักและไว้วางใจอย่างลึกซึ้ง ก็คงเป็นเพราะเหตุผลบางประการ

 

 

การเจรจาของราชาปีศาจเหล่านี้ไม่ได้ดำเนินต่อเนื่องนานนัก บางครั้งก็มีการโต้แย้งที่ไม่เห็นตรงกันบ้าง จึงใช้วิธีเสียงส่วนน้อยยอมฟังเสียงส่วนมาก ทำให้แก้ไขปัญหาได้เร็วมาก

 

 

เวลาผ่านไปหนึ่งมื้ออาหาร พวกลิ่วจู๋ก็หารือทุกเรื่องเสร็จสิ้น พลันยืนขึ้นและกล่าวลา

 

 

มู่ชิงลงมาจากดอกไม้สีทองอย่างไม่กล้าเสียมารยาท ส่งราชาปีศาจคนอื่นๆ ด้วยตัวเอง

 

 

ขณะที่ชายชุดโลหิตสองคนเดินมาที่ประตูวิหาร ได้เดินผ่านหานลี่พอดี ตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ยคนหนึ่งที่อยู่ใกล้เขาที่สุดก็หันมาถามหานลี่ด้วยน้ำเสียงประหลาด “หุ่นเชิดสองตัวที่ข้าส่งไป เจ้าเป็นคนสังหารใช่หรือไม่”

 

 

หานลี่ลังเลเล็กน้อย จึงค่อยโค้งคำนับแล้วตอบกลับอย่างซื่อตรง “ที่จริงแล้วชนรุ่นหลังเป็นคนสังหาร ก่อนหน้าไม่ทราบว่าเป็นลูกน้องของอาวุโส หวังว่าอาวุโสจะไม่ถือโทษโกรธเคือง”

 

 

“หึๆ แค่หุ่นเชิดกระจอกๆ สองตัว ข้าไม่เก็บมาใส่ใจหรอก แต่เรื่องนี้จะปล่อยไปเช่นนี้ไม่ได้ ภายหลังช่วยข้าทำงานเล็กสักงานหนึ่ง ถือเสียว่าหักล้างกับเรื่องนี้ก็แล้วกัน” ในหูของหานลี่มีเสียงที่ถ่ายทอดมาจากตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ยดังขึ้น

 

 

หานลี่เงยหน้ามองอีกครั้งด้วยความตกตะลึง

 

 

ชายชุดโลหิตสองคนกลับเดินผ่านตัวเขาไปอย่างช้าๆ ราวกับการถ่ายทอดเสียงเมื่อครู่นี้ไม่เคยมีมาก่อน

 

 

หานลี่ขมวดคิ้วคราหนึ่ง แอบรู้สึกว่าตนหาความยุ่งยากใส่ตัวอีกแล้ว

 

 

พวกหญิงงามผมขาวกับหยวนเหยาออกไปเป็นลำดับสุดท้าย และเดินผ่านข้างๆ หานลี่ไปเช่นกัน แต่หญิงงามผมขาวแค่ส่งยิ้มจางๆ ไม่ได้กล่าวอะไร ส่วนหยวนเหยากลับมีใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ ราวกับมองไม่เห็นหานลี่

 

 

เหยียนลี่กะพริบตาปริบๆ สายตาที่หันมามองหานลี่ ปรากฏถึงความรู้สึกราวกับคาดคิดไว้แล้ว

 

 

มุมปากของหานลี่พลันกระตุกคราหนึ่ง สีหน้าก็กลับมาเป็นปกติ เพียงแต่ฝ่ามือที่อยู่ในแขนเสื้อข้างหนึ่ง จู่ๆ นิ้วทั้งห้ากุมเข้าหากัน

 

 

“ยินดีด้วยน้องหาน ผู้ยิ่งใหญ่แต่ละท่านให้ความสำคัญกับสหายหานมากขึ้นแล้ว” เมื่อเห็นว่าพวกมู่ชิงออกจากวิหารใหญ่ไปตามลำดับแล้ว เซวี่ยตู๋ก็ยิ้มกล่าวกับหานลี่

 

 

“มีสิ่งใดให้น่ายินดี ตอนนี้ข้าน้อยยังงงๆ กับทุกเรื่องอยู่เลย อาวุโสเซวี่ยพอจะรู้ว่าเคล็ดวิชา “หลักแห่งการควบคุมอัสนี” อะไรนั่น สามารถทำให้อานุภาพของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายเพิ่มมากขึ้นได้จริงหรือ?” หานลี่หัวเราะขื่นๆ คราหนึ่ง พลันถามอย่างเชื่อครึ่งสงสัยครึ่ง

 

 

“หึๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ข้าก็รู้เพียงเล็กน้อย ในสมัยโบราณกาล อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายนั้นเป็นอัสนีเทวาพฤกษาที่เลื่องชื่อในแดนวิญญาณ เป็นหนึ่งในอัสนีแท้ทั้งห้าสาย ใช้สำหรับปัดเป่าปราณมารและสิ่งชั่วร้ายโดยเฉพาะ ในด้านอานุภาพก็ยังเหนือกว่าโลหิตอัสนีดาวเหนือของข้ายิ่งนัก ทว่าเทวะอัสนีนี้จำเป็นต้องใช้วิธีการพิเศษในการหลอมและควบคุม ไม่เช่นนั้นอานุภาพจะไม่สามารถสำแดงได้ถึงหนึ่งหรือสองในสิบส่วน ในสมัยโบราณที่แดนวิญญาณก็รู้จักการแบ่งพื้นที่แล้ว ซึ่งได้ถูกเผ่าใหญ่แต่ละเผ่าในสมัยโบราณร่วมมือกันปกครอง เนื่องจากอัสนีชนิดนี้เป็นภัยกับเผ่ามังกรปีศาจที่เป็นหนึ่งในนั้น พวกมันจึงรวบรวมไผ่อัสนีสวรรค์จากแต่ละเผ่าไปจนหมด และทำลายพวกมันจนหมดสิ้น ทำให้อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายแทบจะถูกทำลายจนไม่เหลือร่องรอยในแดนวิญญาณแล้ว สำหรับวิธีการควบคุมอัสนีชนิดนี้ หายากมากที่จะมีคนรู้ อย่างน้อย ผู้แซ่เซวี่ยก็ยังไม่รู้เลย” เซวี่ยตู๋ยิ้มเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าจะอธิบายอย่างละเอียดขึ้นมาจริงๆ

 

 

“เผ่ามังกรปีศาจ?” หานลี่ตกตะลึงเล็กน้อย

 

 

ตอนที่เขาอยู่เผ่ามนุษย์ดูเหมือนจะไม่เคยได้ยินว่าแดนวิญญาณมีเผ่านี้ด้วย

 

 

“เหอะๆ สหายหานไม่เคยได้ยินชื่อของเผ่านี้ใช่หรือไม่ เรื่องนี้ไม่น่าแปลก เป็นเพราะในปีนั้นเผ่าใหญ่ในสมัยโบราณไม่กี่เผ่ารังแกเผ่าอื่นๆ ในแดนวิญญาณมากเกินไป ในที่สุดจึงถูกเผ่าส่วนใหญ่ร่วมมือกันกวาดล้างแล้ว ทว่าไม่เผ่าใหญ่เพียงไม่กี่เผ่านี้มีพลังแข็งแกร่งเกินไป ในปีนั้น ทุกเผ่าต่างก็ถูกฆ่าตายไปเจ็ดถึงแปดในสิบส่วนด้วยเหตุนี้เช่นกัน เผ่าใหญ่ในแดนวิญญาณตอนนี้ ล้วนแข็งแกร่งขึ้นหลังจากสงครามใหญ่ครั้งนั้น ไม่เช่นนั้น จะยอมให้พวกเขาประกาศตัวเป็นใหญ่ในดินแดนวิญญาณได้อย่างไร ส่วนชื่อของพวกเผ่ามังกรปีศาจ ย่อมมีน้อยคนมากที่จะรู้” เซวี่ยตู่พูดถึงความลับในสมัยโบราณอย่างไม่หนักหนาอะไร

 

 

หานลี่ฟังแล้วค่อนข้างมึน

 

 

เรื่องใหญ่โตเช่นนี้ ทำไมในคัมภีร์โบราณของเผ่ามนุษย์กับเผ่าวิญญาณเหาะเหินถึงไม่มีการบันทึกเรื่องนี้ไว้ ด้วยความรู้สึกประหลาดใจ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะถามเรื่องนี้ขึ้น

 

 

“เรื่องในสมัยโบราณที่ข้าเล่า เป็นเรื่องในสมัยโบราณก่อนที่ทุกเผ่าจะมีการบุกเบิกครั้งแรก ตอนนั้นเผ่าวิญญาณเหาะเหินของพวกเจ้ายังไม่ปรากฏในดินแดนนี้ ย่อมไม่มีการจดบันทึกเรื่องราวพวกนี้เป็นธรรมดา” เซวี่ยตู๋หัวเราะหึๆ คราหนึ่ง

 

 

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” หานลี่ได้ยินดังนี้จึงค่อยเข้าใจ

 

 

ตามบันทึกในคัมภีร์โบราณของเผ่ามนุษย์ เวลาที่เผ่ามนุษย์ปรากฏในแดนวิญญาณน่าจะอยู่หลังจากเผ่าวิญญาณเหาะเหิน การที่จะไม่ได้บันทึกเรื่องราวพวกนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

 

 

ขณะที่หานลี่กับเซวี่ยตู๋กำลังพูดคุยสัพเพเหระกันอยู่ ที่ด้านนอกประตูวิหารก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น เป็นมู่ชิงที่เดินเข้ามาจากนอกวิหาร

 

 

เซวี่ยตู๋กับหานลี่ต่างก็หยุดการสนทนา เข้ามาคารวะราชาปีศาจตนนี้

 

 

มู่ชิงผงกศีรษะคราหนึ่ง พลันขยับร่างพลิ้วไหวกลับมานั่งบนดอกไม้มหึมาสีทองอีกครั้ง ก่อนที่จะเอามือเท้าคางไม่พูดไม่จา

 

 

ดูเหมือนหญิงพูดนี้จะมีเรื่องบางอย่างที่ยากจะตัดสินใจ ผ่านไปพักใหญ่ก็ยังไม่มีคำพูดหรือการกำชับใดๆ

 

 

หานลี่ตกตะลึงเล็กน้อย เหลือบมองเซวี่ยตู๋ที่อยู่ข้างๆ ทีหนึ่งด้วยจิตใต้สำนึก

 

 

มังกรโลหิตตนนี้สีหน้ากลับสงบนิ่งเป็นอย่างยิ่ง ดูเหมือนจะไม่รู้สึกผิดคาดใดๆ กับสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า

 

 

“สหายหาน เจ้าฟังให้ดีนะ ข้าไม่สนว่าเจ้าจะคิดอย่างไร แต่ภายในสองปีนี้จะต้องเชี่ยวชาญวิธีการควบคุมอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายเพื่อข้า หากเป็นเช่นนี้ สองปีที่อยู่กับแม่เฒ่าภูต ข้าย่อมสามารถช่วยเจ้าปฏิเสธได้ เข้าใจความหมายของข้าแล้วหรือยัง?” ภายในแสงสีดำมีเสียงของมู่ชิงดังออกมา

 

 

หานลี่หน้าเปลี่ยนสี ได้แต่ยิ้มเจื่อนแล้วตอบกลับ “อาวุโสมู่มีคำสั่ง ชนรุ่นหลังจะพยายามเต็มที่”

 

 

“หึ ทางที่ดีเจ้าควรพยายามเต็มที่อยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นข้าไม่มีทางให้เจ้าวิ่งไปหาแม่เฒ่าภูตเปล่าๆ หรอก” มู่ชิงแค่นเสียงคราหนึ่ง น้ำเสียงพลันเย็นยะเยือกขึ้นมา

 

 

หานลี่รู้สึกหนักใจ ได้แต่เงียบไม่ส่งเสียง

 

 

“สามวันหลังจากนี้ ข้าจะย้ายเจ้าไปอยู่ในถ้ำแก่นพฤกษา สองปีนี้ข้าจะเป็นคนชี้แนะหลักแห่งการควบคุมอัสนีให้เจ้าเอง เซวี่ยตู๋ เรื่องอาหารโลหิตในสองปีนี้มอบให้เจ้าจัดการทั้งหมดแล้ว” มู่ชิงหันหน้าแล้วกล่าวกำชับกับมังกรโลหิตด้วยน้ำเสียงอย่างไม่เป็นที่สงสัยใดๆ

 

 

“ขอรับ นายท่าน!” คราวนี้เซวี่ยตู๋รู้สึกเกินคาดจริงๆ แต่ก็รีบขานรับในทันที

 

 

หานลี่เองก็ตกตะลึงเช่นกัน

 

 

“พอแล้ว ข้าเหนื่อยแล้ว พวกเจ้าไปเถอะ” หลังจากกำชับเสร็จ มู่ชิงก็โบกมือ

 

 

หานลี่กับมังกรโลหิตจำต้องทำความเคารพแล้วเดินออกไป

 

 

“จุ๊ๆ น้องหานโชคดีไม่เบานะเนี่ย คิดไม่ถึงว่าจะทำให้นายท่านชี้แนะการฝึกฝนของเจ้าด้วยตัวเองได้ นี่ถือเป็นเรื่องดีที่ยากจะได้มาในรอบพันปีเชียวนะ!” พอออกจากวิหารใหญ่ เซวี่ยตู๋ก็พูดโพล่งกับหานลี่ขึ้นมา ดวงตามีสีของความประหลาดใจสายหนึ่งพาดผ่าน

 

 

“เป็นเช่นนั้นรึ ข้าน้อยยังไม่รู้เลยว่าในสองปีจะสามารถฝึกฝนหลักแห่งการควบคุมอัสนีสำเร็จจริงๆ หรือไม่” หานลี่กลับส่ายหน้าถี่ๆ ด้วยท่าทางค่อนข้างกลุ้มใจ

 

 

“ฮ่าๆ ในเมื่อนายท่านพูดเช่นนี้ จะต้องมั่นใจแน่นอน น้องหานไม่ต้องคิดมาก ผู้แซ่เซวี่ยยังมีเรื่องบางอย่างต้องจัดการ คงต้องขอตัวลาก่อน” เซวี่ยตู๋กลับหัวเราะฮ่าๆ คราหนึ่ง พลันเปล่งแสงโลหิตบนร่าง กลายเป็นลำแสงโลหิตสายหนึ่งพุ่งไปไกลในชั่วพริบตา

 

 

หานลี่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม สองตาหรี่มองลำแสงโลหิตที่หายไปในอากาศครู่หนึ่ง จึงค่อยหมุนกายเดินไปยังที่พักของตัวเองอย่างช้าๆ

 

 

ไม่นานนัก หานลี่ก็มาอยู่ในหอที่ตนพักอยู่

 

 

เขาเปิดอาคมต้องห้างออก เพื่ออำพรางไม่ให้คนอื่นๆ แอบมอง ก่อนที่จะนั่งขัดสมาธิบนเตียงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ดวงตาเปล่งประกายไม่หยุด

 

 

ผ่านไปพักใหญ่ จู่ๆ เขาก็ชูมือข้างหนึ่งขึ้น พลันกางนิ้วทั้งห้าออก เผยให้เห็นฝ่ามือ

 

 

ในฝ่ามือปรากฏอักขระสีดำตัวหนึ่งขนาดเท่าเมล็ดข้าวอย่างน่าประหลาด เมื่อเพ่งมองดู ก็เห็นเป็นตัวอักษร “เหยา” หนึ่งตัว

 

 

เมื่อเห็นตัวอักษรนี้ ใบหน้าของหานลี่ก็ปรากฏท่าทางประหลาด

 

 

หากบอกว่าก่อนหน้านี้ยังกึ่งเชื่อกึ่งสงสัยในสถานะของหยวนเหยา มาตอนนี้เชื่อทั้งหมดอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว

 

 

อักขระตัวนี้ ปรากฏอยู่ในมือของเขาตอนที่หยวนเหยาเดินผ่านข้างลำตัวเขาไป

 

 

ตลอดการกระทำไม่มีคลื่นวิญญาณแผ่ออกมาแม้แต่เสี้ยวเดียว แม้กระทั่งตัวตนที่น่ากลัวอย่างพวกมู่ชิงและหญิงงามก็ไม่สังเกตแม้แต่น้อย

 

 

ด้วยระดับเทพแปลงกระจ้อยร่อยคนหนึ่ง สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้ เป็นที่ค่อนข้างตกตะลึงจริงๆ

 

 

ไม่แปลกใจที่หานลี่จะมีสีหน้าผิดปกติเช่นนี้

 

 

เขายื่นนิ้วหนึ่งแตะเบาๆ ไปที่ตัวอักษร “หยวน” ในฝ่ามือ

 

 

หลังจากที่ปลายนิ้วเปล่งแสงสีเขียวดวงหนึ่ง ก็ลบตัวอักษรนี้หายไป

 

 

หานลี่หดสองมือกลับเข้าไปในแขนเสื้อ พลางครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ด้วยสีหน้าไม่สงบ

 

 

หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง เขาก็แบบมือข้างหนึ่งอีกครั้งอย่างฉับพลัน

 

 

เสียงฟ้าร้องดังขึ้นเบาๆ หนหนึ่ง บอลอัสนีสีทองลูกหนึ่งปรากฏออกมาจากฝ่ามืออย่างไร้สาเหตุ ขนาดเท่ากำปั้น เนื้อที่ของมันหดขยายไม่แน่นอน บนพื้นผิวมีเส้นสายฟ้าสีทองแวววาว เปล่งประกายไม่หยุด

 

 

หานลี่มองดูบอลอัสนีลูกนี้ด้วยใบหน้าที่ไร้ซึ่งอารมณ์ พลางหรี่ตาลง

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

Type: Author: ,
เจ้าบื้อที่สอง หานลี่ เด็กหนุ่มธรรมดาสามัญผู้ได้รับวาสนาให้ไปเข้าทดสอบเป็นศิษย์ในสำนักเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทำให้เขาได้รู้จักกับโลกใบใหม่ที่หนุ่มน้อยชนบทอย่างเขาใฝ่ฝันอยากสัมผัสกับมันมาโดยตลอด ในโลกแห่งเซียน เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรต่างฝึกฝนค้นหาเส้นทางเพื่อก้าวเข้าสู่ความเป็นนิรันดร์ ทว่าเส้นทางที่แม้กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรซึ่งมีพรสวรรค์สูงส่งแต่กำเนิดยังต้องผ่านความยากลำบากเท่าไหร่กว่าจะไปถึงจุดนั้น แล้วเด็กหนุ่มปุถุชนเช่นเขาจะทำได้หรือ? ด้วยความสามารถอันธรรมดาสามัญของเขาจะเอาตัวรอดในโลกแห่งเซียนนี้ไปได้อย่างไร? เส้นทางแห่งความสำเร็จช่างอยู่ห่างไกลเสียเหลือเกิน… คัมภีร์วิถีเซียนเป็นนิยายจีนย้อนยุคเล่าเรื่องการเดินทางอันน่าติดตามของหานลี่ ผู้ต้องใช้ทั้งไหวพริบและพลังยุทธ์ในการฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ด้วยตัวคนเดียว มาร่วมเดินทางไปกับหานลี่ ผู้เย้ยฟ้าท้านรกเพื่อแสวงหาเส้นทางแห่งการเป็นเซียนด้วยกันเถอะ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset