“ขอรับนายท่าน!” เงาร่างเตี้ยๆ สั่นไหว หัวก้มต่ำลงสามส่วน
“เจ้าไปเถิด ข้าจะกลับไปยังชั้นสามคนเดียว” สตรีออกคำสั่ง ทันใดนั้นก็ตบเท้าไปบนดอกไม้ยักษ์สีดำ
ชั่วขณะนั้นผิวของดอไม้ยักษ์พลันมีลำแสงสีดำเปล่งแสงสว่างพร่าง ผิวของร่างกายมีเขตอาคมสีเงินขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากันปรากฎขึ้น ลำแสงสีเงินสว่างวาบ พ่นหมอกสีดำสนิทออกมาจากใจกลางของเขตอาคม ชั่วพริบตาก็กลายเป็นทะเลหมอก ห่อหุ้มดอกไม้ยักษ์เอาไว้ข้างใน
ในไอหมอกมีเสียง “ครืนๆ” ของฟ้าคำรามดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีเงินสองสามสายเปล่งแสงสว่างจ้า ทะเลหมอกสลายออกท่ามกลางวายุที่โหมกระหน่ำ
ที่เดิมล้วนว่างเปล่า!
ปีศาจดอกไม้สีดำขนาดยักษ์ที่ติดอยู่กับสตรีร่างกายอรชนอ้อนแอ้นหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือเอาไว้เพียงเงาร่างที่มีเส้นขนปกคลุมนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งกาน้ำชา เงาร่างคนเตี้ยๆ ถึงได้หยัดกายลุกขึ้น แหงนหน้าขึ้นอย่างช้าๆ ภายใต้แสงสีเงินจากทะเลทรายที่สะท้อนมานั้น ก็เห็นใบหน้าวานรที่มีใบหูสี่หูได้อย่างชัดเจน แต่ดวงตาสีเขียวมรกตคู่นั้นกลับมีม่านตาเล็กบาง แผ่ไอเย็นยะเยือกราวกับอสรพิษออกมาอย่างไรอย่างนั้น
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นอสูรวานรอาฆาตตนหนึ่ง แต่แค่ขนของมันออกเป็นสีเหลืองเข้ม ดูเหมือนว่าจะเบิกเนตรแล้ว ไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดาอย่างไรอย่างนั้น
ปีศาจวานรตัวนี้กวาดสายตาไปรอบๆ ฉับพลันนั้นพลันอ้าปากพ่นหมอกสีเหลืองกลุ่มหนึ่งออกมา ห่อหุ้มซากดอกไม้วิญญาณยักษ์เอาไว้ข้างใน
ฉากที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฎขึ้น!
ท่ามกลางหมอกสีเขียวซากของดอกไม้วิญญาณยักษ์เริ่มละลายหายไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นของเหลวสีเขียวเหนียวๆ ผืนใหญ่ จากนั้นหมอกพลันหมุนวน ม้วนเอาของเหลวสีเขียวเหล่านั้นเข้าไปในท้องของปีศาจวานรอีกครั้ง
จากนั้นวานรตนนั้นพลันหลับตาทั้งสองข้างลง จมูกและหูทั้งสี่มีลำแสงสีเขียวเป็นสายๆ ปรากฎขึ้นพร้อมกัน กระพริบวาบๆ ขนสีเหลืองทั่วสรรพางค์กายกลายเป็นสีเขียวเข้ม และเปล่งแสงเรืองๆ ออกมา
หลังจากที่อสูรวานรอาฆาตตัวนี้นิ่งงันอยู่ที่เดิมไม่ไหวติงชั่วครู่ ฉับพลันนั้นใบหูสองหูในบรรดาสี่หูก็ขยับ แต่ทันใดนั้นก็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลังจากนั้นไม่นานอีกด้านของทะเลทรายก็มีเสียงแหวกอากาศดังขึ้น ลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ ลำแสงสีแดงกลุ่มหนึ่งพุ่งผ่านไป
กลางลำแสงสีแดงมีร่างบุรุษอ้วนจ้ำม่ำคนหนึ่งอยู่ในนั้น อายุประมาณสามสิบปีเศษ แผ่นหลังมีปีกสีเขียวคู่หนึ่ง บนศีรษะมีเขางอกออกมาคู่หนึ่ง ดวงตาเล็กๆ คู่หนึ่งกำลังกลอกไปมาไม่หยุด ใบหน้าฉายแววเจ้าเล่ห์เพทุบาย
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์เผ่าวิญญาณเหาะเหินสาขาอื่น ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้เลือกเส้นทางเดียวกันกับหานลี่ และมาเพียงลำพัง
แต่คนผู้นี้ดูเหมือนว่าจะมีท่าทางระมัดระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง
รูปร่างของปีศาจวานรในตอนนี้ข่างสะดุดตานัก ด้วยความรอบคอบของคนผู้นี้ จะไม่พบมันได้อย่างไร
ทันใดนั้นหลังจากร้องอุทานออกมา ลำแสงหลีกหนีของเจ้าอ้วนก็หยุดลงห่างจากปีศาจวานรไปยี่สิบสามสิบจั้ง มองไปยังปีศาจตนนี้ด้วยสีหน้าตกตะลึง
แม้นว่าปีศาจวานรจะดูดซากดอกไม้วิญญาณยักษ์ที่กลายเป็นของเหลวเข้าไปในร่างแล้ว แต่พื้นดินที่แตกละเอียดรอบๆ ร่องรอยของดอกไม้ยักษ์สีดำที่ทะลุขึ้นมาจากใต้ดินก็ยิ่งน่าตกตะลึงมากกว่าเดิม
ส่วนปีศาจวานรตัวนี้กลับยืนนิ่งอยู่ที่นี่เพียงลำพัง ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท ในจมูกและรูหูมีลำแสงเปล่งประกายไม่หยุด ดูเหมือนว่ากำลังตัดขาดประสาทสัมผัสต่อโลกภายนอก
เช่นนั้นสถานการณ์เช่นนี้จึงดูเหมือนว่าวานรตัวนี้เพิ่งจะต่อสู้กับอะไรสักอย่างไป และได้รับบาดเจ็บหนักจึงจำใจต้องหยุดพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ เลยไม่ได้ระมัดระวังเลยแม้แต่นิดเดียว
เห็นได้ชัดว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิญญาณเหาะเหินที่อยู่กลางอากาศขบคิดเช่นนั้น ดวงตาที่มองไปยังปีศาจวานรค่อยๆ เผยแววตื่นเต้นดีใจออกมา
แม้ว่าเป้าหมายในการทดสอบครั้งนี้จะไม่ใช่การสังหารปีศาจ แต่การสังหารปีศาจหุบเหวระดับสูงสักตน วัตถุดิบและแก่นปีศาจที่ได้ แน่นอนว่าย่อมคุ้มค่าไม่น้อย
เรื่องดีๆ อย่างการพลิกฝ่ามือก็ได้ประโยชน์นั้น แน่นอนว่าย่อมไม่มีผู้ใดยอมทิ้งไปง่ายๆ
บุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิญญาณเหาะเหินที่ไม่รู้จักความกล้าหาญ พลันระมัดระวังเป็นพิเศษ
เขาไม่ได้ลงมืออย่างบุ่มบ่าม แต่มองสังเกตการณ์ปีศาจวานรอย่างเงียบๆ อยู่ไกลๆ
เวลาผ่านไปหนึ่งมื้ออาหาร ยังคงไม่เห็นปีศาจมีการเคลื่อนไหวใดๆ เขาถึงได้วางใจในที่สุด
ใบหน้าเผยรอยยิ้มโหดเ**้ยมออกมา สองมือถูเขาด้วยกัน เปลวเพลิงกลุ่มหนึ่งทะลักออกมาตรงกลางระหว่างฝ่ามือทั้งสอง ทันใดนั้นเปลวเพลิงก็เปลี่ยนไป กลายเป็นทวนเพลิงยาวสองจั้งเล่มหนึ่ง
ปลายแหลมของทวนนั้นแหลมคมอย่างหาที่เปรียบมิได้ ตัวทวนเป็นสีแดงสด ถูกเปลวเพลิงร้อนแรงชั้นหนึ่งห่อหุ้มเอาไว้
ปีกทั้งสองข้างสยายออกอย่างช้าๆ บุรุษกลายเป็นลำแสงสีแดงสายหนึ่งกระโจนเข้าไปหาปีศาจวานรด้านล่าง
ไม่รู้ว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิหคสวรรค์ผู้นี้สำแดงเคล็ดวิชาลับอะไร แม้นว่าร่างกายจะอ้วนจ้ำม่ำ แต่ความเร็วกลับรวดเร็วอย่างหาที่เปรียบ ทุกขั้นตอนเกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบโดยที่ลมไม่กระดิกเลยสักนิด
ชั่วพริบตาลำแสงก็อยู่ห่างจากเหนือหัวของปีศาจวานรไปแค่สิบจั้งเศษ เมื่อเห็นว่าอสูรวานรอาฆาตตัวนั้นยังคงไม่ไหวติง
บุรุษเผ่าวิญญาณเหาะเหินพลันรู้สึกดีใจ สะบัดทวนยาวในมือไปอย่างไม่ลังเลอีก
เสียง “สวบ” ดังขึ้น
ทวนยาวกลายเป็นลำแสงสีแดงสายหนึ่งขว้างออกไป หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบก็ทะลุผ่านร่างของปีศาจวานรไป
แต่ใบหน้าที่เพิ่งเผยความยินดีของบุรุษ พลันเปลี่ยนสีไปยกใหญ่ทันที
เพราะว่าปีศาจวานรที่ถูกทวนเพลิงแทงทะลุผ่าน กลับหายไปในทันที คาดไม่ถึงว่าจะเป็นแค่เงาลวงตาสายหนึ่งเท่านั้น
“แย่แล้ว!”
บุรุษเผ่าวิญญาณเหาะเหินร้องอุทานในใจ สะบัดปีกทั้งสองอย่างไม่ต้องคิด หมายจะหนีไปจากที่เดิมในทันที
แต่กลับสายไปเสียแล้ว!
กลางอากาศห่างออกไปแค่คืบพลันมีเงาสีเขียวลางๆ ปรากฎขึ้น จากนั้นพลันเปล่งแสงสว่างวาบ กระโจนเข้าไปหาร่างของบุรุษ
เสียง “ปัง” ดังขึ้น หมอกสีเขียวกลุ่มหนึ่งระเบิดออก ชั่วครู่ก็ห่อหุ้มร่างของบุตรศักดิ์สิทธิ์เผ่าวิญญาณเหาะเหินเอาไว้
เสียงร้องอันน่าเวทนาพลันดังขึ้น!
ร่างของบุรุษทำได้เพียงเปล่งแสงสีแดงสว่างวาบ สลายหายไปราวกับหิมะที่ละลายในฤดูใบไม้ผลิ ลำแสงวิญญาณที่ปกป้องร่างไม่อาจต้านทานการกัดกร่อนของหมอกสีเขียวได้เลยสักนิด หลังจากที่ร่างทั้งร่างบินออกไปได้สิบจั้งเศษ ก็ร่วงลงจากกลางอากาศ กลายเป็นของเหลวสีเขียวกองหนึ่ง
ความสามารถของบุตรศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ไม่ทันได้สำแดงออกมาเลยสักนิด
ครานี้หมอกสีเขียวพลันหมุนวนผนึกรวมตัวกันสร้างภาพลวงตากลายเป็นปีศาจวานรตัวนั้นขึ้น
ปีศาจตัวนี้มองไปยังของเหลวบนพื้นอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง อ้าปากออกดูดเข้าไปในปากเช่นกัน
จะว่าไปแล้วบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิญญาณเหาะเหินผู้นี้ช่างตายอย่างไร้ความยุติธรรมจริงๆ หากอยู่บนพื้น จิตสัมผัสอยู่ในภาวะสมบูรณ์ ก็ไม่มีทางถูกเงาลวงตาสายหนึ่งหลอกลวงได้ง่ายๆ แน่ และยิ่งไม่มีทางถูกภาพลวงตาปีศาจวานรเข้าใกล้โดยไม่รู้สึกได้เช่นนี้
และในครานี้หลังจากที่ปีศาจวานรเคี้ยวกร้วมๆ แล้ว ก็เอ่ยพึมพำกับตนเองว่า
“คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคนของเผ่าวิญญาณเหาะเหิน ใกล้ถึงวันทดสอบของคนบนพื้นดินแล้ว เช่นนั้นที่การบวงสรวงถูกทำลายก็น่าจะเป็นคนของเผ่านี้”
ปีศาจตนนี้เอ่ยอย่างมีหลักการ จมูกทำเสียงฟุตฟิตๆ สองสามครั้ง ดวงตาทั้งสองเปล่งประกายสว่างวาบขณะจ้องไปยังทิศทางที่หานลี่และพวกจากไป
มันหัวเราะอย่างโหดเ**้ยม ร่างกายหมุนคว้าง กลายเป็นหมอกสีเขียวกลุ่มหนึ่งพุ่งแหวกอากาศไป
ไม่นานก็หายลับไปจากขอบฟ้า
……
“อันใด ให้พวกเราพบเจ้าสิ่งนี้ไว้” เหลยหลันขมวดคิ้วดำขลับ มือเรียวถือแผ่นหยกสีขาวเปล่งประกายเอาไว้ พลางเอ่ยถามด้วยความฉงนสงสัย
ไป๋ปี้ที่อยู่ด้านข้างก็ถือของสิ่งเดียวกัน แววตาฉายแววไม่เข้าใจออกมาเช่นกัน
แผ่นหยกโปร่งใสสองแผ่นนี้ ผิวของมันสลักอักขระสีเงินจางๆ อยู่ แค่ดูก็รู้ว่าเป็นของไม่ธรรมดา
เมื่อครู่อยู่ๆ หานลี่ก็ควักของสิ่งนี้ออกมาจากร่าง ให้ทั้งสองคนพกติดตัวเอาไว้ให้ดี
“ของสองสิ่งนี้นอกจากมีประสิทธิภาพในการป้องกันตัวแล้ว คุณสมบัติหลักๆ ก็คือเก็บซ่อนกลิ่นอาย และบอกตำแหน่งของพวกเรา หากเกิดอะไรขึ้น แล้วจำเป็นต้องแยกกันหนี ไม่แน่ว่าอาจจะได้อาศัยของสิ่งนี้ตามหากันและกัน” หานลี่กลับเอ่ยอย่างราบเรียบออกมา
ยุทธภัณฑ์แผ่นป้ายนามว่าป้ายไร้จำกัดสองแผ่นนี้ เป็นสมบัติระดับสูงที่เขาซื้อมาในเมืองเทวะสวรรค์ เหมาะกับการนำมาใช้ในสถานการณ์ในตอนนี้พอดี
ตอนนี้พวกเขาบินออกมาจากทะเลทรายและอยู่บนภูเขาเล็กๆ ลูกหนึ่ง หานลี่ขบคิดอย่างรอบคอบ หลังจากนั้นไม่นานก็หยิบของสองสิ่งออกมา
“ข้าน้อยไม่ชินกับการพกยุทธภัณฑ์ของผู้อื่น ขอบพระคุณในความหวังดีของพี่หาน” เหลยหลันมีสีหน้าเคร่งขรึม พลางเอ่ยปฏิเสธ
ไป๋ปี้เองก็สั่นศีรษะและหัวเราะเบาๆ ออกมา
หานลี่หัวเราหึๆ ออกมา ไม่ได้บีบบังคับพวกเขา กลับเก็บแผ่นหยกสองชิ้นเข้าไปอีกครั้ง
“ในเมื่อสหายทั้งสองไม่ยอม ก็ช่างเถิด แต่ชั้นแรกก็มีปีศาจระดับกลางปรากฎตัวแล้ว ก็ไม่ได้ปลอดภัยเหมือนที่พวกเราคิดเอาไว้ ข้าน้อยมีสมบัติเหาะเหินอยู่ชิ้นหนึ่ง มีความสามารถในการอำพรางตัว การอาศัยพาหนะนี้ในการเดินทาง ก็จะลดปัญหาได้ไม่น้อย” หานลี่เปลี่ยนข้อเสนอ
“สมบัติเหาะเหิน ก็พอใช้ได้” เหลยหลันฉีกยิ้ม
ไป๋ปี้พลันพยักหน้า ไม่ได้ท่าทีโต้แย้งอะไร
หานลี่หัวเราะเบาๆ ออกมา มือหนึ่งปัดไปที่กำไลเก็บของ ชั่วขณะนั้นรถเหาะสีเหลืองดินด้านหน้าแคบด้านหลังกว้างคันหนึ่งพลันปรากฎขึ้นเบื้องหน้า
รถวายุคันนี้ดูเหมือนว่าจะสร้างขึ้นจากไม้วิญญาณชนิดหนึ่ง ดูแล้วเบาหวิว แต่ภายนอกดูวิจิตรงดงามมาก เหมือนลงอาคมจำนวนไม่น้อยเอาไว้
ทั้งรถเหาะมีขนาดเจ็ดแปดจั้ง เพียงให้นั่งได้สามคน
รถคันนี้เป็นรถที่หานลี่จงใจเก็บรวบรวมมาสองสามครั้ง ก่อนการเดินออกจากเมืองเทวะสวรรค์ เพื่อจะได้สะดวกใช้ในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน
“พี่หานสุภาพเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเราสองคนก็ต้องรับไว้ด้วยความเคารพแล้ว” เหลยหลันและไป๋ปี้มองสบตากันแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยตอบรับด้วยความจริงใจ
หานลี่แววตาเปล่งประกาย ร่างคนพลิ้วไหวมาปรากฎตัวในรถเหาะ
เหลยหลันและพวกทั้งสงอเองก็ตามเข้ามาในรถ
หานนลี่ใช้มือหนึ่งตบไปที่รถเหาะ คาถาลึกลับสองสามสายจมหายเข้าไปในรถ
ชั่วขณะนั้นรถคันนั้นพลันสั่นเทา ลำแสงสีขาวนวลชั้นหนึ่งปรากฎขึ้น ห่อหุ้มรถเหาะทั้งคันเอาไว้ข้างใน
ลำแสงที่พื้นผิวไหลเวียนไปมา รถเหาะทั้งคันค่อยๆ เปลี่ยนเป็นโปร่งใส ด้านหลังสุดเหลือเพียงเงาสีขาวจางๆ
รถเหาะพุ่งแหวกอากาศไป
“พี่หาน ในเมื่อมีสมบัติชิ้นนี้ เอามาใช้ตั้งแต่แรกก็ได้แล้ว” แน่นอนว่ารถเหาะเผ่ามนุษย์และสมบัติเหาะเหินที่เผ่าวิญญาณเหาะเหินใช้นั้นไม่เหมือนกัน หลังจากที่ไป๋ปี้พิจารณาอยู่ในรถรอบหนึ่งแล้ว ก็เอ่ยถามพร้อมกลั้วหัวเราะ
“แม้ว่ารถคันนี้จะสะดวกมาก แต่ก็มีข้อบกพร่อง” หานลี่เอ่นตอบกลับอย่างเงียบๆ
“ข้อบกพร่องอันใด?” เหลยหลันเองก็รู้สึกอยากรู้เล็กๆ
“หึๆ หากอยากควบคุมรถคันนี้โดยสำแดงการอำพรางตัวด้วยนั้น มีเพียงต้องใช้ศิลาวิญญาณธาตุไม้ระดับสูงเท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้นยังเปลืองไม่น้อย นอกจากการอำพรางและความเร็วที่ไม่เร็วแล้ว รถคันนี้ก็มีพลังในการป้องกันที่ต่ำมาก ถูกโจมตีได้อย่างง่ายดาย หากไม่รีบบเดินทางหรือไม่จำเป็น ข้าน้อยก็ไม่อยากใช้มัน” หานลี่อธิบายไปอย่างสบายๆ
เมื่อได้ฟังหานลี่กล่าวเช่นนี้ ไป๋ปี้และพวกทั้งสองก็หัวเราะอย่างแหบแห้งออกมา ไม่ได้เอ่ยซักถามอะไรอีก
รถเหาะที่กลายเป็นเงาสีขาวราวกับวิญญาณออย่างไรอย่างนั้น ความเร็วน่าตกตะลึง หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบสองสามครั้ง ก็หายวับไปจากบริเวณรอบ
แน่นอนว่าหานลี่และพวกทั้งสามไม่รู้ว่าห่างจากพวกเขาไปไกลแสนไกล หมอกสีเขียวกลุ่มหนึ่งหยุดชะงักอยู่กลางอากาศ ทันใดนั้นก็มีเสียงคำรามต่ำๆ ด้วยความโกรธเกรี้ยวดังขึ้นจากด้านใน ความเร็วเพิ่มขึ้นกว่าครึ่ง พุ่งไปด้านหน้าราวกับดาวตก
กลางหุบเขาใกล้กับประตูหุบเหวชั้นหนึ่งมากที่สุด มีคนของเผ่าวิญญาณเหะาเหินเจ็ดแปดคนกำลังเคลื่อนตัวไปข้างหน้า
ผู้นำมีผิวสีแดงเข้ม หน้าตาโหดเ**้ยม นั่นก็คือจู้อินจื่อและบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าแดงสดคนอื่นๆ