แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นหานลี่ก็อยู่ในห้วงมิติประหลาด รอบด้านเป็นสีเทาขมุกขมัว ไม่ไกลนักมีประตูยักษ์สีดำสนิทตั้งตระหง่านอยู่บานหนึ่ง ด้านบนมีอักขระยันต์สีทองเงินปรากฏอยู่เต็มไปหมด
กะพริบวาบๆ เผยท่าทีลึกลับออกมา
ประตูบานนี้เหมือนกับประตูยักษ์ที่อยู่บนฉากกั้นห้องทุกระเบียบนิ้ว
ราวกับว่าเขาถูกม้วนเข้าไปในภาพวาดบนฉากกั้นก็ไม่ปาน
“ที่นี่ดูคล้ายกับเขาพระสุเมรุนัก” หลังจากที่หานลี่กวาดตาไปรอบด้าน สายตาก็ตกอยู่บนประตูยักษ์ ใบหน้ากลับเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมา
ฉับพลันนั้นเขาก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ จานอาคมหลากสีสันปรากฏขึ้นในมือ
อีกมือหนึ่งพลันร่ายอาคมกระตุ้นอย่างรวดเร็ว จานอาคมทยอยกันพุ่งออกไป
พวกมันหยุดชะงักอยู่รอบๆ แล้วกลายเป็นดวงแสงร่อนลงมาด้านล่าง เมื่อสัมผัสกับพื้นดินก็จมหายเข้าไปอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หมอกลำแสงสีขาวนวลก็ทะลักออกมาจากจุดที่จานอาคมสลายหายไป
หนาแน่นไม่ยอมเลือนหาย คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นกำแพงหมอกหนาๆ บดบังหานลี่และประตูยักษ์ตรงหน้าเอาไว้
หานลี่ที่อยู่อีกด้านของกำแพงหมอก ถึงได้มีสีหน้าผ่อนคลายลง สะบัดแขนเสื้อ ลำแสงสีเขียวที่ห่อหุ้มสิ่งหนึ่งเอาไว้บินออกมา หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็ลอยอยู่ตรงหน้า
นั่นคือสมบัตินภาสูญ!
เขายกมือขึ้นชี้ไปที่หม้อใบนั้น
ผลคือฝาหม้อเปิดออกโดยอัตโนมัติ ด้านในเปล่งแสงสีเขียวสว่างจ้า เงาลวงตาสีขาวสายหนึ่งพุ่งออกมา
กลางอากาศมีเด็กผู้หญิงสวมกระโปรงสีขาวอายุหกเจ็ดขวบปรากฏขึ้น ถักเปีย หน้ากลมๆ น่ารักน่าชังเป็นอย่างยิ่ง
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นฉวี่เอ๋อร์!
“คารวะคุณชาย!” เด็กหญิงคารวะหานลี่อย่างนอบน้อมพร้อมกับฉีกยิ้มเบิกบาน
“ทำได้ไม่เลว! คาดไม่ถึงว่าจะอยู่ในหม้อโดยไม่เผยกลิ่นอายออกมาเลยสักนิด แม้แต่ข้าก็ไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของเจ้า สองคนนั้นย่อมไม่อาจพบได้” หานลี่เผยสีหน้าพึงพอใจออกมา พลางเอ่ยชม
“ล้วนเป็นเพราะสมบัติและยันต์วิเศษที่คุณชายมอบให้ มิเช่นนั้นฉวี่เอ๋อร์มีอิทธิฤทธิ์แค่นี้ จะปิดบังสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาขั้นสุดยอดสองคนได้อย่างไร” เด็กหญิงชุดสีขาวเอ่ยพร้อมกับหัวเราะคิกคัก
นางเอ่ยจบลำแสงสีดำก็เปล่งแสงสว่างวาบ ผ้าไหมสีดำบินออกมาจากร่าง ในเวลาเดียวกันมือหนึ่งก็ตะปบไปกลางอากาศ ยันต์ชำระพิสุทธิ์สีม่วงใบหนึ่งปรากฏออกมา
สองมือของฉวี่เอ๋อร์กุมทั้งสองสิ่งเอาไว้ ท่าทางหมายจะส่งมอบให้หานลี่
“ไม่ต้องคืนข้า เจ้าเองก็เชี่ยวชาญเคล็ดวิชาหลีกหนีและการอำพรางตัว สมบัติสองชิ้นนี้อยู่ในมือเจ้ายิ่งมีอานุภาพที่น่าตกตะลึง ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่น แม้ว่าข้าใช้สองนี้เอง ยังไม่แน่ว่าจะปิดบังหูตาของสองคนนั้นในระยะประชิดเช่นนี้ได้ และยิ่งไปกว่านั้นข้ายังมีของที่เตรียมไว้เช่นกัน เจ้าเก็บไว้ป้องกันเถิด” หานลี่โบกมือขณะเอ่ย
“ในเมื่อคุณชายกล่าวเช่นนี้ ข้าก็ขอเก็บพวกมันเอาไว้นะเจ้าคะ” ฉวี่เอ๋อร์ฉีกยิ้มร่า ตบผ้าไหมสีดำและยันต์ไปบนร่าง แล้วจมหายเข้าไปในร่างอีกครั้งอย่างไร้ร่องรอย
หานลี่เห็นเช่นนั้นพลันหัวเราะน้อยๆ ออกมา จากนั้นก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ก่อนหน้านี้ยามที่ข้าเก็บสมบัติในหม้อสีทองนั้น ได้จงใจทำให้ลำแสงวิญญาณเปล่งแสงเจิดจ้าขึ้น ถึงได้ถือโอกาสนี้ส่งมันเข้ามาในหม้อนภาสูญ แต่ยามที่เปิดหม้อนี้อีกครั้งนั้นใช้เวลาสั้นมาก เจ้าลงมือทันหรือไม่?”
“ฮิๆ การเคลื่อนไหวของฉวี่เอ๋อร์รวดเร็วมาก นายท่าน ท่านดูสิ!” เด็กหญิงได้ยินพลันฉีกยิ้มอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็พลิกฝ่ามือน้อยๆ ยาลูกกลอนสีทองเรืองรองปรากฏออกมา
“ยาลูกกลอนวิญญาณสูญ! ทำได้ดีมาก!” แม้ว่าหานลี่จะคาดเดาอยู่ในใจสองสามส่วน แต่เมื่อเห็นยาลูกกลอนชนิดนี้จริงๆ ก็ยังคงดีใจเป็นอย่างยิ่ง
เขายกมือขึ้นกวักเรียก ดูดยาลูกกลอนสีทองเม็ดนั้นออกมาจากมือของเด็กหญิง แล้วเพ่งพินิจมองสองแวบ ในที่สุดก็มั่นใจว่าไม่ผิดพลาด
เป็นยาลูกกลอนที่เหมือนกับสองเม็ดก่อนหน้าทุกระเบียบนิ้ว แม้หานลี่จะไม่รู้ว่ายาลูกกลอนชนิดนี้มีสรรพคุณอย่างไร แต่แม้แต่สิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์อย่างไฉ่หลิวอิงและต้วนเทียนเริ่นก็ยังต้องการเช่นนี้ ล้วนต้องเป็นของสำคัญ ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน ก็รู้ระดับความล้ำค่าของมันแล้ว
“เป็นเพราะนายท่านรับสั่งเอาไว้ว่า ไม่ให้แตะต้องสมบัติเหล่านี้ แต่ให้ความสำคัญกับขวดยาลูกกลอนและพวกกล่องยา ดังนั้นจึงทำได้เพียงเทยาลูกกลอนออกมาจากขวดเม็ดหนึ่ง นายท่านเคยสั่งเอาไว้ว่า หากยาลูกกลอนมีมากกว่าสองเม็ด ก็เอามาหนึ่งเม็ดได้ ฉวี่เอ๋อร์ทำตามทุกอย่าง มิเช่นนั้นที่เหลืออีกสองเม็ด ข้าเองก็ไม่อยากทิ้งไว้” เด็กหญิงหยักมุมปาก คาดไม่ถึงว่าจะมีท่าทีเสียดายหลายส่วน
หานลี่ได้ฟังแล้ว กลับหัวเราะร่า
“เจ้าช่างละโมบนัก เอายาลูกกลอนวิญญาณสูญเม็ดหนึ่งมาได้ใต้จมูกของสองคนนั้น ก็นับว่าโชคดีและมีวาสนาแล้ว หากไปยุ่งกับยาลูกกลอนชนิดอื่นอีก อาจจะเกิดปัญหาได้ง่าย ทว่าโชคดีที่ในขวดมียาลูกกลอนวิญญาณสูญสามเม็ด หากมีแค่เม็ดเดียวหรือแม้กระทั่งสองเม็ด ก็จัดการยากจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจจะต้องล้มเลิกความคิดไปทั้งอย่างนั้น ข้าไม่อยากอยู่ในแดนของชนนอกเผ่า แล้วถูกสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์สองคนไล่สังหาร” หานลี่ฉีกยิ้มพลางอธิบายสองประโยค มือหนึ่งปัดไปที่กำไลเก็บของ ขวดสีม่วงทองปรากฏขึ้นในมืออีกครั้ง
เขาเทยาลูกกลอนด้านในออกมา ลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบแปะยันต์ต้องห้ามลงไปสองสามแผ่น แล้วถึงได้เก็บเข้าไปอีกครั้งอย่างระมัดระวัง
“นายท่านกล่าวเช่นนี้ จะต้องมีเหตุผลแน่ แต่มองเห็นยาลูกกลอนวิญญาณร่อนลงในมือของทั้งสอง ข้าก็รู้สึกไม่ยินยอมนัก” ฉวี่เอ๋อร์ยังคงเอ่ยด้วยท่าทีไม่เต็มใจ
หานลี่สั่นศีรษะยิ้มๆ แต่ทันใดนั้นก็นึกอันใดได้ ชูแขนเสื้อขึ้น มีดบินยาวสองสามชุ่นทะลักออกมาจากแขนเสื้อเต็มไปหมด
ทุกเล่มล้วนเปล่งแสงเย็นเยียบ บางเฉียบราวกับกระดาษ ชั่วพริบตาก็เรียงตัวกันทั่วท้องฟ้า มีจำนวนประมาณสามสี่ร้อยเล่ม
“นายท่าน นี่คือ…” เด็กหญิงมองอย่างตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
“มีดบินชุดนี้ สร้างขึ้นจากปีกของคางคกประหลาดนอกมหาสมุทรครั้งที่แล้ว มีทั้งหมดสามร้อยหกสิบเล่ม ข้าว่าเจ้ายังไม่มีสมบัติป้องกันตัว มอบให้เจ้าป้องกันตัวก็แล้วกัน แม้ว่าพวกมันจะไม่อาจเทียบกับสมบัติระดับสุดยอดอย่างสมบัติสะท้านฟ้าอะไรเทือกนั้นได้ แต่หากหลอมทั้งหมดได้จริงๆ พบคู่ต่อสู้ปกติ ก็ป้องกันตัวได้เหลือเฟือ นับว่าเป็นรางวัลในครั้งนี้ของเจ้า!” หานลี่เอ่ยไปพลาง มือข้างหนึ่งก็ตะปบไปกลางอากาศ
ชั่วขณะนั้นลำแสงเย็นเยียบพลันเปล่งแสงสว่างวาบไปทั่วท้องฟ้า มีดบินสามร้อยกว่าเล่มเปล่งแสงสว่างวาบ พุ่งไปหาเขา ชั่วครู่มีดบินทั้งหมดก็ลายเป็นสองตั้งหนาๆ ร่อนลงในมือ
หานลี่หัวเราะน้อยๆ พลางรับมีดบินทั้งหมดเอาไว้ แล้วส่งให้ผู้ที่อยู่ตรงข้าม
“ขอบพระคุณคุณชายที่มอบสมบัติให้!” ฉวี่เอ๋อร์ได้ยิน ใบหน้าเล็กๆ ทั้งตกตะลึงระคนดีใจ ร่างกายพลิ้วไหว แล้วรางเลือนหายวับไป แต่ครู่ต่อมาคนก็มาปรากฏตรงหน้าหานลี่ และรับมีดบินเอาไว้ด้วยความยินดี
“เอาละ เพื่อความระมัดระวัง เจ้าคืนร่างเดิมไปหลอมมีดบินเหล่านี้ก่อนเถิด หากข้าไม่เรียก อย่าออกมาปรากฏตัว” หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึม พลางออกคำสั่งกำชับ
“เจ้าค่ะ คุณชาย ฉวี่เอ๋อร์จะตั้งใจฝึกฝน” เด็กหญิงชุดขาวรับปากเต็มคำ มือหนึ่งร่ายอาคม พามีดบินทั้งหมดกลายเป็นลำแสงสีขาวกระโจนมาหาหานลี่ จมหายเข้าไปในแขนเสื้อ แล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เลื่อนสายตาไปตกอยู่ที่ประตูยักษ์ที่อยู่ไม่ไกลนัก ใบหน้าค่อยๆ เผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น ในตำหนักหลักสีม่วงหลังเดิม สือคุนและหลิวสุ่ยเอ๋อร์กำลังมองไปยังฉากกั้นตรงหน้า แล้วมองสบตากันไปมา
เห็นเพียงม่านลำแสงสีเขียวที่ห่อหุ้มฉากกั้นเอาไว้ค่อยๆ สลายหายไป ภาพวาดเผยออกมาเกือบหมด
แต่สิ่งที่มาแทนที่ก็คือในภาพวาดเต็มไปด้วยหมอกสีขาวโพลน ไม่อาจมองเห็นประตูยักษ์ที่อยู่ด้านในบานนั้นได้
รอบด้านของฉากกั้นมีธงอาคมสีเหลืองสิบกว่าด้ามปรากฏขึ้นตอนไหนก็สุดจะรู้ได้ เปล่งแสงสีเหลืองอ่อนเรืองๆ กำลังล้อมฉากกั้นอยู่ตรงกลาง กลายเป็นเขตอาคมที่ไม่ธรรมดา
กลางอากาศเหนือเขตอาคมยังมีระลอกคลื่นอยู่จางๆ
ส่วนตรงหน้าหลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุน มีสมบัติเปล่งแสงเรืองๆ ลอยอยู่สองสามชิ้น วนล้อมทั้งสองคนไปมาไม่หยุด
“เซียนหลิว เป็นอย่างไรบ้าง พวกเราใช้พลังของเขตอาคมแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่สมบัติที่มีอานุภาพสองสามชนิดก็เรียกออกมา แต่ก็ยังไม่อาจเปิดทางเข้าเขตอาคมบนฉากกั้นได้ เขตอาคมมิติเวลานี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะทำลายได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่สหายหานเข้าไปได้อย่างไร ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ใช้กำลังมากนัก” สือคุนถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ฉับพลันนั้นก็เอ่ยถามหลิวสุ่ยเอ๋อร์
“พี่สือไม่ได้สังเกตหรือ?” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เงียบขรึมไปชั่วครู่แล้วถามย้อน
“สังเกตอันใด?” ชายร่างใหญ่กลับรู้สึกงุนงงจริงๆ
“เมื่อครู่หว่างคิ้วของสหายหานมีเนตรสีดำที่สามปรากฏขึ้น เจ้าไม่รู้สึกว่าเหมือนในตำนานหรือ?” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เอ่ยอย่างราบเรียบ
“เจ้าหมายถึงเนตรทำลายล้าง!” ถึงอย่างไรเสียสือคุนก็ไม่ใช่คนธรรมดา ถูกหญิงสาวสวมงอบเตือนสติ ชั่วขณะนั้นพลันถึงนึกขึ้นมาได้
“ใช่แล้ว นอกจากเนตรปีศาจในตำนานแล้ว น้องหญิงก็ไม่เคยได้ยินว่าจะมีอันใดที่มีอิทธิฤทธิ์คล้ายคลึง และยิ่งไปกว่านั้นยังทำลายเขตอาคมเข้าไปในฉากกั้นห้องได้อย่างง่ายดายเช่นนี้” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เอ่ยอย่างเยือกเย็น
“หากเป็นเนตรทำลายล้างล่ะก็ จะต้องมีอิทธิฤทธิ์ที่น่าเหลือเชื่อแน่ นอกเสียจากว่าจะพยายามทำลายทางเข้า มิเช่นนั้นก็ไม่มีโอกาสเข้าไปได้” สือคุนขมวดคิ้วแน่น แล้วเอ่ยพึมพำ
“พวกเราร่วมมือกันจนปราณแท้เสียหาย อาจจะมีโอกาสทำได้สองสามส่วน แต่หากพลั้งมือล่ะก็ อาจจะเท่ากับว่าตัดทางออกของสหายหาน หากเป็นเช่นนั้น พี่สือไม่กลัวว่าสหายหานจะฉีกห้วงเวลาออกมาระบายความแค้นกับเจ้าด้วยความโกรธเกรี้ยว ถึงอย่างไรเสียหากมีเนตรทำลายล้างล่ะก็ เรื่องนี้ก็จัดการได้ง่ายมากแล้ว” แววตางดงามของหลิวสุ่ยเอ๋อร์กลอกไปมา แล้วหัวเราะน้อยๆ ออกมา
สือคุนได้ยินคำพูดของหลิวสุ่ยเอ๋อร์ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย สายตามองไปที่ฉากกั้นสองแวบ ทันใดนั้นก็หัวเราะแห้งๆ ออกมา
“เซียนหลิวล้อเล่นแล้ว ผู้แซ่สือจะไปทำเรื่องที่ทำลายผู้อื่นโดยไม่ได้รับประโยชน์ทำไมกัน ในเมื่อไม่อาจทลายเขตอาคมได้ในระยะเวลาอันสั้น พวกเราก็ไปจากที่นี่เถิด ไปดูที่วิหารข้างอื่นว่าจะมีสมบัติอันใดหรือไม่?”
“สหายสือกล่าวได้ถูกใจน้องหญิง ข้าเองก็คิดเช่นนั้น” ครั้งนี้หลิวสุ่ยเอ๋อร์สนับสนุนพร้อมรอยยิ้มเบิกบาน
สือคุนเห็นเช่นนั้น ก็หัวเราะหึๆ ออกมา ใช้สายตาอาลัยอาวรณ์กวาดไปที่ฉากกั้นห้องอีกครั้ง สะบัดแขนเสื้อไปด้านข้างทันที
ชั่วขณะนั้นพายุประหลาดสีเหลืองก็หมุนวนออกมาจากแขนเสื้อ ม้วนเอาขวานยาว ขวานยักษ์อาวุธมีดต่างๆ และยังมีเกราะสีเทาต่างๆ ที่อยู่บนกำแพงและบนพื้นดินเข้าไป