หนึ่งวันต่อมา สายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งออกมาจากเทือกเขาของตระกูลสวี่ หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็ปรากฏเงาร่างของหานลี่บนที่สูง
เขาหันกลับไปมองเทือกเขาด้านล่างอย่างราบเรียบ แล้วกลายเป็นลำแสงหลีกหนีพุ่งออกไปอีกครั้ง
หลังจากกะพริบวาบสองสามครั้ง ลำแสงหลีกหนีก็สลายหายไปที่ขอบฟ้า
สองสามวันต่อมาหานลี่ที่อยู่ในเขตแดนเทียนหยวน ก็เริ่มผจญภัยระยะยาวไปตามย่านร้านค้าน้อยใหญ่ต่างๆ
สำนักหรือตระกูลต่างๆ ที่มีชื่อเสียงในย่านร้านค้าแถวนี้ล้วนปรากฏร่องรอยของเขาขึ้นตามลำดับ หานลี่ไปเยี่ยมเยียนถึงบ้าน หรือไม่ก็พูดคุยกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูง ไม่ก็ไปสังเกตการณ์ดูอย่างเงียบๆ แล้วจากไป
แม้ว่าสถานที่ที่ออกผจญภัยจะเป็นแค่หนึ่งในสิบส่วนของเขตเทียนหยวนเท่านั้น แต่ระยะเวลาสั้นๆ สองสามวัน ก็เพียงพอจะทำให้หานลี่เข้าใจสถานการณ์ในเผ่ามนุษย์มากขึ้นแล้ว
สำหรับเผ่ามนุษย์แล้วจำนวนของผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์นั้นย่อมสู้เผ่าแมลงมีเขาไม่ได้เลย แม้กระทั่งกับเผ่าวิญญาณเหาะเหินที่อยู่ในระดับเดียวกัน
นอกจากเมืองเทวะสวรรค์รวมทั้งผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ที่ขึ้นอยู่กับสามจักรพรรดิแล้ว ระดับผสานอินทรีย์ของตระกูลสำนักอื่นๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ก็มีอยู่ไม่มากนัก
ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษระดับผสานอินทรีย์อย่างเขา ก็มีอยู่แค่ไม่กี่คนในเผ่ามนุษย์
ส่วนเผ่าปีศาจว่ากันว่ามีมากกว่าเผ่ามนุษย์เล็กน้อย แต่จำนวนก็ไม่ได้มากนัก
หากทั้งสองเผ่าร่วมมือกัน เดาว่ากำลังก็คงไม่ต่างอันใดกับเผ่าระดับกลางในแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวน
และเป็นเพราะเขตพื้นที่เผ่ามนุษย์และปีศาจเป็นดินแดนที่ค่อนข้างรกร้างในแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวน เดิมก็ไม่ได้มีชนต่างเผ่าที่ค่อนข้างแข็งแกร่งปรากฏตัวขึ้นอยู่แล้ว มิเช่นนั้นแม้ว่าจะมีเขตอาคมขนาดใหญ่และผู้พิทักษ์ของเมืองเทวะสวรรค์ ทั้งสองเผ่าจะยืนหยัดอยู่ในแดนวิญญาณได้หรือไม่ก็ยังพูดยาก
ถึงอย่างไรเสีย จากที่เขารู้มาชนต่างเผ่าจำนวนมากที่แข็งแกร่งกว่าเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจก็หายสาบสูญไปตามระยะเวลา
เช่นนั้นจากฐานะผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ของเขา แน่นอนว่าระหว่างการผจญภัยจึงไม่พบกับอันตรายเลยสักนิด กลับต้องลงมือสังหารผู้ฝึกฝนความชั่วร้ายไปสองสามคนด้วยความบังเอิญ ทำให้ชื่อเสียงของเขาค่อยๆ แพร่กระจายไปทั่วเขตเทียนหยวน
สำนักและตระกูลขนาดกลางและเล็กจำนวนมากก็รู้ว่าในเผ่ามนุษย์มีชายหนุ่มหน้าใหม่ปรากฏขึ้น แต่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ที่พลังยุทธ์ลึกลับยากจะคาดเดา
ต่อมาแม้กระทั่งขุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของเขตเสวียนอู่และเขตเทียนหลิงก็ยังส่งคนออกมาหาลูกค้า
แต่แน่นอนว่าหานลี่ย่อมปฏิเสธไป
เช่นนั้นเวลาห้าปีจึงผ่านไปในพริบตา…
วันนี้ตรงเขตแดนเสวียนอู่และเทียนหยวน บนภูเขาสูงเขียวขจี ผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์สามคนสวมอาภรณ์หลากหลายกำลังนั่งพูดคุยกันด้วยรอยยิ้มจางๆ อยู่ในศาลาหินแห่งหนึ่ง
คนหนึ่งสวมชุดนักปราชญ์สีขาว คิ้วรูปดาบ ดวงตาคมกริบ อายุสามสิบปีเศษ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นบุรุษรูปงามคนหนึ่ง
ผู้ที่อยู่ด้านข้างมีใบหน้ากลมมน สวมชุดคลุมนักพรตสีเหลือง แผ่นหลังสะพายกระบี่ไม้พังๆ สีดำเล่มหนึ่ง แต่กลับเป็นนักพรตน้อยที่ดูเหมือนอายุสิบเจ็ดสิบแปดปี
คนสุดท้ายมีหน้าตาธรรมดาๆ ผิวค่อนข้างคล้ำ สวมชุดคลุมยาวสีเขียว เป็นชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบสามยี่สิบสี่ปี
และชายหนุ่มผู้นี้ก็คือหานลี่
หานลี่ในยามนี้หยักมุมปากขึ้นเล็กน้อย กำลังฟังนักพรตฝั่งตรงข้ามพูดเป็นสายไม่หยุดด้วยท่าทีอมยิ้ม
“ไม่ใช่ว่าชี่หลิงจื่ออย่างข้าคุยโม้ ปรมาจารย์ที่ก่อตั้งอารามอู้ไห่ของพวกเรา ปีนั้นอารามอู้ไห่ของแดนล่าง ได้เป็นอารามอันดับหนึ่ง ครอบครองทั้งยุทธภพ อานุภาพเกรียงไกร สยบทั่วทั้งสี่ทิศ ท่านปู่ปรมาจารย์เสวียนหลิงจื่อ ยิ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรอันดับหนึ่งในใต้หล้า ยามนี้ชี่หลิงจื่ออย่างข้าได้รับถ่ายทอดบาตรและจีวรมาจากท่านอาวุโส และได้รับหน้าที่ดูแลอารามอู้ไห่ หากสหายทั้งสองยอมเข้าร่วมอารามของเราล่ะก็ ย่อมเรียกได้ว่าพยัคฆ์ติดปีกแน่ รอจนเราสามคนฝึกฝนจนสำเร็จ หากร่วมมือกัน แม้ว่าวันข้างหน้าอาจจะไม่อาจเป็นอารามอันดับหนึ่งในเผ่ามนุษย์ได้ แต่ในด้านอำนาจนั้น ก็เหลือเฟือแน่…”
“ฮ่าๆ ชี่หลิงจื่อ หนทางนี้พูดกับข้าและพี่หานให้มันน้อยๆ หน่อย อารามอู้ไห่ของเจ้าแม้แต่เจ้าและนักพรตในอารามก็เป็นแค่แมวน้อยสองสามตัวเท่านั้น ยังกล้ามาเชิญต้าเซ่าและพี่หานเข้าร่วมอีก แม้ว่าปรมาจารย์ปู่ของเจ้าจะมีชื่อเสียงมากยามที่อยู่ในแดนมนุษย์ แต่ในแดนวิญญาณของพวกเราก็เป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงธรรมดาๆ เท่านั้น มิเช่นนั้นอารามอู้ไห่ของเจ้าคงไม่ตกอยู่ในสภาพนี้” บุรุษรูปงามหัวเราะหึๆ ออกมา ขยับมือ ในมือมีพัดกระดาษสีเขียวปรากฏขึ้น เสียง “พรึ่บ” เปิดออก แล้วพัดเบาๆ
“ถุยๆ ไห่ต้าเซ่า เจ้าจะรู้อันใด! ไม่ใช่ว่าเคล็ดวิชาของอารามอู้ไห่ของพวกเราไม่ได้เรื่อง แต่เป็นเพราะเคล็ดวิชาทะเลหมอกไร้ขอบเขตที่ท่านปรมาจารย์ปู่ทิ้งเอาไว้ต้องมีเงื่อนไขพิเศษถึงจะฝึกฝนได้ ยามที่ท่านปรมาจารย์ปู่บรรลุขึ้นมาแดนวิญญาณในยามแรก ก็บังเอิญพบกับพายุห้วงเวลาพันปี แม้ว่าจะดิ้นรนหนีออกมาได้ แต่ก็ได้รับบาดเจ็บหนัก หลังจากที่ก่อตั้งอารามอู้ไห่แล้วก็เพลี่ยงพล้ำไป มิเช่นนั้นอารามของข้าคงไม่อยู่ในที่สับปะรังเคเช่นนี้” นักพรตผู้อ่อนเยาว์หน้าแดงไปถึงใบหูขณะเอ่ยอธิบาย
“ข้าว่าเป็นเพราะปรมาจารย์ปู่ของพวกเจ้ามีวิสัยทัศน์ จากพละกำลังของอารามอู้ไห่ของพวกเจ้า หากครอบครองเทือกเขาอันใดจริงๆ จนถึงยามนี้แดนวิญญาณจะมีเทือกเขาของพวกเจ้าหรือไม่ก็พูดยาก พี่หานว่าใช่หรือไม่?” บุรุษรูปงามนามว่า ‘ไห่ต้าเซ่า’ ประกบพัดในมือเบาๆ คาดไม่ถึงว่าจะสั่นศีรษะพลางเอ่ยถามหานลี่
“คำพูดของน้องไห่ ย่อมมีเหตุผล ทว่าเคล็ดวิชาของสหายชี่หลิงจื่อค่อนข้างพิเศษจริงๆ กว่าครึ่งล้วนเป็นเงื่อนไขที่พิเศษในเรื่องคุณสมบัติของผู้ฝึกฝน” หานลี่เอ่ยพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ ออกมา
“ฮ่าๆ เจ้าว่าแม้แต่พี่หานก็กล่าวเช่นนี้ หมายความว่าสิ่งที่ถ่ายทอดของอารามอู้ไห่ไม่ใช่ของธรรมดา เป็นอย่างไร ขอแค่ยอมเข้าร่วมอารามของข้า ข้าจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาทะเลหมอกที่ไร้ขอบเขตให้ท่านพี่ทั้งสอง” นักพรตชายหนุ่มได้ยินคำพูดของหานลี่ ก็หรี่ตาลงเป็นเส้นตรง และใช้น้ำเสียงล่อลวงเอ่ยขึ้น
ไห่ต้าเซ่าได้ยิน ก็กลอกตาทั้งสองข้าง แล้วตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์
“ต้าเซ่าฝึกฝนเคล็ดวิชาฝึกต้นฉบับดั้งเดิม และยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกตน คาถาวัชระล้วนฝึกฝนได้ขั้นที่สามแล้ว ผู้ดูแลอารามของเจ้าก็เพิ่งจะบรรลุระดับสร้างปราณได้ไม่นาน แม้กระทั่งต้าเซ่าก็อาจจะสู้ไม่ได้ จะสั่งสอนอันใดได้ หากข้าจะคารวะ ก็ต้องคารวะสำนักที่มีชื่อเสียง และยังมีพี่หาน คำพูดเมื่อครู่ของเจ้ามันคลุมเครือ อันใดเรียกว่ามีเหตุผล ที่ต้าเซ่าพูดเมื่อครู่นั้นไม่ผิด สาเหตุที่ตอนนั้นท่านอาวุโสเสวียนหลิงจื่อไปตั้งอารามอู้ไห่ที่ภูเขารกร้าง กว่าครึ่งก็เพราะไม่อยากให้อารามของตนขาดผู้สืบทอด”
ไห่ต้าเซ่าเอ่ยไปพลาง คาดไม่ถึงว่าจะสบายอกสบายใจขึ้นมา
หานลี่มุมปากกระตุก ตั้งแต่ต้นจนจบก็เอาแต่หัวเราะขมขื่นไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา
เบื้องหน้าเป็นสมบัติมีชีวิตคู่หนึ่ง
ทั้งสองคนเพิ่งรู้จักกันเมื่อสองสามเดือนก่อนแถวๆ เมืองขนาดเล็กแห่งหนึ่ง
ยามนั้นทั้งสองกำลังล่วงเกินสำนักเล็กๆ ท้องถิ่นแห่งหนึ่ง ถูกผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างปราณสองสามคนไล่สังหาร
เรื่องเช่นนี้ไม่ว่าเผ่ามนุษย์หรือเผ่าปีศาจ ย่อมเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก
ยามนั้นหานลี่ผ่านทางมาทางกลางอากาศ เดิมไม่มีเจตนาจะลงมือ แต่พอแผ่จิตสัมผัสไป คาดไม่ถึงว่าจะพบว่าคนที่ถูกล้อมโจมตีทั้งสองคน คนหนึ่งแม้ว่าจะมีรากวิญญาณล้ำเลิศ แต่คาดไม่ถึงว่าจะฝึกฝนเคล็ดวิชาฝึกตนธรรมดาๆ และยิ่งไปกว่านั้นชายหนุ่มก็ฝึกฝนคาถาวัชระจนถึงขั้นที่สามแล้ว อีกคนหนึ่งรากวิญญาณดูเหมือนจะต่ำต้อยมาก แต่เคล็ดวิชาที่ฝึกฝนกลับเป็นเอกลักษณ์ คาดไม่ถึงว่าจะสามารถต้านทานศัตรูในระดับเดียวกันสองสามคนพร้อมกันได้
พอทั้งสองร่วมมือกัน คาดไม่ถึงว่าเมื่อถูกผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างปราณห้าหกคนล้อมโจมตีจะไม่ตกเป็นรอง
หานลี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยและตื่นเต้นขึ้นมา หลังจากกลบกลิ่นอายให้อยู่ในระดับสร้างปราณขั้นสุดยอดแล้ว ก็มาปรากฏตัว
จากอิทธิฤทธิ์ของเขา ต่อให้ใช้พลังระดับสร้างปราณเช่นเดียวกัน ก็จัดการผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างปราณสองสามคนให้หนีกระเจิงไปได้เพียงแค่ยกมือ
ไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อที่ถูกช่วยเอาไว้ย่อมรู้สึกซาบซึ้งใจกับหานลี่เป็นอย่างมาก และยิ่งไปกว่านั้นพูดคุยไม่กี่คำ คาดไม่ถึงว่าอยากจะคารวะหานลี่
หานลี่ในยามนั้นย่อมมีสีหน้ามหัศจรรย์มากแล้วรีบหาข้อแก้ตัวปฏิเสธไป แต่พอทั้งสองคนซักถามต่อ รู้ว่าหานลี่เองก็จะไปเข้าร่วมงานหมื่นสมบัติที่เขตเสวียนอู่ คาดไม่ถึงว่าจะกระตือรือร้นว่าจะไปด้วยกันอย่างยินดีปรีดา
ที่แท้สองคนนี้ก็คิดจะไปที่งานชุมนุมของทั้งสองเผ่าเช่นกัน
หานลี่ได้ฟังแล้ว ชั่วขณะนั้นพลันรู้สึกหมดคำพูด
งานหมื่นสมบัติคืองานชุมนุมระดับใด แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ของเผ่ามนุษย์และปีศาจ แม้กระทั่งสามจักรพรรดิเจ็ดราชาปีศาจก็อาจจะต้องไปด้วยตัวเอง
ทั้งสองคนมีพละกำลังแค่ระดับสร้างปราณ คาดไม่ถึงว่าจะอยากไปเข้าร่วมงานชุมนุมนี้
แม้จะว่ากล่าวว่างานหมื่นสมบัติไม่ใช่ว่าจะไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างปราณลงไปปรากฏตัว แต่ปกติแล้วผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำล้วนปรากฏตัวในฐานะของเด็กรับใช้ หรือศิษย์ของสำนักต่างๆ
แม้ว่าจะมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างปราณส่วนน้อยที่มาเพียงลำพัง แต่ส่วนใหญ่ล้วนอาศัยอยู่ใกล้ๆ กับที่จัดงานหมื่นสมบัติ ถึงได้มีโอกาสไปเปิดหูเปิดตาเท่านั้น
แต่ไห่เต้าเซ่าและนักพรตน้อยผู้นี้ คนหนึ่งซ่อนชาวิญญาณไว้สองสามกระปุก คนหนึ่งพกศิลาแร่ที่มิรู้จักชื่ออยู่สองสามก้อน คาดไม่ถึงว่าจะตัดสินใจไปเข้าร่วมงานชุมนุมนี้
ช่างทำให้ผู้คนต้องหัวเราะอย่างขมขื่นไม่ได้จริงๆ
ทว่าไม่ต้องพูดถึงชาวิญญาณของชี่หลิงจื่อ คุณสมบัติไม่เลวพอจะเรียกได้ว่าระดับสูง ส่วนศิลาแร่เหล่านั้นแม้ว่าจะไม่ใช่ของที่มีค่าอันใด แต่คาดไม่ถึงว่าแม้แต่เขาก็ไม่อาจแยกแยะที่มาของมันได้
หานลี่รู้สึกสนอกสนใจสถานการณ์ของทั้งสองจริงๆ และยิ่งไปกว่านั้นยังรู้สึกว่าถึงอย่างไรเสียก็อยู่ห่างจากงานหมื่นสมบัติไม่กี่วัน จึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อน จึงตอบตกลงด้วยสีหน้าราบเรียบ
ดังนั้นเขาจึงหยิบอาวุธวิญญาณรถเหาะเหินระดับสูงออกมา พาทั้งสองตรงไปยังเขตเสวียนอู่
ระหว่างทางที่ทำให้หานลี่หัวเราะอย่างขมขื่นออกมาก็คือ ไม่รอให้เขาลอบถามประวัติความเป็นมาของทั้งสอง บุรุษรูปงามที่เรียกตนเองว่าไห่ต้าเซ่ารวมทั้งนักพรตน้อยชี่หลิงจื่อก็สารภาพสิ่งที่ตนต้องทำออกมาเองระหว่างที่ทะเลาะกัน
ผู้ที่เรียกตนเองว่าไห่ต้าเซ่าคือผู้ฝึกตนในตระกูลที่มีชื่อเสียงมากของย่านร้านค้าของมนุษย์แห่งหนึ่ง แม้ว่าจะมีรากวิญญาณที่ยอดเยี่ยม แต่ยามถือกำเนิดเกิดความผิดพลาด ถูกผู้บำเพ็ญเพียรที่ไม่ได้เรื่องตรวจสอบผิดพลาด คาดไม่ถึงว่าจะถูกบอกว่าเป็นร่างที่ไร้รากวิญญาณ
เช่นนั้นเขาจึงถูกเลี้ยงดูแบบผู้ฝึกตนมาตั้งแต่เด็ก แต่รอจนเขาพิสูจน์ความมีพรสวรรค์ของผู้ฝึกตนออกมาแล้ว แล้วพบว่าตนเองมีรากวิญญาณด้วยความบังเอิญ ย่อมรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าอย่างไรอย่างนั้น
ไห่ต้าเซ่าผู้นี้ก็เหมือนกับคนอื่นๆ คาดไม่ถึงว่าจะหยุดฝึกตนอย่างไม่ลังเล คิดจะเดินไปบนเส้นทางของผู้บำเพ็ญเพียร
แต่ย่านที่เขาอาศัยอยู่เป็นย่านร้านค้าของมนุษย์ธรรมดา และไม่มีสำนักผู้บำเพ็ญเพียรที่แท้จริงใดๆ ประกอบกับไห่ต้าเซ่าเองก็หยิ่งทระนง ไม่สนใจสำนักผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาๆ
หลังจากที่เขา ‘ขบคิดอย่างหนัก’ คาดไม่ถึงว่าจะแอบออกมาจากตระกูล แล้วไปตามหาสำนักผู้บำเพ็ญเพียรยังดินแดนอื่น
ผลคือระหว่างทางก็พบนักพรตน้อยของอารามอู้ไห่ที่กำลังจะไปเข้าร่วมงานหมื่นสมบัติเข้าพอดี
ทั้งสองพูดคุยกัน คาดไม่ถึงว่าจะรู้สึกคล้ายคลึงกัน และรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน
ขณะที่ไห่ต้าเซ่าถูกอีกฝ่ายปลุกปั่น ไม่เพียงจะกลายเป็นสหายสนิทกับเขา และยังจะไปเข้าร่วมงานหมื่นสมบัติด้วยกัน
ส่วนชี่หลิงจื่อก็กล่าวว่างานหมื่นสมบัติคือ ‘ระดับเทพแปลงเดินกันขวักไขว่ ระดับก่อกำเนิดเปรียบดังสุนัข’ หาผู้บำเพ็ญเพียรสักคนแล้วทำการคารวะ ล้วนดีกว่าไปเข้าร่วมสำนักผู้บำเพ็ญเพียรใดๆ เป็นร้อยเท่า