หานลี่อยู่ในห้องลับสิบกว่าวัน ในที่สุดงานหมื่นสมบัติก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
วันนี้หานลี่นั่งสมาธิอยู่บนฟูก ดูเหมือนว่าจะสัมผัสอันใดได้ ฉับพลันนั้นพลันสะบัดแขนเสื้อเก็บภาพหมื่นกระบี่ตรงหน้ากลับมา
จากนั้นเขาพลันหยัดกายลุกขึ้นเดินออกจากประตูห้องลับ
ด้านในตำหนักไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อกำลังรอคอยด้วยความนอบน้อมอยู่ตรงนั้น
เมื่อทั้งสองเห็นหานลี่ออกมาก็เข้ามาคารวะทันที ไห่ต้าเซ่าหยิบเทียบเชิญสีทองเรืองรองออกมาจากแขนเสื้อแล้วส่งให้หานลี่ด้วยมือทั้งสองพลางเอ่ยว่า
“ท่านอาวุโสหาน นี่คือเทียบเชิญงานหมื่นสมบัติที่ส่งมาให้ท่านอาวุโสหาน ขอแค่ถือเทียบเชิญนี้ไว้ ก็สามารถเข้าร่วมงานประมูลระดับต่างๆได้ตามสะดวก เข้าออกทุกที่ของงานหมื่นสมบัติได้ นอกจากนี้เป็นเพราะว่าวันนี้งานหมื่นสมบัติเพิ่งเริ่มขึ้นเป็นวันแรก จึงจัดงานประมูลครั้งแรกที่ยอดเขาเซียนเหิน ตามกฎแล้วงานประมูลนี้เป็นงานประมูลที่สำคัญที่สุดในงานหมื่นสมบัติ และเป็นสัญลักษณ์ของการเปิดตัวงานหมื่นสมบัติอย่างเป็นทางการ ขุมอำนาจใหญ่ๆ และผู้คนจะนำสมบัติล้ำค่าออกมาประมูลในงานนี้” ชี่หลิงจื่อเอ่ยอย่างนอบน้อมอยู่ด้านข้าง
“อ๋อ พวกเจ้าเข้าใจเรื่องนี้ไม่น้อยเลยสินะ? ดูแล้วสองสามวันที่ผ่านมาเจ้าสองคนคงไม่ได้เดินไปเดินมาเปล่าๆ” หานลี่ฉีกยิ้ม จากนั้นก็รับเทียบเชิญสีทองมาและกวาดตามองแวบหนึ่ง
เห็นเพียงบนเทียบเชิญสีทองเรืองรองใช้อักขระโบราณสลักคำว่า ‘หมื่นสมบัติ’ เอาไว้ อีกด้านกลับใช้อักขระยันต์เป็นแถวพรรณนาถึงความงดงามทะยานฟ้าด้วยลวดลายสีเงิน ดูลึกลับมาก
“ช่วงที่ข้ากักตน เจ็ดราชาปีศาจมากันครบหรือยัง?” หานลี่เก็บเทียบเชิญสีทองแล้วเอ่ยถาม
“รายงานท่านอาวุโส ในบรรดาเจ็ดราชาปีศาจ นอกจากราชาหมาป่าเทียนขุยและราชาจิ้งจอกสวรรค์ ราชาปีศาจที่เหลือทั้งห้าล้วนมากันครบหมดแล้ว” ไห่ต้าเซ่าตอบอย่างนอบน้อม
“ราชาหมาป่าและราชาจิ้งจอกไม่มา? นี่มันแปลกไปหน่อย ปกติแล้วเจ็ดราชาปีศาจล้วนให้ความสำคัญกับงานหมื่นสมบัติมาก ไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ” หานลี่เอ่ยถามด้วยความฉงนเล็กน้อย
“เรื่องนี้ชนรุ่นหลังก็ได้ยินข่าวลือมาบ้าง! ว่ากันว่าราชาหมาป่าเทียนขุยกำลังกักตัวอยู่ในช่วงสำคัญ ดังนั้นจึงไม่อาจเข้าร่วมงานชุมนุมได้ ส่วนราชาจิ้งจอกสวรรค์ดูเหมือนจะไม่ได้อยู่ในแดนของจิ้งจอกสวรรค์ กลับแค่ส่งคนมาบอกว่ามีธุระ ไม่มีข่าวอื่น” ชี่หลิงจื่อกลับรู้เรื่องนี้จึงตอบกลับอย่างซื่อๆ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง! ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราก็ไปกันเถิด แม้ว่างานหมื่นสมบัติจะมีของมากมายเคลื่อนไหว แต่สิ่งที่ทำให้ข้าสนใจมีอยู่แค่ไม่กี่อย่างเท่านั้น งานประมูลครั้งแรกข้าไม่อาจพลาดได้ พวกเจ้าตามข้าไปด้วยกันเถิด แม้ว่างานประมูลชนิดนี้จะไม่ใช่งานที่คนธรรมดาๆ จะเข้าได้ แต่หากมีเทียบเชิญสีทองก็น่าจะพาศิษย์ในสำนักติดตามไปสองสามคนได้” หานลี่กวาดตามองแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ศิษย์ในสำนัก ท่านอาวุโส ท่านยอมรับชนรุ่นหลังทั้งสองเป็นศิษย์แล้วหรือ!” เมื่อได้ยินคำพูดของหานลี่อีกฝ่ายพลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง ไห้ต้าเซ่าเอ่ยถามด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“พลังยุทธ์เจ้าสองคนต่ำมาก รับเจ้าสองคนเป็นศิษย์ย่อมเป็นไปไม่ได้ หากเจ้าสองคนยอม ข้าก็จะให้พวกเจ้าเป็นศิษย์ในนาม ยามใดที่บรรลุระดับเทพแปลง ข้าถึงจะยอมรับเจ้าเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการ หวังว่าเจ้าสองคนจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง!” หานลี่สั่นศีรษะ แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ศิษย์ในนามก็ได้ขอรับ! คารวะท่านอาจารย์!” ได้ยินคำพูดของหานลี่ ชี่หลิงจื่อพลันคารวะอย่างไม่ลังเล แล้วค้อมศีรษะสามครั้งอย่างจริงจัง
ไห่ต้าเซ่าที่อยู่ด้านข้างก็ตื่นเต้นดีใจจนลงไปคุกเข่าเช่นกัน ปากก็เอ่ยว่าคารวะท่านอาจารย์
หานลี่เห็นทั้งสองคนจริงใจจริงๆ ทันใดนั้นก็พยักหน้ารับการคารวะจากทั้งสอง จากนั้นถึงได้สะบัดแขนเสื้อ
พลังมหาศาลไร้รูปร่างทะลักออกมา หุ้มร่างของไห่ต้าเซ่าและพวกทั้งสองเอาไว้
น้ำเสียงราบเรียบของหานลี่ถึงได้ดังขึ้น
“เจ้าสองคนน่าจะรู้ประวัติความเป็นมาของอาจารย์ ก่อนที่พวกเจ้า ก่อนหน้าพวกเจ้า ข้าเคยรับศิษย์สองคนที่แดนล่าง ดังนั้นพวกเจ้าจึงไม่ใช่ศิษย์แค่สองคนของอาจารย์ เบื้องบนยังมีศิษย์พี่และศิษย์พี่หญิงอีกคนหนึ่ง ทว่าอาจารย์มีนิสัยชอบรักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ ย่อมไม่รับคนอื่นเป็นศิษย์ง่ายๆ เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดในการฝึกบำเพ็ญเพียรของตนเอง ดังนั้นไม่ว่ารับศิษย์พี่ชายและศิษย์พี่หญิงของพวกเจ้า หรือว่าเจ้าสองคนล้วนย่อมมีเหตุผล ดังนั้นเรื่องบางเรื่อง ข้าเองก็อธิบายให้พวกเจ้าเข้าใจ เพื่อไม่ให้เจ้าสองคนเกิดความฉงนภายหลัง แล้วเกิดความสงสัย!”
หานลี่เอ่ยถึงประโยคสุดท้าย น้ำเสียงก็เคร่งขรึม ในเวลาเดียวกันอุณหภูมิทั้งตำหนักก็เย็นเฉียบราวกับว่าถูกความเย็นเยียบห่อหุ้มเอาไว้
จากพลังยุทธ์ของไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อ ภายใต้ความเย็นเยียบก็สะดุ้งโหยงและสั่นสะท้าน เอ่ยว่า “มิกล้า” ไม่หยุด
“หึๆ จะกล้าหรือไม่ เปลี่ยนเป็นข้ายามที่อยู่ในระดับสร้างปราณ ถูกผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์รับเป็นศิษย์ ก็ย่อมรู้สึกดีใจ แต่ก็รู้สึกกังขาอยู่หลายส่วน” หานลี่หัวเราะหึๆ ออกมา แล้วเอ่ยอย่างไม่คิดเช่นนั้น
เมื่อได้ยินหานลี่กล่าวเช่นนี้ ไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อก็มองสบตากันแวบหนึ่ง ภายใต้ความรู้สึกขัดเขิน ก็ไม่กล้าแก้ต่างอันใดอีก
“ความจริงแล้วหากเจ้าสองคนเป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผู้สร้างปราณธรรมดาๆ และผู้ฝึกตนธรรมดาทั่วไป ข้าไม่มีทางรับพวกเจ้าเป็นศิษย์ในนามแน่ สาเหตุที่วันนี้ต้องรับพวกเจ้าเป็นศิษย์ประการแรก เพราะพวกเจ้าสองคนมีวาสนากับข้า นิสัยเป็นอย่างไรข้าย่อมรู้ดี แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพวกเจ้าคนหนึ่งมีรากวิญญาณในตำนานที่ซ่อนอยู่ อีกคนหนึ่งมีอาวุธที่ถ่ายทอดมาอยู่ในร่าง” หานลี่มองทั้งสองคนใบหน้ามีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยขณะเอ่ย
“รากวิญญาณที่ซ่อนอยู่!”
“อาวุธที่ถ่ายทอดมา”
ไห่ต้าเส่าและชี่หลิงจื่อได้ยินก็รู้สึกงุนงง
จากพลังยุทธ์ของทั้งสองแน่นอนว่าไม่มีทางเข้าใจสิ่งที่แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงก็ไม่อาจจะเข้าใจได้
“ชี่หลิงจื่อ ‘อาวุธที่ถ่ายทอด’ มาของเจ้าเข้าใจได้ง่ายมาก น่าจะเป็นอาวุธที่ซ่อนอยู่ในเคล็ดวิชาลับของอารามอู้ไห่ที่ถูกผนึกอยู่ในร่างของเจ้า รอจนพลังยุทธ์อยู่ในระดับใดระดับหนึ่งก็จะปลดผนึกส่วนหนึ่งออกมาตามกลไก ให้เจ้าได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาที่เหมาะสม แน่นอนว่าอาวุธที่ถ่ายทอดมาชิ้นนี้ย่อมเป็นอาวุธวิเศษที่หายาก หากกระตุ้นกับเคล็ดวิชาที่เหมาะสมอานุภาพจะต้องไม่น้อยแน่” เอ่ยมาถึงตรงนี้หานลี่พลันหยุดชะงัก
“ข้าก็ว่าบางครั้งก็รู้สึกแปลกๆ ในร่างกาย บางครั้งก็ฝันร้าย ที่แท้เป็นเพราะเจ้าสิ่งนี้นี่เอง!” ชี่หลิงจื่อได้ยินพลันตกตะลึงจนตาค้างและเอ่ยพึมพำกับตัวเองตามความรู้สึก
หานลี่ได้ยินพลันหัวเราะแล้วเอ่ยต่อว่า
“ความจริงแล้วนับว่าเจ้าโชคดีไม่น้อย แม้ชื่อเสียงของอารามอู้ไห่จะไม่ปรากฏ แต่จากที่ข้าตรวจสอบดู เคล็ดวิชาลับนี้มีอิทธิฤทธิ์ไม่ธรรมดา เหมาะสมให้เจ้าฝึกเป็นอย่างมาก ดังนั้นในเคล็ดวิชาหลักของการฝึกฝนจึงไม่จำเป็นต้องถ่ายทอดอันใด อย่างมากสุดให้เจ้าฝึกฝนสำเร็จแล้วสืบทอดเคล็ดวิชาลับเหล่านี้ก็ได้แล้ว ดังนั้นสายเลือดของอารามอู้ไห่ก็ยังคงต้องการให้เจ้าสืบทอด รอจนเจ้าฝึกฝนสำเร็จก็สามารถกลับไปเป็นผู้ดูแลอารามอู้ไห่ทำให้อารามเจริญรุ่งเรืองได้อีกครั้ง ข้าจะไม่เข้าไปยุ่งเลยสักนิด สาเหตุที่ข้ารับเจ้าเป็นศิษย์ก็เพราะเห็นว่าเจ้ามีสิ่งที่ต้องสืบทอด ขอแค่ชี้แนะเล็กน้อยก็สามารถฝึกฝนด้วยตัวเองได้แล้วมิเช่นนั้นแม้เจ้าจะมีคุณสมบัติดีขนาดไหน ข้าก็ไม่มีทางหาเรื่องยุ่งยากให้ตัวเองง่ายๆ แน่ แน่นอนว่าพอข้ารับเจ้าเข้าเป็นศิษย์ในเรื่องทรัพยากรต่างๆ ข้าย่อมไม่หวงแน่นอน ด้วยเหตุนี้หากเจ้ารู้สึกไม่เต็มใจหรือรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม การคารวะข้าเมื่อครู่ ข้าจะทำเหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้น” หานลี่จ้องเขม็งไปยังนักพรตน้อยแล้วเอ่ยอย่างเยือกเย็นออกมา
“มิกล้า ชนรุ่นหลังได้คารวะเป็นศิษย์ในนามของท่านอาวุโสก็นับว่าเป็นโชคดียิ่งแล้ว ส่วนการฝึกบำเพ็ญเพียรเคล็ดวิชาใดย่อมให้ท่านอาวุโสเป็นผู้ตัดสินจะไม่มีทางรู้สึกไม่เป็นธรรมใดๆ แน่” ชี่หลิงจื่อได้ยินหานลี่กล่าวเช่นนี้ก็หน้าเปลี่ยนสีแล้วคาระวะหานลี่อีกครั้งขณะเอ่ย
“อือ ในเมื่อเจ้ารับได้เช่นนั้นก็ไม่มีปัญหาแล้ว ส่วนไห่ต้าเส่า…” หานลี่พยักหน้าด้วยความพึงพอใจแล้วเลื่อนสายตาไปยังเรือนร่างของชายหนุ่มรูปงาม
“ท่านอาจารย์เรียกข้าว่าไห่เย่ว์เทียนก็ได้ ไห่ต้าเส่าชื่อนี้เป็นแค่ชื่อที่ใช้หลอกสหาย มิกล้าให้ท่านอาวุโสเรียกเช่นนี้จริงๆ” ไห่ต้าเซ่ากลับรีบร้อนเอ่ยขึ้นอย่างรู้จักวางตัว
“ดูแล้วไห่เย่ว์เทียนถึงจะเป็นชื่อจริงของเจ้า เอาละวันหลังก็เรียกเจ้าว่าเย่ว์เทียนก็แล้วกัน” หานลี่มุมปากหยักรอยยิ้มออกมาขณะเอ่ย
“ขอรับท่านอาจารย์!” ไห่ต้าเส่าย่อมตอบรับอย่างนอบน้อม
“สถานการณ์ของเจ้ากับชี่หลิงจื่อนั้นไม่เหมือนกัน สองสามวันที่ผ่านมาข้าตรวจสอบร่างกายเจ้าไปแล้วและยังสอบถามข้อสงสัยกับสหายในระดับเดียวกันมาบ้าง ยามนี้มั่นใจได้ว่าเจ้าไม่เพียงมีร่างหลอมทองที่หายาก และยิ่งไปกว่านั้นรากวิญญาณอัสนีประหลาดๆ ในร่างน่าจะเป็นรากวิญญาณที่ซ่อนอยู่ในตำนาน ไม่สิ น่าจะเรียกว่ารากวิญญาณซ่อนอัสนีจะเหมาะสมกว่า”
“รากวิญญาณซ่อนอัสนี!” ไห่ต้าเซ่าพูดตามสองครั้งแต่ย่อมยังมีสีหน้าไม่เข้าใจ
“แม้ว่าร่างหลอมทองจะหายาก แต่จากจำนวนของประชากรเผ่ามนุษย์ที่มีอยู่มากมายย่อมมีอัตราที่จะเกิดขึ้นได้โดยพื้นฐานแล้ว เจ้าจะฝึกฝนเคล็ดวิชาฝึกตนได้อย่างรวดเร็วส่วนรากวิญญาณซ่อนอัสนีนั้นพูดยาก! ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีตำนานของรากวิญญาณซ่อนอัสนีอยู่เพียงไม่กี่เรื่อง แทบจะบดบังอยู่ในตำนานต่างๆ ดังนั้นตอนแรกข้าจึงคิดไม่ถึงและพอวิเคราะห์นานเข้าถึงได้มั่นใจ ส่วนความหายากของรากวิญญาณซ่อนอัสนีก็ไม่สูงไปกว่าผู้ที่มีร่างกายพิเศษหรือสืบทอดโลหิตจิตวิญญาณเที่ยงแท้” หานลี่อธิบาย
“นั่นเพราะเหตุใด?” ชี่หลิงจื่อที่กำลังฟังอย่างออกรสจึงทนไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น
“เพราะว่ารากวิญญาณชนิดนี้เป็นสิ่งที่ผู้ที่มีร่างกายวิเศษและสืบทอดเชื้อสายวิเศษถึงจะมีได้และมีแค่พวกเขา รากวิญญาณถึงได้มีโอกาสถูกร่างกายพิเศษหรือพลังของสายเลือดที่สืบทอดมาบดบังและทำให้อ่อนแอจนทำให้มีรากวิญญาณซ่อน ทว่าผู้ที่มีรากวิญญาณซ่อนแม้ว่าจะพบมันแล้วก็ไม่มีประโยชน์อันใด สำนักผู้บำเพ็ญเพียรปกติจะไม่รับคนเหล่านี้ นอกเสียจากว่าร่างพิเศษของพวกเขาหรือโลหิตที่สืบทอดมาจะเป็นชนิดที่เหนือฟ้า หรือรากวิญญาณในร่างเป็นร่างวิญญาณอัสนี หรือรากวิญญาณที่ซ่อนอยู่เป็นรากวิญญาณที่หายาก แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นก็ต้องดูเวลาที่รากวิญญาณที่ซ่อนอยู่หายไปและปรากฏขึ้นมาคำนวณว่าจะคุ้มค่าในการบ่มเพาะหรือไม่ ถึงอย่างไรเสียหากรากวิญญาณที่ซ่อนอยู่สลายหายนานเกินไปความยากในการฝึกฝนก็จะเพิ่มมากขึ้นหลายเท่าผู้ที่มีรากวิญญาณซ่อนอยู่จะฝึกฝนเคล็ดวิชาได้แค่เวลาที่รากวิญญาณปรากฏขึ้นเท่านั้น” หานลี่อธิบายให้ศิษย์ในนามทั้งสองคนอย่างละเอียด