เมื่อไห่ต้าเซ่าได้ยินดวงตาก็เปล่งประกาย ในที่สุดก็เข้าใจความพิเศษของรากวิญญาณในร่างของตนเองและเอ่ยถามขึ้นอย่างอดไม่ไหว
“ท่านอาจารย์บอกว่ารากวิญญาณซ่อนมีประวัติความเป็นมาและฝึกฝนไม่ง่าย ในที่สุดศิษย์ก็เข้าใจแล้ว แต่เหตุใดจึงมีแต่รากวิญญาณซ่อนอัสนีถึงจะถูกให้ความสำคัญ มีอันใดแปลกหรือ?”
“เจ้าฉลาดมาก ยามนี้ฟังจุดสำคัญออกแล้ว ไม่ต้องพูดถึงรากวิญญาณซ่อน ความหายากของรากวิญญาณชนิดนี้พบเห็นได้น้อยกว่ารากวิญญาณซ่อนอัสนีของเจ้า ดูเหมือนว่าผู้ที่บันทึกเอาไว้จะมีอยู่แค่คนเดียว ส่วนรากวิญญาณอัสนีของเจ้าแม้ว่าจะฝึกฝนพลังปราณไปพร้อมกันก็ยังยากกว่าผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาสองสามเท่า แต่หลังจากผู้ที่มีรากวิญญาณชนิดนี้ฝึกฝนทางสายอัสนีก็จะเป็นหนึ่งในผู้ที่มีความสามารถเพียงไม่กี่ชนิดในโลกที่สามารถช่วยผู้อื่นต้านทานเคราะห์อัสนีได้” หานลี่เอ่ยอย่างแช่มช้า
“ช่วยผู้อื่นต้านทานเคราะห์อัสนี?” ไห่ต้าเซ่ายังไม่เป็นอันใดแต่ชี่หลิงจื่อได้ยินกลับตกตะลึง
ในฐานะผู้บำเพ็ญเพียรอย่างเขา แน่นอนว่าย่อมเข้าใจคำพูดของหานลี่มากกว่าไห่ต้าเซ่าที่เป็นผู้ฝึกตน
“ใช่! ดังนั้นแม้ว่าผู้ที่มีรากวิญญาณอัสนีจะฝึกฝนได้ยาก แต่ขอแค่มีโอกาสที่จะฝึกฝนให้อยู่ในระดับสูง สำนักเซียนทั่วๆ ไปก็จะพยายามช่วยอย่างเต็มที่ ทว่าหากไม่มีพลังในการฝึกฝนให้อยู่ในระดับสูง เช่นนั้นต่อให้ผู้มีรากวิญญาณซ่อนนั้นหายากขนาดไหนก็ไม่มีใครกระทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์เช่นกัน ส่วนที่ข้ารับเจ้ามาประการแรกก็เพราะร่างกายของเจ้าและรากวิญญาณค่อนข้างเหมาะสมกับการถ่ายทอดการฝึกตนคู่บำเพ็ญเพียรของข้า แม้ยามที่รากวิญญาณหายไปเจ้าก็ยังฝึกฝนเคล็ดวิชาฝึกตนได้ไม่เสียเวลาการฝึกบำเพ็ญเพียรของเจ้า ประการที่สองข้าเข้าใจหนทางสายอัสนีอยู่บ้างสามารถถ่ายทอดให้เจ้าได้ หากเจ้าฝึกฝนสำเร็จก็สามารถลงมือช่วยข้าฟาดเคราะห์สวรรค์ได้ ต่อให้ยามนั้นลดภาระได้ส่วนหนึ่งก็อาจจะเกี่ยวข้องกับการฟาดเคราะห์สวรรค์สำเร็จของข้าหรือไม่ก็เป็นได้!” หานลี่กลับไม่มีเจตนาจะปิดบังเป้าหมายในการรับสิทธิ์ของตนเองจึงเอ่ยออกมาอย่างตรงไปตรงมา
“ขอแค่เย่ว์เทียนฝึกฝนสำเร็จ ก็จะช่วยท่านอาจารย์ฟาดเคราะห์สวรรค์สุดกำลัง” ไห่ต้าเซ่าคารวะหานลี่อย่างไม่ต้องขบคิดแล้วเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
“หึๆ เจ้าเองก็ไม่ต้องสนใจเรื่องนี้หรอก ข้าทำเช่นนี้เพราะต้องการเผื่อเอาไว้เท่านั้นรอจนถึงวันที่เจ้าช่วยข้าฟาดเคราะห์สวรรค์ได้ ก็ยังเป็นเรื่องอีกกี่ปีก็ไม่รู้ เรื่องที่ไม่อาจคาดเดาได้เช่นนี้ไม่ใช่ว่าจะบังคับกันได้ ข้ารับเจ้าเป็นศิษย์หลักๆ ก็เพราะคิดว่าพวกเจ้ามีคุณสมบัติเหมาะสมกับข้า น่าจะมีวาสนาในการเป็นศิษย์และอาจารย์ต่อกัน ทว่าตอนแรกที่ถูกเจ้าสองคนเรียกว่า ‘พี่หาน’ ข้าก็รู้สึกเสียเปรียบไม่น้อย” หานลี่พยักหน้าน้อยๆ แล้วหัวเราะออกมาด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
เมื่อได้ยินหานลี่กล่าวเช่นนี้ไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อย่อมหัวเราะแห้งๆ อย่างขัดเขิน
“เอาละ ควรออกเดินทางได้แล้ว ข้าสนใจสหายในระดับเดียวกันที่ยังไม่เคยพบหน้าเป็นอย่างมาก และยิ่งไปกว่านั้นได้ยินว่างานประมูลครั้งนี้อาจจะมีชนต่างเผ่าปรากฏตัว เช่นนี้ก็จะได้ทำความรู้จักสักหน่อย ดูว่าชนต่างเผ่าผู้ใดจะวิ่งมาไกลถึงที่นี่” หานลี่หุบยิ้มแล้วออกคำสั่งด้วยเสียงเคร่งขรึม
“ขอรับท่านอาจารย์!” ไห่ต้าเซ่าและพวกรีบร้อนตอบรับ
ดังนั้นหลังจากที่หานลี่พยักหน้าก็พาทั้งสองเดินออกจากตำหนัก
ใช้เขตอาคมส่งตัวเดินออกจากวังต้อนรับเซียนก็มองเห็นลำแสงวิญญาณแวบๆ อยู่กลางอากาศ นักรบชุดเกราะลาดตระเวนไปรอบๆ เป็นกลุ่มๆ ในเวลาเดียวกันก็เห็นเงาร่างคนพลิ้วไหวอยู่ไกลๆ ออกไป แต่เมื่อเข้าใกล้วังต้อนรับเซียนในรัศมีสิบลี้ก็ถูกผู้คุ้มกันในบริเวณใกล้เคียงขวางเอาไว้
เห็นได้ชัดว่าคนนอกที่เข้าออกภูเขาเก้าเซียนถูกกันให้อยู่ภายนอกแล้ว
หานลี่เองก็ไม่ได้พูดจา สะบัดแขนเสื้อ ลำแสงสีเขียวพุ่งออกมาจากแขนเสื้อม้วนเอาไห่ต้าเซ่าและพวกทั้งสองพวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ
แม้ว่าภูเขาเก้าเซียนจะวางเขตอาคมห้ามเหาะเหินเอาไว้ แต่สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์อย่างหานลี่ย่อมไร้ผล
นักรบชุดเกราะที่ลาดตระเวนอยู่ใกล้เคียงเห็นหานลี่บินออกมาจากวังต้อนรับเซียนก็ไม่ได้ซักถามอันใด ราวกับมองไม่เห็นก็ไม่ปาน
หานลี่จึงกลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งไปยังยอดเขาเซียนเหิน
เมื่อมองลงมาด้านล่างจากลำแสงหลีกหนีก็มองเห็นเทือกที่เดิมเขาที่เงียบสงบ ยามนี้กลับถูกคลื่นมนุษย์ ของเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจกลืนกินไปแล้ว
แม้อาจจะกล่าวไม่ได้ว่าถูกมนุษย์ยั่วยุแต่เมื่อมองไปที่ภูเขาปราดหนึ่งก็เห็นเพียงเงาร่างคนพลิ้วไหว
โดยเฉพาะด้านหน้าสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ยิ่งมีคนจากทั้งสองเผ่าห้อมล้อมอยู่เต็มไปหมด
ส่วนจุดที่เข้าใกล้ยอดเขาเก้าเซียนย่อมมีคลื่นมนุษย์ทะลักเข้ามายิ่งกว่า
ไห่ต้าเซ่าและเพื่อนมองอย่างออกรสในลำแสงหลีกหนี ส่วนหานลี่ก็เคยเข้าร่วมงานประเภทนี้ตั้งไม่รู้กี่ครั้งแล้ว แน่นอนว่าจึงไม่ได้ตื่นเต้นอันใด
พิจารณาสถานการณ์ด้านล่างเล็กน้อยก็แฉลบผ่านไปอย่างไม่ใส่ใจ
หลังจากผ่านไปครึ่งเค่อก็มาปรากฏตัวอยู่บนยอดเขาสูงประมาณสองสามหมื่นจั้ง
นั่นก็คือยอดเขาเซียนเหอ ยอดเขาที่สูงที่สุดของภูเขาเก้าเซียน!
ผู้คุ้มกันที่ลาดตระเวนอยู่รอบๆ ไม่เพียงมากกว่าสถานที่อื่น ยังมีผู้พิทักษ์อัสนีที่ขี่หมาป่าเหินสีฟ้าปรากฏตัวอยู่กลางอากาศ
เมื่อลำแสงหลีกหนีของหานลี่อยู่ห่างจากยอดเขาไปไม่ถึงเจ็ดแปดลี้ ในที่สุดก็มีผู้พิทักษ์อัสนีสองสามคนกระตุ้นพาหนะเข้ามาขวาง
“ท่านอาวุโสผู้นี้ ชนรุ่นหลังมีภารกิจอยู่ จำต้องตรวจสอบเทียบเชิญของท่านอาวุโสขอรับ” ชายชราร่างกายสูงใหญ่ที่เป็นผู้นำแม้จะไม่ได้ลงมาจากหมาป่ายักษ์ แต่ก็ประสานมือคารวะแล้วเอ่ยอย่างจริงจัง
หานลี่กวาดตามองคนเหล่านั้นและสะบัดแขนเสื้อโดยไม่พูดจา ลำแสงสีทองสายหนึ่งพุ่งออกไปฝั่งตรงข้าม
ชายชราที่อยู่บนหมาป่ายักษ์ยกมือขึ้นรับแสงสีทองเอาไว้ นั่นคือเทียบเชิญสีทองที่แสดงฐานะของหานลี่
เป็นแค่ผู้ฝึกตนแท้ๆ แต่ไม่รู้ว่าใช้วิธีการอันใดแยกแยะข่าวสารที่อยู่ในเทียบเชิญ แค่ลูบไล้เล็กน้อยก็รู้ข่าวสารในนั้นทันที
“ที่แท้ก็ท่านอาวุโสหาน เมื่อครู่ชนรุ่นหลังล่วงเกินแล้ว ท่านอาวุโสมาเข้าร่วมงานประมูล เช่นนั้นชนรุ่นหลังจะนำทางท่านอาวุโสไปที่ตำหนักหมื่นสมบัติเอง!”
“ก็ดี เจ้านำทางเถิด!” หานลี่พยักหน้าแล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ
ชายชราตอบรับทันที โบกมือให้ผู้ที่อยู่ด้านข้าง ให้พวกเขาลาดตระเวนไปรอบๆ ต่อ ส่วนตนก็กระตุ้นหมาป่ายักษ์บินไปยังยอดเขา
ชื่อของยอดเขาเซียนเหินนั้นตรงตามความหมาย ทั้งยอดเขาตรงดิ่ง จากตีนเขาจนถึงยอดเขาไม่มีทางเดินอันใด อันตรายเป็นอย่างยิ่ง
หากคนธรรมดาปีนขึ้นไปลอบสังหาร แม้แต่จุดพักเท้าก็ยังหายาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสิ่งปลูกสร้างอันใดบนภูเขา
แต่สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรแล้วกลับเป็นแค่เรื่องเล็กๆ ที่ไม่คุ้มค่าให้เอ่ยถึง
ไม่รู้ว่าผู้มีอิทธิฤทธิ์ผู้ใดสำแดงความสามารถ คาดไม่ถึงว่าจะเรียกทะเลหมอกมารวมตัวกันตรงสันเขาและยอดเขาจำนวนมากได้ และจากยอดเขาหน้าผาขนาดร้อยจั้งเศษที่เรียงติดกันสองสามลูกก็ทำให้ทั้งสองราวกับเป็นยอดเขาเดียวกัน
ส่วนตำหนักหมื่นสมบัติก็อยู่ในทะเลหมอกที่กว้างใหญ่ตรงยอดเขานั้น
หานลี่มองจากไกลๆ เห็นเพียงสีขาวโพลนในทะเลหมอก ตำหนักและศาลาเรียงติดกัน สีเขียวมรกตรางๆ และมีคลื่นวารีและเสียงวิหคเพรียกดังมาเป็นระลอกๆ ราวกับว่าเป็นแดนของเซียนก็ไม่ปาน
แม้ว่าจะได้ยินคนกล่าวถึงความลึกลับของยอดเขาเซียนเหิน แต่ยามนี้ได้เห็นด้วยตาของตนเอง หานลี่ก็รู้สึกตกตะลึง
ไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อก็ดูจนจิตใจชื่นมื่นไม่เป็นตัวเอง
ยามนี้นอกจากหานลี่และพวกแล้ว เห็นได้ชัดว่ามีผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ มารวมตัวกันเช่นกัน
ทว่าคนเหล่านี้ไม่อาจเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระเหมือนกับหานลี่ แต่ส่วนใหญ่ล้วนมาถึงยอดเขาก็ใช้สำเภาเหาะส่งขึ้นไปบนยอดเขา และเข้าไปในทะเลหมอกผ่านสะพานขนาดยักษ์
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์อย่างหานลี่ จึงทำได้เพียงพบเห็นเป็นบางครั้ง แต่แค่กะพริบวาบก็ทยอยกันจมหายเข้าไปในทะเลหมอก
หานลี่เองก็ให้ผู้บำเพ็ญเพียรผู้นั้นพาเข้าไปถึงวัง และร่อนลงตรงทางเข้าที่ค่อนข้างเงียบสงบ
หน้าทางเข้ามีผู้คุ้มกันสิบกว่าคนรวมทั้งเด็กรับใช้สองสามคนรออยู่ตรงนั้น ตรงหน้าของพวกเขามีชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าไหมคนหนึ่ง กำลังคุยกับฮูหยินชุดดำด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม
แม้ว่าจะมองเห็นแค่แผ่นหลังของหญิงสาวชุดดำ แต่ร่างกายอรชนอ้อนแอ้น พลังแรงกดที่แผ่ออกมาจากร่าง ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้ที่กุมอำนาจยิ่งใหญ่มานานหลายปี
ส่วนด้านหลังของหญิงสาวก็มีหญิงสาวชุดสีม่วงอีกคนยืนอยู่ อายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปด ใบหน้ารูปไข่ห่าน ท่าทางเรียบร้อยหมดจด
บางทีหน้าตาของหญิงสาวผู้นี้อาจจะเรียกไม่ได้ว่างดงามมาก แต่ไอวิญญาณบริสุทธิ์ที่อธิบายไม่ถูกซึ่งแผ่ออกมาจากเรือนร่างก็เย้ายวนใจอย่างหาได้ยากจริงๆ
แม้ว่าผู้คุ้มกันและเด็กรับใช้ที่อยู่รอบด้านจะรู้ว่าอีกฝ่ายมีฐานะสูงส่งแต่ก็ยังคงเหลือบมองหญิงสาวชุดสีม่วงเป็นบางครั้งอย่างอดไม่ได้
เมื่อหญิงสาวชุดสีม่วงเผชิญหน้ากับสายตาร้อนแรงจำนวนมากกับเผยรอยยิ้มหวานหยดย้อยฟังผู้สวมชุดผ้าไหมและฮูหยินชุดดำพูดคุยกันไม่มีสีหน้าประหลาดใจเลยสักนิด
ยามที่หานลี่กวาดสายตาไปแววตาพลันหยุดชะงักที่เรือนร่างของหญิงสาวชุดสีม่วงเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็มองข้ามไปตกอยู่ที่ผู้สวมชุดผ้าไหมและฮูหยินชุดดำ ใบหน้าเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
แต่ครู่ต่อมาลำแสงสีเขียวพลันเปล่งแสงสว่างวาบเด็กรับใช้และผู้คุ้มกันรวมทั้งผู้ที่พูดคุยกันพลันมองมาตามจิตสำนึก
หานลี่ในยามนี้ถึงได้ใบหน้าอันงดงามของฮูหยินชุดดำผู้นั้นอย่างชัดเจน
คิ้วดำสนิท ดวงตาดุจหงส์ ปากนิดจมูกหน่อย เป็นหญิงสาวที่หน้าตางดงามที่สุดในใต้หล้า
แต่แค่หลังจากที่นางเห็นใบหน้าของหานลี่ชัดเจนเช่นกันก็ตกตะลึงมองไปทางหญิงสาวสวมชุดสีม่วงอย่างอดไม่ไหวใบหน้าเผยสีหน้าแปลกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งออกมา
เมื่อหญิงสาวชุดสีม่วงเห็นหานลี่ใบหน้าพลันฉายแววตกตะลึงระคนดีใจ ในเวลาเดียวกันแววตาคู่งามก็เปล่งประกายแต่ทันใดนั้นก็หายวับไป
“เอ๋ หน้าตาของสหายผู้นี้ไม่คุ้นเลย! ขอบังอาจเรียนถามว่าเป็นสหายหานที่เพิ่งบรรลุระดับได้ใช่หรือไม่!” ชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าไหมแผ่จิตสัมผัสมาแล้วร้องอุทานว่า ‘เอ๋’ ออกมาเบาๆ แต่ทันใดนั้นก็นึกอันใดได้แล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มบางๆ
“สหายคือ…” อีกฝ่ายก็คือผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้นเช่นกัน หานลี่จึงประสานมือคารวะอย่างมิกล้าดูแคลน แต่พลันเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าฉงน
“หึๆ ข้าน้อยรองเจ้าเมืองเสวียนอู่ นามเผิงเจว๋รับหน้าที่เป็นผู้ดูแลงานชุมนุมของฝั่งเผ่ามนุษย์ เผ่ามนุษย์มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์อย่างสหายหานเพิ่มขึ้นมาย่อมเป็นเรื่องที่น่ายินดีจริงๆ!” ชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าไหมเอ่ยอย่างเกรงใจ