A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 1796 ไต่เอ๋อร์

“ที่ไหนกัน ข้าน้อยเป็นแค่ผู้ที่เพิ่งบรรลุระดับผสานอินทรีย์ ไม่ว่าพลังปราณหรือประสบการณ์ก็ยังไม่เพียงพอ ยังต้องให้ผู้ดูแลเมืองเผิงคอยชี้แนะ” หานลี่ย่อมมีท่าทีถ่อมตน

“เรื่องที่สหายหานใช้เวลาแค่สองสามร้อยปีก็สามารถพัฒนาจากระดับเทพแปลงมาอยู่ในระดับผสานอินทรีย์ มีแค่ไม่กี่คนในยามนี้ที่ไม่รู้ จากคุณสมบัติของสหายวันข้างหน้าคงมีโอกาสบรรลุระดับอีกขั้น ไหนเลยจะเป็นสิ่งที่ตาแก่อย่างพวกเราจะเทียบเทียมได้” เผิงเจว๋เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“พี่เผิงล้อเล่นแล้ว แต่ไม่ทราบว่าท่านเซียนผู้นี้คือ…” หานลี่หัวเราะฮ่าๆ สายตาตกอยู่ที่เรือนร่างของฮูหยินชุดดำที่อยู่ด้านข้าง

ฮูหยินผู้นี้มีพลังปราณที่บริสุทธิ์มาก คาดไม่ถึงว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลาย นี่จึงทำให้หานลี่ใจหายวาบ อดที่จะคาดเดาฐานะที่แท้จริงของอีกฝ่ายไม่ได้

ส่วนหญิงสาวชุดสีม่วงผู้นั้นกลับถูกมองข้ามไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ

“ข้ามีนามว่าเสียวก่วน ไม่ทราบว่าสหายหานเคยได้ยินหรือไม่” ฮูหยินชุดดำใช้สายตาสนอกสนใจจ้องเขม็งมาที่หานลี่แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ

“ราชาหงส์ดำ!” แม้ว่าในใจจะคาดเดาเอาไว้ตั้งนานแล้ว แต่เมื่อได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยอย่างเปิดเผยหานลี่ก็อดหน้าเปลี่ยนสีไม่ได้

“ดูแล้วสหายหานคงรู้จักข้า จะว่าไปแล้วชนรุ่นหลังของข้าที่มีนามว่าเสี่ยวหงเคยทะเลาะเบาะแว้งกับสหาย” ฮูหยินชุดดำหัวเราะน้อยๆ ออกมา

“เรื่องในปีนั้น…” หานลี่ขมวดคิ้วคิดจะเอ่ยอันใด แต่ฮูหยินกลับโบกมือแล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ

“สหายหานอย่าเข้าใจผิด ตอนนั้นแม่หนูเสี่ยวหงไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง คาดไม่ถึงว่าจะวางแผนร้ายกับโลหิตเที่ยงแท้หงส์สวรรค์ของตระกูลเยี่ย ได้ถูกข้าลงโทษให้หันหน้าเข้าหากำแพงในวังหงส์ดำเป็นเวลาพันปี คำพูดเมื่อครู่ของข้าแค่อยากขอบคุณสหายหานที่ลงมือช่วย ไม่ให้เผ่าหงส์ดำของพวกเราและตระกูลเยี่ยมีความแค้นต่อกัน สหายยังไม่รู้ว่าอาวุโสใหญ่ของตระกูลเยี่ยเป็นสหายสนิทของข้า หากต้องโกรธกันเพราะเรื่องนี้จริงๆ นั่นไม่ใช่เรื่องที่ข้าอยากเห็น”

หานลี่ได้ยินคำนี้ย่อมประหลาดใจ แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดจริงหรือไม่ แต่กลับตอบกลับด้วยรอยยิ้มเบิกบาน

“ในเมื่อสหายเสี่ยวกล่าวเช่นนี้ ผู้แซ่หานก็จะไม่พูดอันใดแล้ว”

เผิงเจว๋ที่อยู่ด้านข้างย่อมไม่รู้บุญคุณความแค้นของหานลี่และเผ่าหงส์ดำผู้นั้น แต่ยามนี้เห็นทั้งสองคนแก้ไขข้อพิพาทร่วมกันได้ก็เผยสีหน้ายินดีออกมาแล้วคารวะทั้งสองคนพร้อมเอ่ยว่า

“สหายเสี่ยว สหายหาน งานประมูลใกล้จะเริ่มแล้ว สหายทั้งสองเข้าไปด้านในเถิด ผู้แซ่เผิงยังต้องรอสหายที่มาสายคนอื่นๆ อีก!”

“ได้ ข้าควรจะเข้าไปได้แล้ว ไต่เอ๋อร์ไปกันเถอะ” ฮูหยินชุดดำพยักหน้าร้องเรียกหญิงสาวชุดสีม่วงด้านหลังแล้วเดินนวยนาดเข้าไปโดยมีหญิงรับใช้เป็นผู้นำทาง

“ไต่เอ๋อร์!”

หานลี่ได้ยินฮูหยินเรียกขานเช่นนี้ก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้ จากนั้นก็ใช้สายตาประหลาดใจมองไปที่หญิงสาวชุดสีม่วง

แต่หญิงสาวผู้นี้กลับก้มหน้าลงต่ำตั้งแต่เมื่อใดก็สุดจะรู้ได้ ตามฮูหยินชุดดำไปโดยไม่มองหานลี่แม้แต่แวบเดียว ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดกับหานลี่สักคำ

หานลี่ที่แต่เดิมรู้สึกสงสัยเมื่อเงาร่างของหญิงสาวชุดสีม่วงหายวับไปด้านใน ก็อดที่จะมีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใสไม่ได้

หรือว่าไต่เอ๋อร์ผู้นี้ก็คือเด็กหญิงที่ถูกเสี่ยวหงพาไปจากเขาเมื่อปีนั้น

ปีนั้นไต่เอ๋อร์เป็นผู้ที่มีเลือดผสมระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจ ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้ที่มีชาติกำเนิดไม่ธรรมดา มิเช่นนั้นคงไม่ทำให้เสี่ยวหงผู้ซึ่งเป็นปีศาจผู้บำเพ็ญเพียรหงส์ดำระดับเทพแปลงคนหนึ่งแอบเข้ามาในส่วนลึกของเผ่ามนุษย์เพื่อพาตัวไป

หากเป็นเช่นนั้นหญิงสาวชุดสีม่วงคือเด็กหญิงคนนั้นจริงๆ ยามนี้มาปรากฏตัวข้างกายฮูหยินของราชาหงส์ดำ นั่นก็ไม่แปลกเลยสักนิด

แต่ภายในระยะเวลาสั้นๆ แค่สองสามร้อยปีจากคนธรรมดาที่ไม่มีพลังกลายเป็นสิ่งมีชีวิตระดับเทพแปลงขั้นต้น นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้นัก

แม้ว่าเผ่าหงส์ดำจะให้ความสำคัญกับไต่เอ๋อร์มาก สายเลือดหงส์ดำเองก็ลึกลับอย่างหาที่เปรียบ การพัฒนาระดับขั้นเช่นนี้ก็จะน่าตกตะลึงเกินไปหน่อยกระมัง ความเร็วไม่ต่างจากเขาที่พัฒนาจากระดับเทพแปลงไปสู่ระดับผสานอินทรีย์ภายในไม่กี่ร้อยปีเท่าใดนัก

หน้าตาของแม่หนูไต่เอ๋อร์ผู้นั้นเขายังจำได้อย่างชัดเจน

แม้ว่าอายุจะเปลี่ยนไปเขาก็ยังหาความคล้ายคลึงระหว่างหญิงสาวชุดสีม่วงและเด็กหญิงในปีนั้นไม่เจอ

และยิ่งไปกว่านั้นหากเป็นไต่เอ๋อร์ในปีนั้นจริง หน้าตาของตนไม่ได้เปลี่ยนแปลงเหตุใดถึงไม่ทักทายตน

เด็กหญิงในปีนั้นอาลัยอาวรณ์กับเขามาก

หานลี่ขบคิดอย่างรวดเร็วแล้วรู้สึกฉงน

ส่วนเผิงเจว๋เห็นหานลี่ยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าแปลกประหลาดก็รู้สึกประหลาดใจ แต่ไม่ได้เร่งเร้าอันใด แค่มองหานลี่ด้วยรอยยิ้มไม่ได้ปริปาก

“พี่เผิง สหายไต่เอ๋อร์ผู้นั้นคือคนของเผ่าหงส์ดำหรือ? รู้หรือไม่ว่ามีความสัมพันธ์อันใดกับสหายเสี่ยว?” ในที่สุดหานลี่ก็เอ่ยปากถาม

“หึๆ ข้ายังนึกว่าพี่หานไม่สนใจหญิงสาวผู้นั้นเสียอีก จากที่ข้ารู้มาไต่เอ๋อร์เป็นชนรุ่นหลังสายตรงของสหายเสี่ยว มีชื่อเสียงตั้งแต่อายุน้อยในเผ่าปีศาจ ว่ากันว่าไม่เพียงมีคุณสมบัติที่น่าตกตะลึง ยิ่งไปกว่านั้นใบหน้าที่แท้จริงยังงดงามได้รับการขนานนามว่า ‘เซียนหงวิญญาณ’ ไม่รู้ว่ามีชายหนุ่มรูปงามของเผ่าปีศาจจำนวนเท่าใดที่ใฝ่ฝันถึงนางและตามจีบแต่ก็ไม่สมหวัง” เผิงเจว๋ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

“ใบหน้าที่แท้จริง?” หานลี่ได้ยินคำนี้ก็แววตาเปล่งประกาย

“ไม่แปลกที่สหายจะไม่รู้! ใบหน้าของนางในยามนี้ถูกสหายเสี่ยวใช้ภาพลวงตาขนนกเที่ยงแท้ประจำกายปิดบังเอาไว้ นอกเสียจากจะเก็บขนนกเที่ยงแท้ มิเช่นนั้นแม้จะมีอิทธิฤทธิ์มากเพียงก็ไม่อาจมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงของสตรีผู้นี้ได้ ได้ยินสหายหงส์ดำกล่าวว่าเพื่อลดความยุ่งยากในงานหมื่นสมบัติจะได้ไม่ถูกคนมาเกาะแกะ อันใดพี่หานสนใจเซียนหงวิญญาณหรือ จะว่าไปแล้วแม้ว่าพี่หานจะพัฒนาขึ้นมาอยู่ในระดับผสานอินทรีย์แล้วแต่อายุก็ยังไม่มาก หากอยากรับสตรีผู้นี้ไว้ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ข้าได้ยินว่าแม่หนูผู้นี้เป็นชาวเผ่าหงส์ดำเลือดผสมกับเผ่ามนุษย์” เผิงเจว๋เอ่ยพร้อมกับหัวเราะคิกคัก ท่าทางหยอกเย้า

แม้ว่าท่านรองเจ้าเมืองเผิงจะเอ่ยเช่นนี้ แต่เห็นได้ชัดว่าคงไม่คิดว่าเป็นเรื่องจริง

“พี่เผิงล้อเล่นแล้ว ข้าน้อยแค่เห็นสตรีผู้นี้มีท่าทางเป็นเอกลักษณ์ไม่ใช่คนธรรมดาถึงได้ถาม หึๆ ถึงเวลาสมควรแล้ว ผู้แซ่หานขอเข้าไปก่อนแล้วกัน” หานลี่มุมปากกระตุกตอบกลับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเช่นกัน

“ผู้แซ่เผิงต้องรอสหายคนอื่นคงต้องส่งแค่นี้” เผิงเจว๋ไม่ได้เอ่ยอันใดมาก ประสานมือคารวะขณะเอ่ย

ยามนี้ย่อมมีสาวใช้อีกคนหนึ่งเดินเข้ามาและพาหานลี่และพวกทั้งสามเข้าไปด้านใน

ส่วนพริบตาที่หานลี่หันกายไปใบหน้ากลับเผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา

หลังจากที่คนทั้งกลุ่มผ่านทางเดินยาวที่สร้างขึ้นจากหยกขาว ยามนี้ก็มาอยู่ในตำหนักขนาดมหึมาแห่งหนึ่งที่ถูกแบ่งออกเป็นสองสามชั้น

ตำหนักทรงกลมนี้มีความกว้างถึงสามพันจั้ง มีแท่นสูงประมาณสิบจั้งเศษที่สร้างจากหยกขาว

บนแท่นสูงนั้นว่างเปล่าไม่มีผู้คน แต่มุมทั้งสี่ด้านของแท่นกลับมีลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด ด้านในมีกระบี่บินสีเงินความยาวสามฉื่อลอยอยู่

ด้านล่างแท่นมีนักรบชุดเกราะสีทองถือขวานยืนอยู่แปดคน ทุกคนล้วนสวมหน้ากากสีเงินจิตสังหารสีดำที่แผ่ออกมาพันรัดรอบเรือนร่างเอาไว้ เผยความลึกลับเป็นอย่างยิ่งออกมา

หานลี่มองกระบี่บินทั้งสี่เล่มและนักรบชุดเกราะสีทองทั้งแปดคนแวบหนึ่ง แววตาเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ สีหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย

กระบี่บินทั้งสี่เล่มนั้นไม่ต้องพูดถึง ไม่เป็นเพียงสมบัติระดับสมบัติวิญญาณ ยิ่งไปกว่านั้นยังแฝงการเชื่อมโยงกันและกันอยู่ เห็นได้ชัดว่าเป็นสมบัติชุดหนึ่ง

แค่กระบี่บินเล่มเดียวก็เป็นสมบัติระดับสมบัติวิญญาณแล้ว หากสี่เล่มรวมกันอานุภาพจะมากมายเพียงใดแค่คิดก็รู้แล้ว

ส่วนนักรบชุดเกราะทั้งแปดคน แม้ว่าจะสัมผัสพลังปราณในร่างของเขาไม่ได้แต่ไม่ว่าชุดเกราะสีทองบนร่างหรือไอสีดำที่แผ่ออกมาก็แสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของพวกเขา

หานลี่ขบคิดในใจ ติดตามสาวใช้คนหนึ่งมาที่ชั้นบนสุดของตำหนักเป็นห้องในชั้นสามที่ตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม

แม้ว่าห้องจะไม่ใหญ่มีขนาดแค่เจ็ดแปดจั้ง แต่ก็มีโต๊ะเก้าอี้อย่างครบครัน แม้กระทั่งมุมทั้งสี่ยังมีกระถางบุปผาวิญญาณผลิดอกวางอยู่

ตรงข้ามกับแท่นสูงมีหน้าต่างสี่เหลี่ยมเปิดอยู่

ในหน้าต่างมีหมอกสีขาวปรากฏขึ้นแต่กลับมองเห็นภายนอกได้อย่างชัดเจนไม่ได้ปิดบังอันใด

“ท่านอาวุโส! นี่คือห้องของแขกชั้นสูง ท่านพอใจหรือไม่ หากไม่ชอบห้องนี้ชนรุ่นหลังจะเปลี่ยนห้องให้เจ้าค่ะ” สาวใช้ที่นำทางเอ่ยถามอย่างนอบน้อม

“ไม่ต้องแล้ว ห้องนี้ก็ได้” หานลี่กวาดตามองแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ

“เช่นนั้นชนรุ่นหลังขอตัวก่อน ท่านอาวุโสมีรับสั่งใดก็เรียกได้เลยเจ้าค่ะ ชนรุ่นหลังรออยู่ที่ด้านนอกประตู” สาวใช้ก้มหน้าขณะเอ่ย

หานลี่ได้ยินก็พยักหน้า จากนั้นก็โบกมือไม่ได้พูดอันใดอีก

สาวใช้ย่อมออกไปจากห้องอย่างรู้จักวางตัวและปิดประตูอย่างแผ่วเบา

ส่วนไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อก็พิจารณารอบๆ ด้านด้วยความสนใจไม่หยุด สุดท้ายสายตาก็ตกอยู่ที่หน้าต่าง

หานลี่ก้าวเข้าไปข้างหน้าสองก้าวด้วยสีหน้าราบเรียบ นั่งลงบนเก้าอี้หน้าหน้าต่าง

ด้านหน้าเก้าอี้มีโต๊ะไม้สีเขียวมรกตตัวหนึ่ง บนนั้นมีจานอาคมที่ใช้ประมูลวางอยู่

หานลี่กวาดตามองแค่สองแวบก็เลื่อนสายตาออกมองไปนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

ยามนี้มองเห็นสถานการณ์ด้านล่างกว่าครึ่งจากบานหน้าต่าง ชาวเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วน นั่งอยู่ที่ชั้นหนึ่งและชั้นสองจนเกือบเต็มแล้ว

ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตระดับเทพแปลงและระดับหลอมสุญตาขึ้นไป

ส่วนตัวประหลาดเฒ่าระดับผสานอินทรีย์อย่างหานลี่ย่อมอยู่ในห้องส่วนตัวที่ชั้นสาม

หานลี่กวาดสายตามองไปก็เห็น ยามนี้ไม่มีสิ่งใดน่าดูจึงหลับตาทำสมาธิทันที

ไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อย่อมยืนประสานมืออยู่ด้านหลังอย่างซื่อสัตย์

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่เสียงจ้อกแจ้กจอแจที่ดังขึ้นจากด้านล่างพลันหยุดลง ทั้งตำหนักตกอยู่ในความเงียบสงัด

หานลี่หน้าเปลี่ยนสีลืมตาขึ้นอีกครั้ง มองไปที่แท่นสูงด้านล่างจากบานหน้าต่าง

เห็นเพียงบนแท่นในยามนี้มีผู้ที่มีหน้าตาเป็นเอกลักษณ์สองคนยืนเคียงไหล่กันอยู่

คนหนึ่งสูงสองจั้ง รอบกายมีลำแสงสีดำไหลโคจรไปมา เป็นชายร่างใหญ่ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครา แต่ใบหน้าที่แท้จริงกลับมองเห็นไม่ชัด

อีกคนหนึ่งสูงกว่าชายร่างใหญ่ไว้หนวดหนึ่งช่วงหัว แค่ศีรษะมีเขาประหลาดสีแดงสดงอกออกมาดวงตาทั้งสองข้างเป็นสีเขียวมรกต ข้างแก้วมีเกล็ดแวววาวอยู่ กลับเป็นชนเผ่าปีศาจแปลงกายคนหนึ่ง

หานลี่มองเห็นทั้งสองอย่างชัดเจน รูม่านตาหกเล็กลงแต่ทันใดนั้นก็ฟื้นฟูสีหน้ากลับมาเป็นปกติ

และในยามนี้ชายร่างใหญ่ที่อยู่ในลำแสงสีดำบนแท่นสูงกลับเอ่ยปากว่า

“สหายที่อยู่ที่นี่น่าจะรู้จักข้าและสหายหลีหั่วที่อยู่ข้างกาย ดังนั้นจักรพรรดิป้าอย่างข้าก็จะไม่แนะนำตัวอันใดอีก ยามนี้ข้าขอประกาศให้งานประมูลสินค้าครั้งแรกของงานหมื่นสมบัติเริ่มได้”

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

Type: Author: ,
เจ้าบื้อที่สอง หานลี่ เด็กหนุ่มธรรมดาสามัญผู้ได้รับวาสนาให้ไปเข้าทดสอบเป็นศิษย์ในสำนักเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทำให้เขาได้รู้จักกับโลกใบใหม่ที่หนุ่มน้อยชนบทอย่างเขาใฝ่ฝันอยากสัมผัสกับมันมาโดยตลอด ในโลกแห่งเซียน เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรต่างฝึกฝนค้นหาเส้นทางเพื่อก้าวเข้าสู่ความเป็นนิรันดร์ ทว่าเส้นทางที่แม้กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรซึ่งมีพรสวรรค์สูงส่งแต่กำเนิดยังต้องผ่านความยากลำบากเท่าไหร่กว่าจะไปถึงจุดนั้น แล้วเด็กหนุ่มปุถุชนเช่นเขาจะทำได้หรือ? ด้วยความสามารถอันธรรมดาสามัญของเขาจะเอาตัวรอดในโลกแห่งเซียนนี้ไปได้อย่างไร? เส้นทางแห่งความสำเร็จช่างอยู่ห่างไกลเสียเหลือเกิน… คัมภีร์วิถีเซียนเป็นนิยายจีนย้อนยุคเล่าเรื่องการเดินทางอันน่าติดตามของหานลี่ ผู้ต้องใช้ทั้งไหวพริบและพลังยุทธ์ในการฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ด้วยตัวคนเดียว มาร่วมเดินทางไปกับหานลี่ ผู้เย้ยฟ้าท้านรกเพื่อแสวงหาเส้นทางแห่งการเป็นเซียนด้วยกันเถอะ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset