ผู้อาวุโสและประมุขตระกูลที่นำขบวนของตระกูลอื่น คุ้นเคยกับการเห็นฉากเช่นนี้ราวกับเป็นเรื่องปกติ เมื่อได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสตระกูลหล่งแล้ว ต่างก็โบกมือไปยังเหล่าลูกศิษย์ที่อยู่ด้านหลัง แต่ละคนจะมีคนผู้หนึ่งถือขวดหยกขนาดเท่าฝ่ามือขวดหนึ่งเดินออกมาจากกลุ่มคน เดินไปยังแท่นหมื่นวิญญาณอย่างรวดเร็ว
พร้อมกันนั่นเอง ร่างกายผู้อาวุโสตระกูลหล่งก็ส่องประกายสีทอง เงาร่างกระเพื่อมไหว ตรงเข้าไปด้านในของครอบแสงที่ปกคลุมแท่นหมื่นวิญญาณเอาไว้ จากนั้นก็ใช้มือข้างเดียวร่ายยันต์เป็นลำแสงสีทองพุ่งลงไปกลางอากาศ
แสงสีทองนั้นส่องกะพริบแล้วเลือนรางไป ซึมแทรกลงไปกลางผืนศิลาสีคราม หายวับไร้ร่องรอย
ทันทีหลังจากนั้น แท่นหมื่นวิญญาณก็ส่งเสียงเบาๆ ขึ้นมา อ่างศิลาสีครามโบราณใบหนึ่งปรากฏขึ้นใกล้ๆ กับค่ายอาคมสีขาว
อ่างใบนี้ยาวแต่แบน ความยาวหลายจั้ง ผิวทั้งสี่ด้านสลักลวดลายสีดำเข้มดูแปลกประหลาด ดูเหมือนกับว่าจะมีอายุมาเนิ่นนาน
ในเวลานี้เองลูกหลานตระกูลต่างๆเหล่านั้นก็เดินออกมา ทยอยเดินไปด้านหน้าอ่างศิลา ดึงฝาขวดหยกในมือออก จากนั้นก็คว่ำปากขวดเทลงไปด้านล่าง
ของเหลวสีสันประหลาดไหลออกจากขวด บางขวดก็เหม็นโฉ่ บางขวดก็หอมเตะจมูก และมีบางขวดที่ไร้กลิ่นไร้รส ดูราวกับน้ำเปล่า
เมื่อของเหลวแตกต่างกันนับสิบชนิดถูกเทลงไปในอ่าง ต่างก็ค่อยๆ จับกลุ่มกันเป็นก้อน ไม่ได้ละลายรวมกันแม้สักนิด
ผู้อาวุโสตระกูลหล่งไม่ได้ใส่ใจสิ่งใด เพียงแต่มองไปยังแสงสว่างกลางค่ายอาคมที่ส่องสว่างขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นก็เงยหน้ามองเครือข่ายสีทองม่วงอานุภาพน่าเกรงขามที่สูงขึ้นไปบนฟ้า ลอยอยู่กลางอากาศสีหน้านิ่งเฉยไม่ได้เคลื่อนไหวอันใด
ด้านนอกของแท่นหมื่นวิญญาณ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ทั้งหมดต่างลุกขึ้นยืน มองไปยังค่ายอาคม สีหน้าเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง
เสียงดังสนั่น “โครม”
ยันต์เวทหลากสีที่โผล่ขึ้นกลางค่ายอาคมขนาดยักษ์ทันใดนั้นก็รวมตัวกัน กลายเป็นลูกแก้วแสงขนาดยักษ์ใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลางยาวหลายจั้งลูกหนึ่ง หมุนรอบตัวไม่หยุดอยู่บนท้องฟ้าเหนือค่ายอาคม
แต่เมื่อหมุนรอบตัวไม่กี่ครั้ง ดวงแสงก็แตกร้าวเสียงดังแน่น ด้านในนั้นปรากฏอสูรกายแปดหัวตัวหนึ่ง
มีตัวเป็นสิงโตหัวเป็นงู ร่างกายดูเลือนรางดูน่าประหลาด ราวกับเป็นเพียงร่างจำแลง พลังลมปราณก็ดูเหมือนจะอยู่เพียงแค่ระดับหลอมสุญตาช่วงต้นทั่วไปเท่านั้น แต่เมื่อหัวทั้งแปดโยกย้ายไปมาคนละทิศละทางซ้ายขวา ดวงตาอันเหี้ยมเกรียมทั้งสิบหกดวงกวาดมองไปด้านล่างแท่นหมื่นวิญญาณ กลับทำให้ผู้คนที่ถูกมองรู้สึกเสียวสันหลัง ประหนึ่งว่าไอเย็นยะเยือกแปลกประหลาดพัดผ่านร่างกาย
ในวินาทีต่อมา ผู้อาวุโสตระกูลหลงก็ประสานมือทั้งคู่เข้าด้วยกัน แล้วพูดขึ้นช้าๆว่า
“ขอต้อนรับใต้เท้าหมื่นวิญญาณมาจุติอีกครั้ง ขอท่านใต้เท้ารับเครื่องเซ่นวิญญาณเที่ยงแท้ที่พวกข้าตระกูลวิญญาณแท้ทั้งห้าสิบเอ็ดตระกูลนำมาเซ่นเถอะ”
อสุรกายที่ชื่อว่าหมื่นวิญญาณเงยศีรษะหนึ่งขึ้น มองประเมินผู้อาวุโสตระกูลหล่งที่อยู่กลางอากาศปราดหนึ่ง ร่างกายขยับไหวโดยไม่ได้พูดอะไร ค่อยๆ บินลอยออกจากค่ายอาคมมาด้านบนอ่างหิน
เมื่อปากอันใหญ่กว้างของศีรษะทั้งแปดอ้าขึ้น ของเหลวในอ่างก็กลายเป็นเสาน้ำแปดลำลอยพุ่งออกไป พุ่งเข้าไปในปากของอสูรนั้น
ชั่วครู่เดียว เครื่องเซ่นที่อยู่ในอ่างก็ถูกอสุรกายดูดกินไปจนหมด จากนั้นผิวภายนอกร่างของอสุรกายตัวนี้ก็มีแสงประหลาดส่องสว่างขึ้นชั้นหนึ่ง ร่างกายที่เลือนรางในตอนแรกชั่วพริบตาเดียวก็ดูชัดเจนเหมือนจริงขึ้นมา
จากนั้นอสุรกายก็มองไปยังกลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรด้านนอกหลังแท่นศิลาปราดหนึ่ง ศีรษะทั้งแปดชูขึ้นส่งเสียงคำรามร้องกึกก้อง
กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ออกมาจากร่างอสุรกายตัวนั้น จากระดับหลอมสุญตาช่วงต้นไปสู่ช่วงกลาง แล้วทะยานสู่ช่วงปลาย…
ชั่วเวลาเดียว พลังปราณของอสุรกายตัวนี้ก็ไปถึงจุดสุดยอดของระดับผสานอินทรีย์ช่วงท้าย ไม่สิ ดูเหมือนจะสูงกว่าระดับงั้นไปอีกมากโข ราวกับว่าขาข้างหนึ่งได้ก้าวสู่ระดับมหายานแล้ว
สีหน้าที่นิ่งเฉยของหานลี่ในตอนแรก เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังลมปราณที่พรั่งพรูออกมาอย่างคลุ้มคลั่งจากแท่นหมื่นวิญญาณ ก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองไม่ละสายตา
และเมื่อมาถึงขั้นนี้ ดูเหมือนอสุรกายตัวนี้สามารถเลื่อนระดับมาจนถึงขีดสุด พลังปราณมหึมาในที่สุดก็สงบนิ่งลง
แต่อสุรกายแปดหัวตัวนี้วินาทีต่อมาก็เริ่มเคลื่อนไหว จนทำให้ผู้บำเพ็ญจากตระกูลต่างๆ ไม่น้อยเกือบจะหลุดเสียงร้องออกมา
หัวทั้งแปดของอสุรกายมองสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วส่งเสียงร้องแหลม กลางศีรษะมีแสงสีครามขนาดเท่าปากถ้วยพุ่งออกมา ส่องสว่างแล้วสลายไป พุ่งโจมตีเข้าใส่เครือข่ายสายฟ้าสีทองม่วงบนท้องฟ้า
แม้แต่พวกระดับผสานอินทรีย์ได้เห็นเช่นนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะหน้าเปลี่ยนสี
แต่ผู้อาวุโสตระกูลหล่งถึงแม้จะอยู่ประชิดกับอสุรกายแปดหัวตัวนั้น กล้ามเนื้อบนหน้ากระตุกหนึ่งที แต่ยังคงรักษาสีหน้าสงบนิ่งได้เช่นเดิม
เสียงดังสนั่นกึกก้องลั่นฟ้าปะทุขึ้นหลายครั้ง
สายฟ้าม่วงครามสองสีสอดประสานกันอยู่กลางอากาศ กลายร่างเป็นแสงอสนีบาตขนาดเท่าล้อเกวียนลูกแล้วลูกเล่า แตกปะทุไปทั่วอยู่กลางอากาศ
แต่เมื่อผ่านไปสักครู่ แสงอสุนีบาตก็สงบลง เครือข่ายมหึมาสีทองม่วงขยับไหวเบาๆ ไม่กี่ครั้ง ก็กลับคืนสู่ความสงบเรากลับไม่เคยเกิดอะไรขึ้น ไม่มีร่องรอยเสียหายแม้สักนิด
อสุรกายแปดหัวเห็นเช่นนี้ นัยน์ตาก็ฉายแววเยือกเย็น ปากทั้งแปดค่อยๆ หุบลง
แต่ศีรษะสีครามหนึ่งในจำนวนนั้นกลับหมุนคอ จ้องนิ่งไปยังผู้อาวุโสตระกูลหล่งที่อยู่ด้านหน้าทันที เสียงพูดที่ดูเฒ่าชราเสียงหนึ่งเอ่ยออกจากปาก
“ฮึ พวกเจ้าเผ่าพันธุ์มนุษย์ช่างรู้จักระวังตัวเสียจริง ข้ามาจุติยังที่แห่งนี้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ค่ายอาคมผนึกหมื่นอสนีบาตอันนี้อายุนับหมื่นๆ ปี แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีจุดบกพร่องมาก่อน แต่พวกเจ้าก็จงอธิษฐานให้มันเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ แล้วกัน หาไม่แล้วหากเลินเล่อแม้แต่ครั้งเดียว ปล่อยให้ข้าหาช่องโหว่ของยันต์ผนึกอันนี้ได้แล้วล่ะก็ หึๆ…”
ศีรษะสีครามของอสุรกายไม่เพียงแต่โพล่งคำพูดภาษามนุษย์ ในตอนท้ายยังแค่นเสียงหัวเราะโหดเหี้ยมเยือกเย็นออกมาด้วย
“เรื่องนี้ ขอท่านใต้เท้าโปรดวางใจ หากมีวันนั้นจริง หากลูกหลานตระกูลวิญญาณแท้พวกข้าเพียงแค่ค่ายอาคมปิดผนึกเพียงอันเดียวก็ยังเลินเล่อไม่อาจดูแลอย่างทั่วถึง โลหิตเที่ยงแท้ในร่างของพวกเขาจะถูกท่านใต้เท้าดูดกลืนเอาไป ก็ถือว่ารนหาที่ตายเองแล้ว แต่ทว่า หากว่าตามข้อตกลงระหว่างใต้เท้ากับบรรพชนตระกูลวิญญาณแท้ของพวกข้า ตอนนี้เครื่องเซ่นได้เอามาถวายแล้ว ที่เหลือก็ขอให้ใต้เท้าสร้างฎีกาซ่อนวิญญาณเพื่อให้พวกผู้น้อยดำเนินการตามด้วย” ผู้อาวุโสตระกูลหล่งค้อมกายเล็กน้อย ตอบกลับด้วยท่าทีที่อ่อนน้อมแต่ไม่อ่อนแอ ไม่ได้แสดงสีหน้าตื่นกลัวอะไรออกมา
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ร่างแท้จริงของอสุรกายในตอนนี้ถึงแม้จะเป็นระดับวิญญาณแท้จากดินแดนอื่น แต่ที่สามารถข้ามดินแดนมาได้ก็มีเพียงที่ถูกแบ่งออกมาจากร่างเท่านั้น อีกทั้งยังมีค่ายอาคมปิดผนึกที่บรรพบุรุษตระกูลวิญญาณแท้ได้สร้างขึ้นอย่างทุ่มเท ถ้าร่างจุติของอสุรกายได้ดูดกินเครื่องเซ่นแล้ว ระดับการบำเพ็ญพรตก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ในความจริงแล้วญานรับรู้ยังคงถูกสะกดไว้กว่าครึ่ง ด้วยสถานะผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ช่วงบ่ายของเขา ย่อมไม่จำเป็นต้องรู้สึกกลัวจนเกินไป
“ฮึ ในเมื่อยังจำข้อได้เปรียบของพวกเจ้าได้ ข้าก็ย่อมจะช่วยพวกเจ้าทำเรื่องน้อยนิดนี้” อสุรกายแค่นเสียงเยาะหนึ่งที ศีรษะทั้งแปดโยกอยู่ชั่วครู่ แล้วก็ร่ายอาคมขึ้นพร้อมกัน
ท่ามกลางเสียงร่ายอาคม อักษรยันต์แปดสีแต่ละตัวถูกพ่นออกมาจากปาก ลอยต่ำพันรัดกันอยู่กลางอากาศ
ในที่สุดเมื่อเวลาผ่านไปสักครู่ อักษรยานสีต่างๆ จำนวนมากมาย ก็ดูเหมือนแผ่กระจายไปทั่วทั้งท้องฟ้าเหนือแท่นหมื่นวิญญาณ พลานุภาพดูน่าเกรงขามอย่างถึงที่สุด
ผู้อาวุโสตระกูลหล่งผู้นั้นถึงแม้จะอยู่ท่ามกลางการโอบล้อมด้วยยันต์เวทสีต่างๆ แต่สีหน้ายังคงสงบนิ่ง บนล่างยังมีแสงสีทองชั้นหนึ่งห่อหุ้มไปทั้งกาย จนทำให้ยันต์เวทเหล่านั้นอยู่ห่างจากตัวเขาหลายศอก ไม่สามารถเข้าใกล้ได้แม้สักนิด
ทันใดนั้นอสุรกายก็คำรามขึ้นอีกครั้ง!
ความว่างเปล่าที่อยู่ด้านบน ทันใดกระแสคลื่นที่มองไม่เห็นนั้นก็บิดเคลื่อน
ยันต์เวทที่อยู่เต็มฟ้าก็รวมตัวซ้อนเข้าด้วยกัน กลายร่างเป็นป้ายฎีกาห้าสีจำนวนนับไม่ถ้วนร่วงลงมาจากท้องฟ้า ร่วงหล่นลงมาทั่วผืนแท่นหมื่นวิญญาณ
“เอาล่ะ ฎีกาซ่อนวิญญาณทั้งหมดเก้าร้อยเก้าสิบเก้าแผ่นทำออกมาแล้ว คราวหน้าหากจะอัญเชิญข้ามาจุติ จำเป็นต้องรอไปอีกสามพันปีให้หลัง” อสุรกายแปดหัวทำเสียงประชด แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดูเบื่อหน่าย
จากนั้นอสุรกายก็โยกหัวสะบัดหาง ศีรษะหนึ่งฟาดลงไปกลางค่ายอาคมที่อยู่เดิม
ค่ายอาคมขนาดยักษ์ส่องแสงกะพริบสว่างขึ้นมา แสงวิญญาณบินพุ่งออกมา ชั่วพริบตาเดียวก็ปกคลุมร่างของอสูรยักษ์จนมิด
เสียงดังอื้ออึงขึ้นอีกครั้ง ค่ายอาคมหมุนวนไปรอบหนึ่ง เช่นเดียวกันกับตอนที่อสุรกายแปดหัวปรากฏตัว ร่างกายเริ่มส่งเสียงร้าวแตกออกเป็นเสี่ยง กลายเป็นยันต์วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนสลายหายไป
นาทีต่อมา แสงสว่างจากค่ายอาคมก็สงบลงหายลับไปจากแท่นหมื่นวิญญาณ ราวกับว่าไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน
“เข้ามา เก็บฎีกาซ่อนวิญญาณทั้งหมดให้หมด เดี๋ยวสักครู่เมื่อตะกูลต่างๆ ได้จัดลำดับใหม่เรียบร้อยแล้ว ค่อยกำหนดว่าพวกมันจะเป็นของใครบ้าง!” ผู้อาวุโสตระกูลหล่งหรี่ตาทั้งคู่ลงเล็กน้อยมองไปยังพื้นศิลาสีครามที่ซึ่งค่ายอาคมหายไป สักครู่ใหญ่ ก็ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ องครักษ์สวมเกราะทองคำไม่รู้จากที่ไหนจำนวนหลายคนก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ในมือของพวกเขาต่างถือถาดสีเงินใบหนึ่ง คว้าเก็บไปบนผืนจนว่างเปล่า เก็บแผ่นป้ายฎีกาทั้งหมดมากองรวมกันในถาดจนหมด จากนั้นก็ถือไปยังโต๊ะตัวหนึ่งบนแท่นศิลา แล้ววางลงด้วยความนอบน้อม
“ท่านใต้เท้าหมื่นวิญญาณไปแล้ว ต่อไปก็เริ่มทำพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษตระกูลวิญญาณเที่ยงแท้แต่ละท่านของพวกเรากันเถอะ” ผู้อาวุโสตระกูลหล่งกวาดสายตามองไปยังผู้คนที่อยู่นอกแท่นศิลา แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแข็ง
เมื่อได้ยินแล้ว ผู้คนจากตระกูลน้อยใหญ่ที่อยู่ด้านนอกก็เอะอะกันขึ้นมา จากนั้นแต่ละคนก็ถืออุปกรณ์วิญญาณเซ่นไหว้หลากหลายชนิดรวมถึงเทียนหอมและผลวิญญาณ เริ่มจัดวางบนแท่น
จากนั้นด้วยการนำผู้อาวุโสและประมุขของตระกูลต่างๆ ลูกหลานตระกูลวิญญาณแท้ทั้งหมด ก็เริ่มหักกันเดินขึ้นไปบนแท่นหมื่นวิญญาณ คุกเข่าลงต่อหน้าบรรพชนวิญญาณแท้ซึ่งตนเซ่นไหว้ ต่างมีบทสวดบูชาที่ไม่เหมือนกัน
ตระกูลวิญญาณเที่ยงแท้บางตระกูลที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ยังมีพิธีเซ่นไหว้ที่หายสาบสูญไปแล้วในโลกภายนอก ทำให้หานลี่ที่อยู่ด้านล่างคอยชมอย่างตื่นตาตื่นใจ
แต่เมื่อพิธีเซ่นไหว้ที่ใช้เวลาครึ่งวันเต็มๆ เหล่านี้สิ้นสุดลง ก็ถึงเวลาที่พิธีวิญญาณเที่ยงแท้จะเริ่มขึ้นอีกครั้งอย่างแท้จริง ลำดับรายชื่อตระกูลวิญญาณแท้แต่ละตระกูลและสิ่งของและผลประโยชน์ที่ครอบครองได้ทำการแบ่งใหม่อีกครั้ง
ผู้อาวุโสตระกูลหล่งบินขึ้นไปบนแท่นศิลาอีกครั้ง มือทั้งคู่สอดเข้าไปในแขนเสื้อไพล่ไปด้านหลัง แล้วพูดขึ้นเสียงเรียบ
“ตามคำสอนแต่โบราณ ในพิธี แต่ละตระกูลต่างมีโอกาสที่จะท้าทายตระกูลอื่นที่อยู่ระดับสูงขึ้นไปได้ รวมไปถึงตอบรับคำถามของตระกูลที่อยู่ระดับต่ำกว่า แต่ละฝ่ายมีโอกาสเพียงหนึ่งครั้ง แต่ผู้ท้าประลองไม่สามารถทำการท้าตระกูลที่อยู่สูงเกินกว่าระดับขึ้นไปห้าตำแหน่งหากมีหลายตระกูลส่งผู้ท้าชิงเข้าถามประลองตระกูลเดียว ผู้ที่มีอันดับสูงกว่าจะมีสิทธิ์ในการท้า แน่นอนตามกฎแล้ว การจัดอันดับของพวกข้าห้าตระกูลใหญ่ในเวลานี้ถูกยกเลิกจนหมดสิ้น จำเป็นต้องแข่งขันเพื่อจัดลำดับใหม่ จึงจะสามารถเริ่มทำการท้าถ่ายตระกูลอื่นได้ สหายหลิน พวกเจ้าขึ้นมาเถอะ มาเลือกคู่ต่อสู้คนแรกก่อนค่อยว่ากันต่อ”
“หึๆ เลือกอะไรกันอีก อย่างไรเสียหากพบกับพวกเจ้าตระกูลหล่ง ข้าคงไม่อาจจะสู้ คงเป็นฝ่ายขอยอมแพ้เอง แต่ญาณรอบรู้สองหัตถ์ที่ผู้น้อยเพิ่งจะฝึกมา หากได้พบกับท่านเทพเย่ว์ อย่างไรเสียก็ต้องขอคำชี้แนะสักหน่อย” ในห้าตระกูลใหญ่วิญญาณแท้ ในตระกูลที่ประกอบด้วยผู้บำเพ็ญเพียรชายทั้งหมดอันดับสุดท้าย มีเสียงฟังดูเฉื่อยชาของชายผู้หนึ่งดังแว่วมา
ผู้ที่พูด เป็นชายสวมชุดคลุมยาวสีดำเขียว ปล่อยผมสยาย ปากมีห่วงเงินดูแปลกประหลาดอันหนึ่ง ใบหน้าดูผ่องใสราวกับสตรี