“ผีเสื้อแปลงโลหิต! พวกเรามีโอกาสแล้ว”
หานลี่ไม่ใช่ผู้ที่ไม่รู้อะไรเหมือนตอนที่เข้ามาในแดนวิญญาณคราแรก เมื่อมองเห็นรูปร่างของผีเสื้อสีเขียวเหล่านั้นก็ร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง แล้วเผยสีหน้าดีใจอย่างบ้าคลั่งออกมา
“เป็นผีเสื้อเหี้ยมจริงๆ! เยี่ยมมากผีเสื้อชนิดนี้เป็นศัตรูโดยธรรมชาติกับแมลงคลื่นสีเงิน แค่เห็นก็ต่อสู้กันให้ตายไปข้างแล้ว” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เองก็สำแดงเคล็ดวิชาลับเห็นหน้าตาที่แท้จริงของผีเสื้อสีเขียวเหล่านี้ก็รู้สึกดีอกดีใจเช่นกัน
“มีโอกาสหนีแล้ว แต่ต้องระวังอย่าถูกดึงเข้าไปในวงต่อสู้ มิเช่นนั้นก็คงไม่อาจรักษาชีวิตน้อยๆ เอาไว้ได้” สือคุนเองก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้น
“ในยามนี้พวกเราสามคนไม่ควรมารวมตัวกัน มิเช่นนั้นเป้าหมายจะใหญ่เกินไปอาจจะถูกแมลงทั้งสองชนิดจับตามองพร้อมกัน ถึงอย่างไรเสียยามนี้ก็อยู่ห่างจากเขตอาคมซากปรักหักพังอีกครึ่งทางแล้ว พวกเราก็รู้แผนที่ มิสู้แยกกันหนีจะดีกว่า สองเดือนต่อจากนี้พวกเราค่อยไปรวมตัวที่ซากปรักหักพังเถอะ” หานลี่เอ่ยออกมาอย่างเยือกเย็น
เมื่อได้ยินหานลี่กล่าวเช่นนี้คนที่เหลือทั้งสองก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้
แต่ทันใดนั้นสือคุนก็ได้ปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมาก่อน จึงเอ่ยอย่างเห็นด้วย “สหายหานพูดมีเหตุผล ยามนี้เป้าหมายยิ่งเล็กเท่าไหร่ก็ยิ่งหนีรอดได้เท่านั้น เอาตามนี้ก็แล้วกัน พวกเราต่างคนต่างหนีเอาชีวิตรอดก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
หลิวสุ่ยเอ๋อร์อดที่จะลังเลเล็กน้อยไม่ได้ แต่หลังจากขบคิดซ้ำไปซ้ำมาสองสามรอบในที่สุดก็กัดฟันพยักหน้า
ดังนั้นทั้งสามคนจึงแค่ถ่ายทอดเสียงหากันสองสามครั้งแล้วพากันแยกย้ายออกไป
ยามนี้เมฆสีเขียวที่อยู่ไกลออกไปพลันบินเข้ามาใกล้ภายในพริบตา แม้ว่าจะไม่ใช้อิทธิฤทธิ์ แค่ตาเนื้อก็สามารถมองเห็นรูปร่างของผีเสื้อสีเขียวทั่วท้องฟ้าได้อย่างชัดเจน
ผีเสื้อเหล่านี้ส่งเสียงหึ่งๆ โดยไม่ปริปาก เมฆาสีเขียวแปดเก้าส่วนพุ่งเข้ามาหาคลื่นสีเงินด้านหลัง อีกสองสามส่วนกลับไล่ตามหานลี่และอสูรอื่นๆ ไป
คลื่นสีเงินที่อยู่ด้านหลังเห็นเช่นนั้นก็ไม่ยอมแสดงความอ่อนแอ คาดไม่ถึงว่าจะแบ่งออกเป็นสองกลุ่มเช่นกัน คลื่นสีเงินส่วนใหญ่พุ่งไปหาเมฆสีเขียว มีเพียงส่วนเล็กๆ ที่ยังคงไล่ตามอสูรตรงหน้าไป
เหล่าอสูรที่หนีเอาชีวิตรอดอย่างวุ่นวายเหมือนกับพวกของหานลี่ อสูรที่มีสติปัญญาไม่น้อยกลับรู้ว่าโอกาสในการเอาชีวิตรอดมาถึงแล้ว
ทันใดนั้นภายใต้เสียงคำรามของอสูรประหลาดที่มีพลังยุทธ์สูงที่สุดสองสามตัว เหล่าอสูรทั้งหมดก็แตกฮือออก บ้างก็กลายเป็นพายุหมุนหายวับไป บ้างก็กลายเป็นไอปีศาจหมุนวนหนีเอาชีวิตรอดทั้งสี่ทิศแปดด้าน
“ไป”
หานลี่เองก็ร้องคำรามออกมาเบาๆ อย่างไม่ลังเลเลยสักนิด แผ่นหลังมีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ปีกวายุอัสนีปรากฏขึ้น
แค่กระพือปีกก็กลายเป็นลำแสงสีเขียวขาวพุ่งออกไป
ในเวลาเดียวกันที่ได้ยินคำพูดของหานลี่ หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนก็เพิ่มความเร็วของลำแสงหลีกหนีโดยไม่เปล่งคำพูดใดๆ พุ่งหนีออกไปคนละทาง
จากระดับความเร็วที่น่ากลัวของปีกวายุอัสนีเต็มอัตราของหานลี่ แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางอสูรประหลาดนับพันหมื่นตัวก็เพียงพอจะทำให้ติดหนึ่งในสามอันดับแรก แค่กะพริบวาบๆ ก็ดึงระยะห่างออกจากอสูรตัวอื่นๆ ออกมาจากทิศทางเดียวกัน ชั่วพริบตาก็ไปถึงขอบฟ้าแล้วถึงได้หยุดชะงักลำแสงหลีกหนีหันกลับมามองด้านหลังแวบหนึ่ง
ผลคือสิ่งที่เข้ามาในครรลองสายตานั้นทำให้เขาอดที่จะใจหายวาบไม่ได้
เห็นเพียงอสูรนับร้อยนับพันตัวที่บินมาด้วยเจตนาที่ไม่เป็นมิตรด้านหลังถูกม้วนเข้าไปในกองทัพแมลงโหดเหี้ยมสองชนิดเพราะเคลื่อนไหวค่อนข้างช้า
เห็นเพียงเมฆสีเขียวและคลื่นสีเงินทะลักออกมาพร้อมกัน อสูรเหล่านี้ถูกกลืนกินเข้าไปโดยไม่ทันแม้แต่จะเปล่งเสียงร้อง แล้วหายวับไปจากกลางอากาศ แม้แต่ซากศพก็ไม่เหลือเอาไว้
ส่วนเมฆสีเขียวและคลื่นสีเงินที่ปะทะกันนั้น ผีเสื้อสีเขียวพลันชะงักอยู่กลางอากาศ จากนั้นปีกทั้งสองก็กระพือไปฝั่งตรงข้าม
ชั่วขณะนั้นพายุสีเขียวก็ม้วนออกมาจากฝูงผีเสื้อเป็นกลุ่มๆ พุ่งเข้าหาคลื่นสีเงินอย่างดุดัน
เสียง “จี๊ดๆ” ประหลาดๆ ดังขึ้น
แมลงติดปีกเปล่งแสงสีเงินวาบๆ จำนวนไม่น้อยที่มีขนาดไม่ถึงสองสามชุ่นทยอยกันร่วงลงมาจากคลื่นสีเงิน
กลุ่มเมฆสีเขียวพุ่งออกมา ม้วนวนคาดไม่ถึงว่าจะกลืนแมลงสีเงินที่ร่วงลงมาไปจนหมด แล้วกระจายตัวออก แมลงสีเงินที่ร่วงลงมาเหล่านั้นพลันหายวับไป
แววตาของหานลี่พลันฉายแสงสีฟ้าสว่างวาบ แต่กลับมองเห็นอย่างชัดเจน
ท่ามกลางฝูงผีเสื้อที่กลืนกินแมลงสีเงินเหล่านั้น มีจำนวนไม่น้อยที่มีลายจุดสีโลหิต
ทว่าแม้ว่าผีเสื้อแปลงโลหิตจะแผ่วายุพิษที่โหดเหี้ยมออกมา แต่แมลงสีเงินนั้นมีมากเกินไปและยิ่งไปกว่านั้นแมลงที่แข็งแกร่งจำนวนไม่น้อยก็มีพลังต้านทานพิษชนิดนี้
ผลคือหลังจากพายุพิษพัดผ่านไปยังคงมีแมลงสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าไปในฝูงผีเสื้อ ยามแรกแมลงคลื่นสีเงินย่อมเข้าไปโดยไม่มีวันหวนคืนแต่ยิ่งจำนวนแมลงสีเงินที่กระโจนเข้าไปในเมฆสีเขียวมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายคลื่นสีเงินและเมฆสีเขียวก็ปะทะเข้าด้วยกันเต็มแรง
เสียงหึ่งๆ และ จี๊ดๆ ดังขึ้นพร้อมกัน ผีเสื้อสีเขียวและแมลงสีเงินร่อนลงมาจากกลางอากาศราวกับพายุฝน จากนั้นก็ถูกเมฆสีเขียวและคลื่นสีเงินด้านหลังกลืนกินเข้าไปจนเกลี้ยง
เห็นได้ชัดว่าแมลงสีเงินมีพลังกลืนกินมากกว่าผีเสื้อสีเขียวเป็นอย่างมาก แต่ตัวของผีเสื้อเหล่านี้มีพิษแผงอยู่ เมื่อกระพือปีกสองสามครั้งก็ทำให้คู่ต่อสู้มึนหัวไร้ซึ่งพลังต้านทาน
แต่ทั้งสองล้วนโหดเหี้ยมอย่างหาที่เปรียบ ไม่สนใจชีวิตของตนเองเลยสักนิด ยามนั้นต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน
ส่วนแมลงสองชนิดที่แยกกันไล่ตามอสูรประหลาด เมื่อเห็นฝูงอสูรแตกฮือออกคาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นกลุ่มเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วนกระจายตัวออกไล่ตามไปเช่นกัน
ทั้งสองชนิดนี้ดูเหมือนจะมีสัญญาลับต่อกัน ยามนั้นต่างไม่ไล่ตามอสูรตัวเดียวกัน
อสูรประหลาดจำนวนไม่น้อยหนีไปได้ไม่ไกลนักก็ทยอยกันถูกฝูงแมลงสองชนิดนี้ไล่ตามทัน จำใจต้องต่อสู้อย่างสุดชีวิต
ยามนั้นเสียงอสูรคำรามพลันดังขึ้นสลับกับเสียงวิหคเพรียก แต่ไม่ใช่เสียงระเบิด
หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง มองเห็นหลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนเองก็บินออกไปไกลลิบ แต่ด้านหลังต่างมีคลื่นสีเงินและเมฆสีเขียวกลุ่มเล็กๆ ไล่ตามไป
ทว่าเขาก็มองเห็นเพียงเท่านั้น เพราะว่าเมื่อเขาเหลือบสายตาไปก็พบว่าแมลงคลื่นสีเงินกลุ่มหนึ่งกำลังพุ่งมาทางนี้อย่างไม่ซักถามอสูรตนอื่นๆ
แมลงสีเงินกลุ่มนี้มีประมาณหนึ่งพันตัว
หานลี่สูดลมหายใจลึกๆ เข้าเฮือกหนึ่ง ปีกที่แผ่นหลังกระพืออีกครั้งแล้วกลายเป็นเส้นไหมลำแสงพุ่งออกไปอีกครั้ง
ครั้งนี้หานลี่บินไปครึ่งชั่วยามในรวดเดียวแล้วถึงได้หันกลับมามองแวบหนึ่ง
เห็นเพียงด้านหลังนั้นว่างเปล่าไม่มีเงาแมลงใดๆ อีก
แต่สีหน้าของเขาก็ไม่ได้มีความดีอกดีใจใดๆ กลับขมวดคิ้วมุ่น
สองสามวันก่อนยามที่เขา หลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกกำลังหนีนั้น ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยสำแดงความเร็วสูงสุดในการสลัดแมลงเหล่านี้แต่แมลงเหล่านี้มีอิทธิฤทธิ์ประหลาดอันใดก็ไม่อาจรู้ ขอแค่พวกเขาลดความเร็วลงไม่นานก็จะไล่ตามมาอีกครั้ง
ไม่ว่าสือคุนและพวกจะใช้เคล็ดวิชาลับอำพรางกายใดๆ ก็ไร้ผล
หานลี่มีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใสอยู่ชั่วครู่ ฉับพลันนั้นก็แค่นเสียงด้วยความเย็นชาร่างกายเปล่งแสงสีดำสว่างวาบ ผ้าไหมสีดำปรากฏขึ้น เงาร่างหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากอำพรางกายแล้วเขาจึงได้บินไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อน
แต่หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยามขณะที่หานลี่กำลังบินอย่างเชื่องช้าอยู่นั้น ฉับพลันนั้นก็สัมผัสอันใดได้ จึงหันกลับไปมองด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนสี
ผลคือหลังจากผ่านไปชั่วครู่ขอบฟ้าก็มีเสียงหึ่งๆ ดังขึ้น
แมลงยักษ์สีเงินขนาดสองสามจั้งตัวหนึ่งปรากฏขึ้นตรงนั้น
แมลงยักษ์ตัวนี้แค่กระพือปีกก็พุ่งตรงมายังจุดที่หานลี่อำพรางกายอยู่
หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสีกลับใช้เนตรวิญญาณวารีกระจ่างมองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของแมลงตัวนี้
เป็นแมลงสีเงินที่รวมตัวกันนับพันตัว ถึงได้มีรูปร่างใหญ่โตมโหฬารเช่นนี้
แม้จะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดผ้าไหมสีดำอันเป็นสมบัติอำพรางกายที่ล้ำเลิศถึงไม่อาจบดบังแมลงเหล่านี้ได้ และถูกพวกมันไล่ตามมาถึงที่นี่ได้ แต่หานลี่ในยามนี้ก็เข้าใจแล้ว ไม่สังหารแมลงกลุ่มนี้ ก็อย่าคิดจะหนีไปได้อย่างปลอดภัยเลย
ทว่าสาเหตุที่แมลงคลื่นสีเงินน่ากลัวเช่นนี้ นอกจากจำนวนจะทำให้ผู้คนขนลุกซู่แล้ว ขนาดตัวก็ยากจะสลัดอีกด้วย
ร่างของพวกมันไม่เพียงจะแข็งแกร่ง สามารถต้านทานการโจมตีสมบัติธรรมดาๆ ได้ เขี้ยวที่สามารถกัดทองคำได้รวมทั้งขาหน้าที่สามารถฉีกสมบัติต้านทานได้อย่างง่ายดาย ก็ยิ่งน่ากลัวมาก ทำให้ผู้คนได้ยินแล้วหน้าเปลี่ยนสี
หากเอาสมบัติธรรมดาๆ ไปต่อกรกับแมลงสีเงินเหล่านี้ ก็มีประโยชน์ไม่มากนัก
เมื่อขบคิดเช่นนั้น ก็เห็นแมลงยักษ์มาอยู่ตรงหน้าในทันที แววตาของหานลี่ฉายแววเย็นเยียบ ฉับพลันนั้นพลันสะบัดแขนเสื้อไปกลางอากาศ
ชั่วขณะนั้นเสียงหึ่งๆ คล้ายๆ กันก็ดังขึ้น ฉับพลันนั้นดอกสีทองร้อยกว่าดอกก็บินออกมาจากแขนเสื้อ หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ลำแสงสีทองพลันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วขยายใหญ่ขึ้น กลายเป็นแมลงเกราะยักษ์ขนาดครึ่งฉื่อ
ลำแสงสีทองรอบกายเปล่งแสงเรืองๆ นั่นคือแมลงกลืนทองโตเต็มวัย
“ไป”
หานลี่แทบจะร้องตะโกนออกมาเบาๆ อย่างไม่ต้องคิด สะบัดแขนเสื้อไปทางแมลงยักษ์สีเงินฝั่งตรงข้ามอย่างรวดเร็ว
ชั่วขณะนั้นแมลงกลืนทองนับร้อยตัวพลันเปล่งเสียง “หึ่งๆ” แล้วกระโจนเข้าไปหาแมลงยักษ์ฝั่งตรงข้าม
แมลงยักษ์สีเงินที่เดิมมีท่าทีโหดเหี้ยมเห็นแมลงกลืนทองโตเต็มวัย ร่างกายกลับสั่นเทา ทันใดนั้นก็เปล่งเสียงร้องแหลมๆ ออกมา ฉับพลันนั้นพลันหันหัวหนีไปอย่างร้อนรน
แต่ในเมื่อหานลี่ยอมปล่อยแมลงกลืนทองจำนวนมากออกมาในครั้งเดียว แน่นอนว่าย่อมมีความคิดจะตัดสินแพ้ชนะอย่างรวดเร็ว
แทบจะในเวลาเดียวกัน แผ่นหลังพลันมีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น คนพลันสลายหายไปท่ามกลางประจุไฟฟ้าสีเขียวขาว
ครู่ต่อมาแมลงยักษ์สีเงินกลางอากาศพลันมีสายฟ้าสีเขียวขาวเปล่งแสงสว่างวาบ เงาร่างของหานลี่ปรากฏออกมา พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งโดยไม่พูดอันใด
ภูเขาสีดำขยายใหญ่ขึ้นแล้วบินออกมา กลายเป็นยอดเขาสูงสิบจั้งกว่าร่อนลงมา
สมบัติชิ้นนี้แค่หมุนติ้วๆ ชั่วขณะนั้นหมอกลำแสงสีเทาพลันม้วนวนออกมาจากตีนเขา ชั่วครู่ก็ห่อหุ้มลงมาที่แมลงสีเงินเหล่านั้น
แมลงยักษ์เพิ่งจะกระพือ ชั่วขณะนั้นพลันสั่นเทา ร่างกายเปลี่ยนเป็นเชื่องช้า ถูกลำแสงเทวะดูดปราณกักเอาไว้
เสียงร้องแหลมๆ ด้วยความโมโหดังขึ้น ร่างกายอันใหญ่โตเปล่งแสงสีเงินออกมา พลิ้วไหวแล้วแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
แค่ชั่วลมหายใจแมลงยักษ์ตัวนี้ก็ยังเป็นแมลงสีเงินนับพันตัวเช่นเดิม จากนั้นก็กรูกันเข้าไปยังทิศทางเดียวกัน และกลืนกินหมอกลำแสงที่ต้านทานอยู่รอบด้านเข้าไป
ลำแสงเทวะดูดปราณรอบด้านพลันเบาบางลงด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ
แต่หานลี่ที่อยู่กลางอากาศ พลันทำเหมือนมองไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ ใบหน้าไร้ซึ่งความกังวลใจ
เพราะว่าการขัดขวางนี้ แมลงกลืนทองนับร้อยตัวด้านหลังพลันพุ่งเข้ามา แล้วมาถึงยอดเขาสีดำด้านล่างเช่นกัน