A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 1689 อันตราย

ได้ยินสือคุนเองก็กล่าวเช่นนี้ หลิวสุ่ยเอ๋อร์เองก็ขมวดคิ้วดำขลับอยู่ชั่วครู่ ในที่สุดก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วเอ่ยเห็นด้วย

ทว่ายามนี้อยู่ห่างจากจุดที่แยกกับเผ่าราชามหาสมุทรไม่ไกลนัก แน่นอนว่าย่อมไม่อาจนั่งพักผ่อนอยู่ที่นี่ได้

มิเช่นนั้นหากทั้งสองคนนั้นเปลี่ยนใจ หรือพาอสูรโหดเหี้ยมและเผ่าคนอื่นๆ มา หานลี่และพวกทั้งสามก็จะตกอยู่ในอันตรายทันที

ดังนั้นหานลี่และพวกทั้งสามจึงบินต่อไปอีกครึ่งวัน ในที่สุดก็มองเห็นภูเขาสีเขียวอ่อนอยู่ไกลๆ ด้านในมีไอวิญญาณหนาแน่นมาก

เพื่อความปลอดภัย ทั้งสามจึงใช้จิตสัมผัสกวาดมองบนภูเขาขึ้นๆ ลงสองสามรอบ

ผลคือทั้งสามล้วนรู้สึกปลอดภัยขึ้น

แม้ว่าภูเขานี้จะไม่สูงนัก แต่ในภูเขาก็มีอสูรหมาป่าสีเทาตั้งรกรากอยู่กลุ่มหนึ่ง แต่พลังยุทธ์ก็ต่ำต้อยเป็นอย่างมาก ตัวที่ร้ายกาจที่สุดนั้นมีพลังยุทธ์อยู่ในระดับสร้างปราณเท่านั้น

เช่นนั้นลำแสงหลีกหนีของทั้งสามคนจึงร่อนลงมา แน่นอนว่าย่อมถือโอกาสสังหารมันไปจนเกลี้ยง

ถ้ำบนสันเขาอสูรหมาป่าฝูงนี้เองก็ไม่เลวนัก ไอวิญญาณหนาแน่นมาก และมีกลิ่นประหลาดๆ แต่หลังจากถูกหลิวสุ่ยเอ๋อร์ใช้เคล็ดวิชาธาตุน้ำทำความสะอาดรอบหนึ่งแล้ว ก็กลับมาสะอาดเป็นอย่างมาก

ทั้งสามคนล้วนยึดครองถ้ำนั้น แล้วนั่งสมาธิอยู่คนละมุม

สามวันผ่านไปในพริบตา

เมื่อหานลี่โคจรพลังปราณในร่างเสร็จสิ้น ก็ดูเหมือนว่าจะสัมผัสอันใดได้ จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นแล้ว กวาดมองไป

หญิงสาวสวมงอบนั่งสมาธิอยู่อีกด้าน พลันลืมตางดงามขึ้นพอดี และประสานสายตาเข้ากับหานลี่พอดี

หญิงสาวผู้นี้แววตาเปล่งประกายสว่างวาบ เห็นได้ชัดว่าฟื้นฟูพลังปราณเสร็จแล้ว

“ยินดีกับท่านเซียนที่ฟื้นฟูพลังปราณได้เหมือนเดิมแล้ว” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ

“น้องหญิงละอายใจนัก ที่ต้องเป็นภาระของพี่หาน” หลิวสุ่ยเอ๋อร์กลับถอนหายใจออกมาเบาๆ

“หึๆ ที่อยู่ในป่าลับก่อนหน้านี้หากไม่ใช่เพราะท่านเซียนหลิวดึงความสนใจของอสูรลับระดับสูงสี่คนเอาไว้ ข้าและสหายสือจะออกมาได้อย่างปลอดภัยได้อย่างไร” หานลี่กลับเอ่ยอย่างราบเรียบ

“ฮ่าๆ พี่หานกล่าวเช่นนี้ ผู้แซ่สือก็ไม่กล้าเห็นด้วย จากพลังยุทธ์ที่ลึกล้ำยากจะคาดเดาของพี่หาน บางทีอาจจะไม่อาจสังหารอสูรลับเหล่านั้นเพียงลำพังได้ทั้งหมด แต่การฝ่าวงล้อมออกมานั้น เกรงว่าคงทำได้สบายๆ ข้าและเซียนหลิวแค่เสียงพลังปราณไปเล็กน้อยเท่านั้น ก็สามารถทะลวงผ่านอันตรายจากป่าอสูรลับมาได้ เป็นผลดีที่คาดไม่ถึงจริงๆ” สือคุนที่อยู่อีกมุมของถ้ำเองพลันลืมตาขึ้นอย่างคาดไม่ถึง และเอ่ยปากแทรกขึ้นพร้อมกับหัวเราะร่า

“สหายทั้งสองเองก็มองผู้แซ่หานสูงเกินไป ข้าน้อยมีอิทธิฤทธิ์อยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นการโจมตีเท่านั้น หากถูกอสูรลับจำนวนมากล้อมเอาไว้ จะรักษาชีวิตเอาไว้ได้หรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่พูดยากแล้ว หึๆ กลับเป็นสหายสือที่มีกายเนื้อแข็งแกร่ง ขอแค่ไม่ปะทะตรงๆ ก็สามารถฝ่าวงล้อมไปได้สบายๆ” หานลี่ลูบใต้คาง แล้วเผยท่าทีอมยิ้มออกมาให้สือคุน

“ก็อาจจะกระมัง ในเมื่อเซียนหลิวฟื้นฟูพลังปราณกลับมาแล้ว พวกเราก็ออกเดินทางกันเถิด รีบหาเขตอาคมซากปรักหักพังดีกว่าจะได้หมดห่วง” สือคุนเองก็หัวเราะออกมาเบาๆ  แล้วพลันยืนขึ้น

หานลี่และหลิวสุ่ยเอ๋อร์พลันมองสบตากันแวบหนึ่ง กลับไม่มีข้อโต้แย้งอันใด

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ตรงสันเขาก็มีสายรุ้งหลากสีสันพุ่งออกมาสามสาย หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง  ก็ทยอยกันพุ่งแหวกอากาศไป

……

หกเจ็ดวันต่อมาหานลี่และพวกทั้งสามก็ถูกฝูงวิหคประหลาดมีปีกสี่ปีกที่แผ่นหลัง พ่นใบมีดพายุออกมาล้อมเป็นกลุ่มๆ

หานลี่และพวกทั้งสามกระตุ้นสมบัติ เปล่งแสงนับหมื่นสาย พายุโลหิตโปรยปรายลงมา สังหารวิหคประหลาดเหล่านั้นจนเกลี้ยงภายในเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา

…..

หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน ตรงริมทะเลสาบที่กว้างใหญ่จนสุดลูกหูลูกตาในทุ่งหญ้าแห่งหนึ่ง หานลี่และพวกทั้งสามกลับกลั้นหายใจ ทำให้ลำแสงหลีกหนีล่องหน ค่อยๆ บินขึ้นสูงไปอย่างเงียบเชียบ ไม่กล้าแผ่กลิ่นอายออกมาเลยสักนิด

บนทะเลสาบด้านล่างสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่ดูคล้ายอาชาแต่ก็ไม่ใช่ คล้ายมัจฉาแต่ก็ไม่เชิง กลับกำลังลอยอยู่บนผิวน้ำ

ปากของสัตว์ประหลาดเหล่านี้มีขนาดราวกับภูเขาขนาดย่อม พ่นเสาน้ำหนาๆ ราวกับถังน้ำออกมาหยอกล้อเล่นกัน โจมตีไปบนร่างของกันและกัน แต่กลับเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ แล้วสลายหายไป

บางครั้งที่เสาน้ำถูกสัตว์ประหลาดเหล่านั้นหลบหลีกจนโจมตีไปโดนพื้นดินนั้น ชั่วขณะนั้นพลันเปล่งเสียง “ตูมๆ” ดังขึ้น หลุมยักษ์เส้นผ่าศูนย์กลางยี่สิบสามสิบจั้งปรากฏขึ้นตรงริมฝั่งทันที ทำให้ผู้ที่ได้ยินเสียงตกตะลึง

โชคดีที่หานลี่และพวกล้วนมีเคล็ดวิชาอำพรางกายที่แข็งแกร่ง และอสูรยักษ์เหล่านี้ล้วนกำลังหยอกล้อเล่นกัน ไม่ได้รู้สึกว่าเหนือหัวมีสิ่งมีชีวิตที่เปรียบดั่งมดสำหรับพวกมันสามตนบินผ่านไป

ในที่สุดก็ทำให้ทั้งสามคนบินผ่านทะเลสาบนี้ไปได้อย่างปลอดภัย

……

หนึ่งเดือนต่อมาบนท้องฟ้ากลางที่รกร้างแห่งหนึ่ง หานลี่และพวกทั้งสามกำลังต่อสู้กับชนต่างเผ่าที่มีไอสีดำปกคลุมเรือนร่างตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่

รอบกายของหานลี่มีกระบี่ลำแสงสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนวนโคจรอยู่ คาดไม่ถึงว่าจะคุ้มกันร่างกายได้อย่างแน่นหนา และฟันสมบัติที่ดูเหมือนเชือกสีดำซึ่งชนต่างเผ่าสองคนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามปล่อยออกมาเป็นชิ้นๆ

แต่ภายใต้การร่ายอาคมกระตุ้นของชนต่างเผ่าทั้งสอง คาดไม่ถึงว่าจะเปล่งแสงสว่างวาบแล้วกลับมาเป็นดังเดิมทันที และกลายเป็นเงาลวงตาโถมเข้ามาโจมตีหานลี่

ส่วนหลิวสุ่ยเอ๋อร์ที่มีลำแสงสีฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบรอบกายซึ่งอยู่อีกด้าน ก็ถูกของเหลวลึกลับห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ แต่มือพลันกระตุ้นกระสวยสีเงิน ดวงดาวลำแสงห่อหุ้มชนต่างเผ่าฝั่งตรงข้ามอีกคนหนึ่งเอาไว้ข้างใน

แต่คู่ต่อสู้ของหญิงสาวผู้นี้ดูเหมือนว่ามีอิทธิฤทธิ์ไม่น้อย เรือนกายซ่อนอยู่ในไอสีดำ เบื้องหน้ามีวิหคประหลาดเปลวเพลิงสีดำบินวนล้อมกาย เมื่อปะทะเข้ากับกระสวยสีเงินเหล่านั้น คาดไม่ถึงว่าจะไม่ตกเป็นรองเลยสักนิด

ส่วนสือคุนนั้นในยามนี้เรือนร่างมีลำแสงสีเหลืองล้อมกาย คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นมนุษย์ยักษ์สูงสิบจั้ง ผิวหนังมีลำแสงสีเทาขาวห่อหุ้มอยู่ และมีหนามแหลมๆ ยาวสองสามฉื่องอกออกมา สองมือกำหมัดโบกสะบัด กรวยหินพุ่งออกมาราวกับลูกธนูยักษ์ และระเบิดออกโดยอัตโนมัติ บีบให้ชนต่างเผ่าที่อยู่หลังสุดคนหนึ่งล่าถอยไป

แต่แม้ว่าชนต่างเผ่าผู้นั้นจะตกเป็นรอง แต่สองมือก็ยังโบกสะบัดไม่หยุด ไอสีดำกลายเป็นโล่ขนาดยักษ์ต้านทานอยู่เบื้องหน้าอย่างต่อเนื่อง จนพอจะรักษาชีวิตตนเองได้

“พี่หาน สหายสือ รีบลงมือ หากตกเย็นชนต่างเผ่าราตรีเหล่านี้ก็เหมือนกับอสูรลับ พละกำลังจะเพิ่มขึ้นไม่น้อย” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เห็นว่ายามนี้ไม่อาจจัดการอีกฝ่ายได้ก็รู้สึกร้อนใจ ร้องตะโกนไปทางหานลี่และพวก

หานลี่ได้ฟังก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย เหลือบตามองไปบนท้องฟ้าแวบหนึ่ง

เห็นเพียงท้องฟ้าในแดนนี้ค่อยๆ มืดหม่นลง ความมืดมนจะย่างกรายเข้ามาในอีกไม่ช้า

“ฮิๆ เพิ่งจะคิดได้ในยามนี้ ไม่คิดว่าสายไปแล้วหรือ? อีกเดี๋ยวตาเฒ่าต้องเตรียมต้อนรับเผ่าเมฆาสวรรค์อย่าพวกเจ้าแล้ว!” ชนต่างเผ่าที่อยู่ตำแหน่งตรงกลางฝั่งตรงข้ามของหานลี่พลันเปล่งเสียงหัวเราะที่น่ารังเกียจออกมาท่าทางโหดเหี้ยม

“อีกเดี๋ยว? ไม่จำเป็นต้องรอนานขนาดนั้น พวกเจ้าจะต้องหายไปจากโลกนี้แล้ว” หานลี่กลับเอ่ยอย่างราบเรียบ จากนั้นมือสีดำสนิทข้างหนึ่งก็ยื่นออกมาจากแขนเสื้อ โบกสะบัดเบาๆ ชั่วขณะนั้นหมอกสีเทาก็เปล่งแสงเจิดจ้า

แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นสองมือของหลิวสุ่ยเอ๋อร์ก็ร่ายอาคม กรงล้อลำแสงสีเทาปรากฏขึ้น

ร่างของสือคุนหยุดชะงัก เงยหน้าขึ้นเปล่งเสียงร้องยาวๆ นิ้วทั้งสิบร่ายอาคมไปมาอย่างต่อเนื่อง

หลังจากผ่านไปชั่วครู่มองจากไกลๆ ตรงจุดที่หานลี่และพวกต่อสู้กับชนต่างเผ่านั้นพลันมีดวงแสงขนาดยักษ์อย่างหาที่เปรียบปรากฏขึ้น เปล่งแสงสีเทาสว่างวาบ มีอักขระจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น

ทันใดนั้นดวงแสงสีเทาก็ระเบิดออก อักขระจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งลงมาด้านล่างราวกับพายุฝนระเบิด ห่อหุ้มทุกอย่างในรัศมีสองสามลี้เอาไว้

ภายใต้ความตกตะลึงของชนต่างเผ่าทั้งสี่คน ก็ทยอยกันสำแดงอิทธิฤทธิ์ต่างๆ ออกมาต้านทานแต่อักขระเหล่านั้นต่างมีอานุภาพมากกว่าที่คิดเอาไว้

ชั่วขณะนั้นภายใต้เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ชนต่างเผ่าสี่คนพลันสลายหายไปกลางหมู่เมฆ

หานลี่และพวกทั้งสามถึงได้เก็บลำแสงเทวะดูดปราณ แล้วส่งยิ้มให้กัน

……

สามเดือนต่อมา กลางอากาศเหนือเทือกเขาแห่งหนึ่ง หานลี่และพวกทั้งสามกลายเป็นสายรุ้งสามสายปะปนอยู่ในฝูงอสูรปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วน พยายามบินไปด้านหน้า

ด้านหลังของเขาห่างออกไปสองสามลี้ หมอกเมฆาสีเงินผืนนั้นม้วนวนเข้ามาราวกับระลอกคลื่น ทุกแห่งที่กวาดผ่านไปไม่ว่าต้นไม้บนพื้นดินหรือว่าอสูรต่างๆ ที่หลบซ่อนอยู่ล้วนถูกระลอกคลื่นสีเงินม้วนวนกลืนกินเข้าไปจนเกลี้ยง ไม่เหลือแม้กระทั่งต้นหญ้า

หลังจากผ่านไปอีกชั่วครู่กลางเทือกเขาก็มีวิหคอสูรโหดเหี้ยมชนิดต่างๆ บินหนีมากยิ่งขึ้น มองปราดเดียวก็เห็นอยู่เนืองแน่น ปกคลุมทั่วทั้งท้องฟ้า แต่ล้วนมีบินหนีสะเปะสะปะอย่างทำอันใดไม่ถูก

“ทำอย่างไรดี หากเป็นเช่นนี้ต่อไปพวกเราคงถูกแมลงคลื่นสีเงินไล่ตามทัน แมลงนี้เป็นแมลงโหดเหี้ยมโบราณที่ไม่ด้อยไปกว่าแมลงกลืนทองในตำนาน หากเลือกเป้าหมายแล้วก็จะไล่ตามอย่างไม่ยอมหยุดพัก คิดไม่ถึงว่าจะมีอยู่ชุกชุมในแดนนี้” สือคุนที่อยู่ในลำแสงหลีกหนีมีสีหน้าดูไม่ได้ขณะถ่ายทอดเสียงไปหาหานลี่และพวกทั้งสอง

“ใช่แล้วว่ากันว่าแมลงคลื่นสีเงินมีกำลังที่น่าตกตะลึง เกรงว่าคงไล่ตามพวกเราไปสองสามเดือนได้โดยไม่มีปัญหา ต่อให้เป็นอสูรโหดเหี้ยมโบราณเผชิญหน้ากับคลื่นสีเงินนี้ก็ยังต้องถอยไป” เสียงของหลิวสุ่ยเอ๋อร์เองก็ไม่อาจปกปิดความตื่นตระหนกทำอันใดไม่ถูกเอาไว้ได้

มิน่าล่ะทั้งสองถึงได้มีท่าทีเช่นนี้!

ไม่ว่าผู้ใดถูกแมลงโหดเหี้ยมที่น่ากลัวนับร้อยนับหมื่นตัวไล่ตามมาสามวันสามคืน สูญเสียพลังปราณในร่างไปกว่าครึ่ง ก็ต้องลนลานอยู่แล้ว

“มีอยู่วิธีเดียว หวังว่าจากนี้จะพบอสูรโหดเหี้ยมโบราณสักสองสามตัว ถึงจะดึงดูดความสนใจของแมลงเหล่านี้ได้” หานลี่มีสีหน้าเขียวคล้ำเช่นกัน แต่ก็เอ่ยอย่างเคร่งขรึม

“แต่ตามในบันทึก แดนอสูรโหดเหี้ยมที่อยู่ใกล้กับพวกเราที่สุด ก็ต้องใช้เวลาอีกสองสามเดือน ตอนแรกเพื่อเป็นการป้องกัน พวกเราจึงจงใจเลือกเส้นทางที่มีอสูรโหดเหี้ยมโบราณเคลื่อนไหวน้อยที่สุด” สือคุนตอบกลับด้วยรอยยิ้มขมขื่น

หานลี่ได้ยินคำนี้พลันหมดคำพูด อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้

แต่ในยามนั้นเอง ขอบฟ้าอีกด้านพลันมีเสียงร้องดังขึ้น จากนั้นขอบฟ้าพลันเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะมีหมอกเมฆาสีเขียวปรากฏขึ้นอย่างหนาแน่นนับร้อยๆ ก้อน พลางพุ่งตรงมาหาหานลี่และพวกอย่างรวดเร็ว

หานลี่เห็นเช่นนั้นพลันตกตะลึง แต่แววตาพลันเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ ก็มองเห็นหน้าตาของเมฆาสีเขียวที่อยู่ไกลออกไปได้อย่างชัดเจน

คาดไม่ถึงว่าจะเป็นผีเสื้อประหลาดขนาดเท่ากำปั้น รอบกายมีผงสีเขียวเปล่งแสงเรืองๆ ท่าทางดุดันเป็นอย่างมาก

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

Type: Author: ,
เจ้าบื้อที่สอง หานลี่ เด็กหนุ่มธรรมดาสามัญผู้ได้รับวาสนาให้ไปเข้าทดสอบเป็นศิษย์ในสำนักเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทำให้เขาได้รู้จักกับโลกใบใหม่ที่หนุ่มน้อยชนบทอย่างเขาใฝ่ฝันอยากสัมผัสกับมันมาโดยตลอด ในโลกแห่งเซียน เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรต่างฝึกฝนค้นหาเส้นทางเพื่อก้าวเข้าสู่ความเป็นนิรันดร์ ทว่าเส้นทางที่แม้กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรซึ่งมีพรสวรรค์สูงส่งแต่กำเนิดยังต้องผ่านความยากลำบากเท่าไหร่กว่าจะไปถึงจุดนั้น แล้วเด็กหนุ่มปุถุชนเช่นเขาจะทำได้หรือ? ด้วยความสามารถอันธรรมดาสามัญของเขาจะเอาตัวรอดในโลกแห่งเซียนนี้ไปได้อย่างไร? เส้นทางแห่งความสำเร็จช่างอยู่ห่างไกลเสียเหลือเกิน… คัมภีร์วิถีเซียนเป็นนิยายจีนย้อนยุคเล่าเรื่องการเดินทางอันน่าติดตามของหานลี่ ผู้ต้องใช้ทั้งไหวพริบและพลังยุทธ์ในการฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ด้วยตัวคนเดียว มาร่วมเดินทางไปกับหานลี่ ผู้เย้ยฟ้าท้านรกเพื่อแสวงหาเส้นทางแห่งการเป็นเซียนด้วยกันเถอะ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset