A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 1925 เคล็ดวิชาแยกจิตสังหาร

หานลี่ได้ยินคำนี้ ชั่วขณะนั้นพลันรู้สึกดีใจ คำถามเมื่อครู่เขาเองก็แค่เอ่ยปากถามไปเท่านั้น ไม่ได้หวังว่าอีกฝ่ายจะแถลงไขได้จริงๆ แต่คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายดูเหมือนจะรู้อันใดสักอย่าง

ดูแล้วเชอฉีกงผู้นี้ที่เรียกตนเองว่าเป็นหนึ่งในบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ที่มีอายุขัยมาเนิ่นนานของแดนมาร คงจะเป็นความจริง

ในยามที่หานลี่มองชายชราและรออย่างเงียบๆ เชอฉีกงกลับเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเล็กน้อย แววตาเปล่งประกายไม่หยุด อีกเดี๋ยวก็ก้มหน้าลงครุ่นคิด หน้าเปลี่ยนสีไปมา บางครั้งก็ใช้เสียงที่แผ่วเบาราวกับกระซิบเอ่ยพึมพำกับตนเองจนฟังไม่ได้ศัพท์

หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ พลันใจเต้นเล็กน้อย

“ข้านึกออกแล้ว แดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรามีเคล็ดวิชาต้องห้ามที่ถ่ายทอดกันมาในสมัยโบราณจริง ดูเหมือนว่าจะทำเรื่องเช่นนี้ได้จริงๆ แต่เคล็ดวิชาต้องห้ามนี้หายสาบสูญไปหลายปีแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นหลังจากฝึกฝนแล้วจะอันตรายมาก ผลที่จะตามมามีมากไร้ขีดจำกัด แม้แต่ในสมัยโบราณก็มีบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ฝึกฝนเคล็ดวิชาต้องห้ามนี้น้อยมาก ยามนี้แดนศักดิ์สิทธิ์รู้ว่ามีเคล็ดวิชาต้องห้ามนี้อยู่ รวมตาเฒ่าแล้วก็มีอยู่ไม่กี่คน เจ้าเด็กเซวี่ยกวงไปได้วิธีฝึกฝนเคล็ดวิชานี้มาจากไหน?” ในที่สุดเชอฉีกงก็ขมวดคิ้วมุ่นแล้วเอ่ยปาก

“เคล็ดวิชาต้องห้าม? ท่านอาวุโสอธิบายให้ละเอียดได้หรือไม่” หานลี่เอ่ยปากด้วยความตกตะลึง

“เคล็ดวิชาต้องห้ามนี้มีชื่อว่า ‘เคล็ดวิชาแยกจิตสังหาร’ ว่ากันว่าเป็นเคล็ดวิชาลับแยกจิตวิญญาณออกเป็นหลายๆ ส่วน หลังจากแยกจิตออกแล้วทุกจิตจะมีสติสัมปชัญญะเป็นของตัวเอง สามารถควบคุมพลังปราณส่วนหนึ่งของจิตสัมผัสได้ แต่นิสัยจะแตกต่างกันมาก แม้กระทั่งเรียกได้ว่าอันตรายเป็นอย่างมาก และยิ่งไปกว่านั้นเคล็ดวิชาการแยกจิตชนิดนี้ หากไม่ระวัง จิตวิญญาณดั้งเดิมก็อาจจะได้รับบาดเจ็บได้ง่ายๆ ทว่าหลังจากแยกจิตสัมผัสแล้ว จิตสัมผัสเหล่านี้ก็ไม่นับว่าเป็นร่างแยก ทุกจิตเรียกได้ว่าเป็นร่างเดิมของผู้สำแดง และไม่มีลำดับความสำคัญที่แน่นอน ส่วนข้อมูลของร่างเดิมนั้น แม้แต่เฒ่าก็ไม่แน่ใจ แต่วิธีการแยกจิตเป็นหลายส่วนๆ ออกเป็นร่างแยกนั้น เดิมก็ต้องดูว่าแยกจิตสัมผัสได้เท่าไหร่ ทว่าในเมื่อข้ามเขตกั้นแดนลงมาแดนวิญญาณได้ คิดดูแล้วก็คงไม่อาจให้ร่างแยกที่ร้ายกาจมากลงมาจุติอยู่แล้ว แต่เช่นนี้ก็แข็งแกร่งกว่าร่างแยกเสี้ยวจิตสัมผัสของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ธรรมดาๆ มากแล้ว” ชายชราครุ่นคิดไปพลาง เอ่ยอย่างแช่มช้าไปพลาง

“เคล็ดวิชานี้ไม่มีจุดบกพร่องอันใดหรือ?” หานลี่ฟังจบก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“เคล็ดวิชาต้องห้ามย่อมมีจุดบกพร่องขนาดใหญ่ แต่มันเป็นเรื่องหลังจากนี้ ยามที่ต่อสู้มันไม่มีจุดอ่อนอันใดเลย” ชายชรามีท่าทีจนปัญญา

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ช่างเถิด ถึงยามนั้นชนรุ่นหลังจะลงมือตามสถานการณ์ก็แล้วกัน เดิมชนรุ่นหลังก็แค่อยากสลัดร่างแยกเหล่านั้นเท่านั้น” หานลี่พยักหน้า ดูเหมือนว่าจะไม่คิดซักถามต่อ

เขาค้อมตัวให้ชายชราเล็กน้อย หลังจากที่ผิวเปล่งแสงสีดำสว่างวาบ ก็กลายเป็นไอสีดำสลายหายไปจากกลางอากาศ

เชอฉีกงมองจุดที่หานลี่สลายหายไป สีหน้าเดิมหายวับไป พลันหน้าเปลี่ยนสีเป็นแข็งทื่อ และลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ

“เจ้าดูมานานขนาดนี้ น่าจะดูพอแล้วสินะ เหตุใดยังต้องหลบซ่อนอีก!” ฉับพลันนั้นชายชราก็เอ่ยอย่างราบเรียบ

“ไม่อาจปิดบังหูตาพี่เชอได้เลยจริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ศิษย์น้องก็ต้องปรากฏตัวแล้ว” หลังจากเสียงหัวเราะเย็นชาดังขึ้น เสียงของบุรุษอีกคนหนึ่งก็ดังขึ้นกลางอากาศ ฟังจากน้ำเสียงราวกับผ่านโลกมาอย่างโชกโชน

“ข้าทลายเขตต้องห้ามมาถึงชั้นนี้ได้ เจ้าย่อมทำได้ ครั้งที่แล้วที่ข้าพบมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียร เจ้าก็ตามอยู่ด้านหลังสินะ” เชอฉีกงมีสีหน้าเคร่งขรึม แล้วเอ่ยถามอย่างไม่เป็นมิตร

“ในเมื่อพี่เชอรู้ แล้วจะถามให้มากความทำไม หรือว่าอยากประณามศิษย์น้อง” หลังจากที่บุรุษแปลกหน้าเงียบขรึมไป ก็ตอบกลับอย่างราบเรียบ

“หึ หากไม่อาจทำอันใดเจ้าได้ เจ้าคิดว่าข้าจะทำเช่นนี้จริงๆ หรือ?” เชอฉีกงเอ่ยเสียงเหี้ยม

“เดิมพี่เชอก็เป็นคนที่เหี้ยมที่สุดในพวกเราแล้ว คิดดูแล้วตอนแรกหากไม่ใช่เพราะเซวี่ยกวงประกาศว่าจะลงมือแก้แค้น พี่เชอน่าจะลงมือจัดการกับพวกเราสินะ” บุรุษแปลกหน้าได้ยิน น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา

“เจ้าก็ไม่ใช่คนดีอันใด ตอนแรกทุกคนก็มีความคิดชั่วร้ายกันทั้งนั้น เรื่องก่อนหน้านี้ก็ช่างเถิด แต่ครั้งนี้เจ้าเด็กเผ่ามนุษย์เป็นโอกาสเดียวที่จะทำให้ตาเฒ่าหลุดพ้น หากเจ้ากล้าทำเสียเรื่อง อย่ามาโทษว่าข้าไร้ความปรานี” เชอฉีกงแววตาฉายแววเย็นชา แล้วเอ่ยออกมาทีละคำๆ

“ได้ ขอแค่แบ่งไอหุ้นตุ้นที่ได้มาจากเด็กนั่นให้ข้าครึ่งหนึ่ง ข้าไม่เพียงจะไม่ทำให้เสียเรื่อง หลังจากหลุดพ้นแล้วจะช่วยท่านต่อกรกับเซวี่ยกวง” บุรุษแปลกหน้าเอ่ยเงื่อนไขของตนออกมาอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด

“ดูแล้ว หากตาเฒ่าไม่ตอบรับเงื่อนไข เจ้าก็คงไม่ยอมเลิกราสินะ ไอหุ้นตุ้นข้าให้เจ้าครึ่งหนึ่งไม่ได้หรอก ข้าแบ่งให้เจ้าได้หนึ่งในสี่ หากไม่ตกลงก็แล้วแต่เจ้า” เชอฉีกงแววตาเปล่งประกายสองสามครั้ง แล้วเอ่ยอย่างเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง

“หนึ่งในสี่ส่วน หึๆ เช่นนั้นก็เพียงพอให้ข้ารักษาชีวิตและหลุดจากพันธนาการแล้ว ได้ ข้าตกลง” บุรุษแปลกหน้ากลับตอบรับอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด

“อืม ในเมื่อเป็นเช่นนั้น หลังจากที่พวกเราออกไปแล้ว ก็หลอมป้อมผนึกมาร  หลังจากฟื้นฟูพลังยุทธ์กลับมาได้ ก็ไปล้างแค้นเซวี่ยกวงได้แล้ว เขาในยามนี้เดินทางเดียวกับพวกเราในปีนั้น ยามนี้เป็นช่วงเวลาที่อ่อนแอที่สุด” เชอฉีกงเอ่ยด้วยสีหน้าผ่อนคลายลง

“นั่นก็แปลกๆ เซวี่ยกวงไม่ใช่คนที่ไม่ได้สัมผัสกับอันตรายของเคล็ดวิชานี้ด้วยตนเอง คาดไม่ถึงว่าจะยังกล้าฝึกฝนอีก ไม่กลัวว่าจะผิดพลาดซ้ำอีกหรือ?” บุรุษแปลกหน้าดูเหมือนจะลังเลเล็กน้อย

“หึ ผู้ใดจะรู้ว่าเซวี่ยกวงคิดอันใดอยู่ บางทีเขาอาจจะหาวิธีหลบเลี่ยงความอันตรายของเคล็ดวิชานี้พบแล้ว ไม่ก็มีสาเหตุอื่นถึงได้ฝึกฝนอีกครั้ง แต่ไม่ว่าจะเหตุผลใด ยามนี้เขาพลังยุทธ์ลดลง ก็เป็นโอกาสงามที่พวกเราจะแก้แค้น” เชอฉีกงแววตาเปล่งประกายขณะตอบกลับด้วยสีหน้าชั่วร้าย

“อย่างแรกคงเป็นไปไม่ได้ เหตุผลอื่นรอให้พวกเราไปพบกับเซวี่ยกวงแล้ว ย่อมรู้เอง” เสียงของบุรุษแปลกหน้าเคร่งขรึมขึ้น เห็นได้ชัดว่าโกรธแค้นบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงเช่นกัน

“สีหน้ายามที่เซวี่ยกวงเห็นพวกเราสองคน จะต้องน่าชมมากแน่ แต่ฉากที่พวกเราอยากเห็นจำต้องให้เด็กแซ่หานผ่านตรงนี้ไปให้ได้ก่อน หากเขาไม่อาจหนีพ้นจากการไล่ล่าของร่างแยกเซวี่ยกวงได้ ป้อมผนึกมารจะตกอยู่ในมือของเซวี่ยกวงอีกครั้ง เจ้ากับข้าที่ซ่อนตัวอยู่ข้างในย่อมไม่มีอันตรายมากนัก แต่หากอยากจะหลุดพ้นพันธนาการคงอย่าคิดเลย” เชอฉีกงเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย

“พี่เชอไม่ได้บอกวิธีการรับมือกับสมบัติสองชิ้นนั้นแล้วหรือ? หากเสียสมบัติสองชิ้นนั้นไป เขาก็น่าจะเอาตัวรอดได้!” บุรุษแปลกหน้าเอ่ยอย่างแช่มช้า

“สิ่งที่พวกเราพบเป็นแค่ร่างแยกจิตสัมผัสของเจ้าเด็กนั้น ไม่อาจคาดเดาได้ว่าพลังยุทธ์เป็นอย่างไร แต่ในเมื่อชิงป้อมผนึกมารจากมือเซวี่ยกวงได้ คิดดูแล้วคงมีอิทธิฤทธิ์ไม่เลวนัก” เชอฉีกงขมวดคิ้วขณะเอ่ย

“หึๆ หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นกระมัง” บุรุษแปลกหน้าตอบอย่างไม่คิดเช่นนั้น

เชอฉีกงหัวเราะอย่างข่มขื่นออกมา แต่กลับไม่ได้เอ่ยอันใด

ด้านนอกป้อมผนึกมาร ในห้วงมิติเวลาลับในร่างของวิหคยักษ์ ทารกวิญญาณสีทองของหานลี่ยังคงนั่งสมาธินิ่งอยู่ตรงนั้น

ฉับพลันนั้นตรงหน้าก็มีกล่องไม้ที่มีไอสีดำเปล่งแสงวาบๆ ปรากฏขึ้น เงาลวงตาเป็นสายๆ พุ่งออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วกลายเป็นทารกวิญญาณสีดำที่หน้าตาเหมือนกันทุกระเบียบนิ้ว

ทารกมารคนนี้ส่งยิ้มให้กับหานลี่ คาดไม่ถึงว่าจะเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในร่างของทารกวิญญาณสีทอง

ทารกวิญญาณทั้งสองรวมร่างกันในพริบตา

ทารกวิญญาณสีทองร่างกายสั่นเทา และใช้สองมือร่ายอาคมอย่างร้อนรน พริบตานั้นใบหน้าก็เผยสีหน้าไม่สบายตัวออกมา แต่ทันใดนั้นฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง! ครั้งนี้มิได้สูญเปล่า ในที่สุดก็ได้วิธีต่อกรกับสมบัติสองชิ้นนั้นมา แม้ว่าจะไม่รู้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ก็ทำได้เพียงลองทดสอบดูเท่านั้น หากไร้ประโยชน์ ไม่แน่ว่าอาจจะมีแต่ต้องละทิ้งป้อมผนึกมาร หรือไม่ก็ใช้วิธีที่เสี่ยงอันตรายอื่น” ทารกวิญญาณสีทองลืมตาทั้งสองข้างขึ้น รูม่านตามีวารีบริสุทธิ์ไหลเวียน แต่ก็เอ่ยพึมพำออกมาจากปากเล็กๆ

มันมีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงพลางขบคิดอีกชั่วครู่ สุดท้ายถึงได้หยักยิ้มที่มุมปากออกมา ร่างกายส่งเสียงดัง “ปัง” กลายเป็นลำแสงสีทองสลายหายไปกลางอากาศ

หลังจากผ่านไปสองชั่วยาม หานลี่ที่กลายเป็นวิหคยักษ์มองเห็นที่สูงเป็นสีเหลืองอยู่ไกลๆ ทุกระเบียบนิ้วไร้ซึ่งต้นหญ้า แห้งโกร๋นเป็นอย่างยิ่ง

วิหคยักษ์สีเงินเห็นสถานการณ์เช่นนี้ แววตาก็ฉายแววสว่างวาบ เงยหน้าขึ้นร้องเสียงยาวๆ ฉับพลันนั้นก็หุบปีกทั้งสี่ข้าง แล้วกลับคืนร่างมนุษย์ท่ามกลางหมอกลำแสงนับหมื่นสาย

หานลี่มองที่สูงจากไกลๆ แล้วหันกลับไปมองด้านหลังแวบหนึ่ง สะบัดแขนเสื้อโดยไม่ปริปาก

ชั่วพริบตากระบี่เล่มเล็กสีเขียวเจ็ดสิบสองเล่มก็กลายเป็นกระบี่ลำแสงสีเขียวสองสามร้อยเล่ม วนล้อมรอบเรือนร่างของเขาไม่หยุด

หานลี่ใช้มือหนึ่งร่ายอาคม ผิวเปล่งแสงสีเขียวออกมา กระบี่ลำแสงทั้งหมดเปล่งแสงสว่างวาบ จมหายไปกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอย

ครู่ต่อมาเสาลำแสงสีเขียวสองสามร้อยต้นก็พ่นออกมาจากรอบด้าน และหมุนวนล้อมหานลี่ ไอกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนตัดสลับกันไปมา เขตอาคมกระบี่ยักษ์ปรากฏขึ้น!

นั่นก็คือเขตอาคมกระบี่ขั้นสุดท้ายคาถากระบี่ปราณเขียว ‘ขดมรกต’

แม้ว่าเขตอาคมนี้จะได้รับมาจากชิงหยวนจื่อ แต่ต่อมาหลังจากที่เขาเรียนรู้ ‘เคล็ดวิชาท่องกระบี่’ ได้ อานุภาพกลับเพิ่มกว่าเดิมหลายส่วน ก่อนหน้าที่ต่อกรจอมมารชายหนุ่มชุดขาวก็เผยความลึกลับออกมาหลายส่วน

แต่เขตอาคมกระบี่นี้จะมีผลกับศัตรูที่ไล่ตามมาด้านหลังเท่าไหร่ เขาเองก็ไม่มั่นใจนัก จึงทำได้เพียงลองดูเท่านั้น

ทว่าในเมื่อหานลี่คิดจะประมือกับศัตรูอย่างเป็นทางการ ย่อมไม่อาจใช้แค่อิทธิฤทธิ์ชนิดเดียวได้

เมื่อเขาวางเขตอาคมกระบี่เสร็จ ก็หยักไหล่ทั้งสองข้าง เงาสองสายสีทองและเขียวแบ่งออกเป็นซ้ายขวาแล้วพุ่งออกมาจากในร่าง

พวกมันเปล่งแสงสว่างวาบ แบ่งออกเป็นเทวรูปสีทองหน้าตาโหดเหี้ยมสามเศียรหกกร รวมทั้ง ‘หานลี่’ ที่มีผิวสีเขียว

นั่นก็คือร่างทองพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์และร่างวิญญาณ

หานลี่ตะปบมือข้างหนึ่งไปทางใบมีดหักสีทองที่ปรากฏขึ้นอย่างไม่ต้องขบคิด สะบัดข้อมือ คาดไม่ถึงว่าจะโยนไปทางร่างทองพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์

เศียรตรงกลางของร่างทองลืมตาทั้งสองข้างขึ้น กวักมืออันใหญ่ยักษ์ข้างหนึ่ง เสียง “สวบ” ดังขึ้น ดูดใบมีดหักๆ เข้ามาอยู่ในมือ

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

Type: Author: ,
เจ้าบื้อที่สอง หานลี่ เด็กหนุ่มธรรมดาสามัญผู้ได้รับวาสนาให้ไปเข้าทดสอบเป็นศิษย์ในสำนักเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทำให้เขาได้รู้จักกับโลกใบใหม่ที่หนุ่มน้อยชนบทอย่างเขาใฝ่ฝันอยากสัมผัสกับมันมาโดยตลอด ในโลกแห่งเซียน เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรต่างฝึกฝนค้นหาเส้นทางเพื่อก้าวเข้าสู่ความเป็นนิรันดร์ ทว่าเส้นทางที่แม้กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรซึ่งมีพรสวรรค์สูงส่งแต่กำเนิดยังต้องผ่านความยากลำบากเท่าไหร่กว่าจะไปถึงจุดนั้น แล้วเด็กหนุ่มปุถุชนเช่นเขาจะทำได้หรือ? ด้วยความสามารถอันธรรมดาสามัญของเขาจะเอาตัวรอดในโลกแห่งเซียนนี้ไปได้อย่างไร? เส้นทางแห่งความสำเร็จช่างอยู่ห่างไกลเสียเหลือเกิน… คัมภีร์วิถีเซียนเป็นนิยายจีนย้อนยุคเล่าเรื่องการเดินทางอันน่าติดตามของหานลี่ ผู้ต้องใช้ทั้งไหวพริบและพลังยุทธ์ในการฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ด้วยตัวคนเดียว มาร่วมเดินทางไปกับหานลี่ ผู้เย้ยฟ้าท้านรกเพื่อแสวงหาเส้นทางแห่งการเป็นเซียนด้วยกันเถอะ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset