นั่นก็คือใบมีดสวรรค์ทมิฬชำรุดเล่มนั้น
ร่างทองโบกใบมีดหักในมือไปมา ชั่วขณะนั้นพลันระเบิดลำแสงสีม่วงอันเจิดจ้าออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ใบมีดนี้ต้องอยู่ในมือของร่างทอง ถึงจะกระตุ้นพลังกฎเกณฑ์ฟ้าดินที่น่ากลัวได้
ส่วนร่างวิญญาณนั้นหานลี่กลับตบไปที่กำไลข้อมือ สมบัติสี่ห้าชิ้นบินออกมารวดเดียว เปล่งแสงสว่างวาบแล้วบินผ่านไป
สมบัติเหล่านี้ทุกชิ้นล้วนมีรูปร่างพิเศษ บ้างก็เป็นหยก บ้างก็เป็นธง แม้กระทั่งเป็นแหวน
สุดท้ายหานลี่พลันลังเลเล็กน้อย แล้วหยิบม้วนภาพออกมา โยนไปยังร่างวิญญาณ
ส่วนร่างวิญญาณแค่อ้าปากด้วยสีหน้าไร้ความรู้ ชั่วขณะนั้นก็ดูดของทั้งหมดเข้าไปในท้อง จากนั้นก็ร่ายอาคมกับร่างทอง แล้วสลายหายไปจากทั้งสองฝั่ง
หานลี่ทำทุกอย่างเสร็จสิ้น ร่างกายก็หมุนคว้าง ชั่วขณะนั้นเรือนร่างก็มีจานอาคมธงอาคมสองสามร้อยสายพุ่งออกมาจากเรือนร่าง ลำแสงหลากสีสันโบยบินไปทั่วท้องฟ้า คาดไม่ถึงว่าจะวางเป็นเขตอาคมรูปทรงอื่นอีกห้าหกแบบใกล้ๆ กับเขตอาคมกระบี่
เมื่อร่างกายหยุดชะงัก เขาก็ยืนตัวตรงอีกครั้ง แล้วสะบัดแขนเสื้อไปกลางอากาศ
ยันต์วิเศษสองสามร้อยใบพุ่งออกมาจากแขนเสื้อข้างหนึ่ง เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายไปกลางอากาศ พลางหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
ในแขนอีกข้างหนึ่งกลับมีลำแสงสีม่วงสามดวงบินออกมา ขยายใหญ่ขึ้นกลางอากาศ กลายเป็นแมลงเกราะหน้าตาโหดเหี้ยมขนาดสองถึงสามฉื่อจำนวนสามตัว บินวนอยู่เหนือศีรษะของหานลี่
สุดท้ายเขาพลันหยิบลูกแก้วผลึกสีขาวขนาดเท่ากำปั้นออกมา อ้าปากพ่นใส่ของสิ่งนั้น
โลหิตบริสุทธิ์ที่กลายเป็นหมอกโลหิตกระโจนออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในลูกแก้วผลึก
ลูกแก้วผลึกกลายเป็นสีโลหิตทันที
หานลี่โยนลูกแก้วผลึกไปตรงหน้า บริกรรมคาถาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม นิ้วทั้งสิบร่ายอาคมไปทางลูกแก้วผลึกอย่างต่อเนื่อง
อาคมหลากสีสันทะลักเข้าไปในลูกแก้วผลึกราวกับคลื่นน้ำ ทำให้ไอวิญญาณประหลาดแผ่ออกมาจากร่างของเขา
หลังจากที่ลำแสงโลหิตในลูกแก้วผลึกเปล่งแสงสว่างวาบ สุดท้ายก็ผนึกรวมตัวกันกลายเป็นอักขระยันต์สีโลหิตนิรนาม หานลี่พ่นลมหายใจยาวๆ ออกมา แล้วถึงได้สะบัดแขนเสื้อไปทางลูกแก้วผลึก
หลังจากที่หมอกลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ ลูกแก้วผลึกพลันถูกเก็บกลับไป
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้น หานลี่ก็ครุ่นคิดเล็กน้อย ฉับพลันนั้นก็ยื่นแขนที่มีลวดลายแปลกประหลาดผนึกอยู่ออกไปลูบคลำ แต่หลังจากที่เห็นว่าไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอันใด ก็อดที่จะหัวเราะอย่างขมขื่นออกมาไม่ได้
จากนั้นเขาก็ชูคอกรีดร้องยาวๆ อย่างไม่ลังเล ผิวเปล่งแสงสีทองสว่างวาบ กลายเป็นวานรยักษ์ขนสีทองความสูงร้อยจั้งเศษ
วานรยักษ์หยุดส่งเสียงกรีดร้อง สองมือกอดอกพลางยืนอยู่ตรงใจกลางของเขตอาคมกระบี่ มองไปยังขอบฟ้าที่อยู่ไกลออกไปโดยไม่มีท่าทีเคลื่อนไหวใดๆ
“เยี่ยมมาก ในที่สุดเจ้าก็รู้จักข้าแล้ว”
ทว่าชั่วพริบตาตรงจุดที่วานรยักษ์มองไปก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น
ลำแสงสีโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบ สำเภาลำเล็กสีโลหิตปรากฏออกมา พลิ้วไหวแล้วกลายเป็นเส้นไหมโลหิตพุ่งออกไป
หลังจากผ่านไปสองสามชั่วลมหายใจ ลำแสงโลหิตพลันหม่นแสงลง เส้นไหมโลหิตปรากฏขึ้นใกล้ๆ กับหานลี่ และกลายเป็นสำเภาลำเล็ก
บนสำเภามีชายหนุ่มหน้าตาเหมือนกันสามคน กำลังกวาดตามองมาด้วยสีหน้าหลากหลาย
ชายหนุ่มที่เป็นผู้นำเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา ดูเหมือนว่าจะมีแววยิ้มเยาะ ชายหนุ่มสองคนที่อยู่ด้านหลังกลับมีสีหน้าไร้ความรู้สึก สายตาแหลมราวกับดาบลำแสง
“หึ เจ้าเด็กเผ่ามนุษย์ เจ้าหนีเร็วมาก ทว่าหยุดลงยามนี้ หรือว่าคิดจะดิ้นรนก่อนตายหรือ! หรือว่าเจ้าคิดว่าอาศัยแค่เขตอาคมกระบี่และเขตอาคมชั่วคราวจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้” ชายหนุ่มที่เป็นผู้นำหัวเราะร่าขณะเอ่ย
“ได้หรือไม่ ก็ต้องลองดูถึงจะรู้ นายท่านคงไม่คิดว่าข้าจะนิ่งรอความตายหรอกกระมัง” วานรยักษ์หัวเราะเสียงดัง สองมือตะปบออกไปกลางอากาศ ชั่วขณะนั้นเหนือสำเภาลำเล็กพลันมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น มือยักษ์สีแวววาวสองข้างสีดำและขาวปรากฏออกมา
ลำแสงสีทองนับหมื่นสายแผ่ออกมาจากข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งมีเปลวเพลิงเย็นเยียบห้าสีคลอเคลียอยู่ นิ้วทั้งสิบกางออก กดลงมาอย่างดุดัน
“หึ ไม่รู้จักประมาณตน”
ชายหนุ่มที่เป็นผู้นำเห็นสถานการณ์เช่นนั้นพลันเอ่ยอย่างทระนง มือหนึ่งร่ายอาคม แผ่นหลังมีไอสีดำหมุนวน คาดไม่ถึงว่าจะมีหนวดปลาหมึกสีเทาสองสายบินออกมา สะบัดหนามใส่อสูรยักษ์สองตน
ไม่รู้ว่าหนวดยักษ์สองเส้นคือสิ่งใด ชั่วพริบตาที่โจมตีไปที่มือยักษ์ราวกับทวนเหล็ก มือทั้งสองก็ระเบิดออกราวกับลูกโป่ง กลายเป็นดวงลำแสงสลายหายไปจากกลางอากาศ
ทว่าลำแสงเทวะดูดปราณและเปลวเพลิงเย็นเยียบห้าสีที่แฝงอยู่ในมือทั้งสองก็มีเคล็ดวิชาที่มีอิทธิฤทธิ์ร้ายกาจ แล้วกลับขยายใหญ่ขึ้นพลางหมุนวนลง
หมอกลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ หนวดปลาหมึกข้างหนึ่งกลายเป็นเสาน้ำแข็ง มืออีกข้างหนึ่งกลับมีรัศมีลำแสงสีเทาห่อหุ้มอยู่ ลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วปริแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
“เอ๋ ลำแสงเทวะดูดปราณ คาดไม่ถึงว่าจะมีอิทธิฤทธิ์เช่นนี้ ช่างหาได้ยากจริงๆ”
ชายหนุ่มที่เป็นผู้นำผ่อนคลายลงกว่าครึ่ง และส่งเสียงเอ่ยคำเรียกของลำแสงเทวะดูดปราณออกมาด้วยความประหลาดใจ
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนั้นก็ขมวดคิ้ว กลายเป็นวานรยักษ์แต่กลับหัวเราะด้วยความเย็นชา พลางตอบกลับด้วยความเย็นชา
“นายท่านคิดว่าจะอาศัยแค่ร่างแยก บีบให้ข้าน้อยหนีเตลิดไปหรือ? ผู้แซ่หานแค่อยากออกห่างลูกน้องของท่านเท่านั้น”
“เจ้ามั่นใจขนาดนี้ หรือคิดจะอาศัยเจ้าสองคนที่อำพรางอยู่ในความมืด!” ชายหนุ่มที่เป็นผู้นำเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา
แทบจะในเวลาเดียวกัน สองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาก็ลงมือ
คนหนึ่งอ้าปากออกพ่นลำแสงสีดำออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วกลายเป็นหม้อใบเล็ก ปากหม้อหมุนคว้าง พ่นเสาลำแสงสีดำออกมาจากปากหม้อ
อีกคนหนึ่งพลันใช้มือหนึ่งตะปบออกไปแล้วขว้างออกไป เงาหอคอยเจ็ดสีเลือนรางเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งออกมา
ทุกแห่งที่ทั้งสองคนโจมตีนั่นก็คือสองฝั่งของสำเภาลำเล็กสีโลหิตที่ดูเหมือนว่างเปล่าไร้ผู้คน
เสียง “ปังๆ” ดังขึ้น สองฝั่งของอากาศมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้นพร้อมกัน เงาร่างคนถูกกำจัดเคล็ดวิชาอำพรางกายออก คนหนึ่งพลิ้วไหวเผยเงาร่างออกมา
คนหนึ่งมีสีทองเรืองรอง สามเศียรหกกร คนหนึ่งมีผิวสีเขียว ใบหน้าไร้ความรู้สึก นั่นก็คือร่างทองพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์และร่างวิญญาณที่เดิมคิดจะเข้าใกล้สำเภาลำเล็กสีโลหิต
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนั้นก็อดที่จะมีสีหน้าเคร่งขรึมไม่ได้
แต่สิ่งที่ทำให้หานลี่ประหลาดใจก็คือ เมื่อชายหนุ่มที่เป็นผู้นำเห็นร่างทองสามเศียรหกกร ก็มีสีหน้าแปลกประหลาด
“เทวรูปมารเที่ยงแท้! หึๆ น่าสนใจจริงๆ เผ่ามนุษย์คนหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะฝึกฝนเคล็ดวิชามารเที่ยงแท้จนมาถึงขั้นนี้ได้ และยังหลอมร่างทองของเทวรูปมารเที่ยงแท้ได้ หากตาแก่เหล่านั้นรู้เข้า ก็ไม่รู้ว่าจะมีสีหน้าแบบใด” ชายหนุ่มที่เป็นผู้นำแววตาเปล่งประกายพลางเอ่ยขึ้น
ในคำพูดทั้งแฝงไว้ด้วยความเยาะเย้ยตนเอง และมีเจตนาถากถาง
หานลี่ได้ยินกลับไม่ได้เผยสีหน้าประหลาดใจนักออกมา
ถึงอย่างไรเสียเคล็ดพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้ แม้จะถูกเขาดัดแปลงไปไม่น้อย แต่รูปร่างของเทวรูปพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ก็ค่อนข้างมีเอกลักษณ์ เกรงว่าผู้ใดที่รู้จักเคล็ดวิชามารก็ต้องมองที่มาของมันออกในปราดเดียว
แน่นอนว่าในเผ่ามนุษย์มารผู้บำเพ็ญเพียรที่ฝึกฝนเคล็ดวิชามารจนถึงขั้นนี้ย่อมมีอยู่แค่ไม่กี่ตน ภายใต้สถานการณ์ปกติหานลี่ย่อมไม่ยอมสำแดงร่างทองนี้ออกมาง่ายๆ
ยามนี้ต้องต่อกรกับร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวง เขาย่อมไม่อาจยั้งมืออันใดได้ ดังนั้นเขาที่กลายเป็นวานรยักษ์จึงไม่ได้เผยสีหน้าตกตะลึงออกมา กลับมองไปที่ร่างแยกที่พ่นหม้อคำพูดสีม่วงออกมาแวบหนึ่ง ในใจพลันเริ่มบริกรรมคาถา
ในเวลาเดียวกันในฝ่ามือยักษ์ที่มีขนปุกปุยก็มีลูกแก้วผลึกที่มีอักขระยันต์สีโลหิตปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ
จากนั้นก็กระตุ้นเคล็ดวิชาลับ อักขระยันต์ในลูกแก้วผลึกพลันเปล่งแสงเรืองๆ ราวกับสิ่งมีชีวิต
ชายหนุ่มที่เป็นผู้นำเห็นหานลี่มีสีหน้าราบเรียบ สายตาจ้องเขม็งไปที่ร่างทองและร่างวิญญาณ ดูเหมือนว่าจะกำลังขบคิดอันใดสักอย่าง แต่ครู่ต่อมาก็สัมผัสอันใดได้ พลันร้องตะโกนด้วยหน้าที่เปลี่ยนสี
“บังอาจลงมือต่อหน้าข้า ไปตายซะ”
สิ้นเสียงแผ่นหลังของเขาก็มีลำแสงสีดำสว่างวาบ เงามารสูงใหญ่มีหนวดยักษ์สิบกว่าเส้นทั่วเรือนร่าง มีเขายักษ์งอกอยู่บนหัวปรากฏขึ้น
มารอินทรีตนนี้ดูเหมือนจะรางเลือนไม่ชัดเจน แต่เมื่อปรากฏตัวก็โบกสะบัดหนวดสิบกว่าเส้นเล็กน้อย เสียงวิหคเพรียกพลันดังขึ้นทันที
พายุหมุนสีขาวสิบกว่าสายม้วนวนออกไป คาดไม่ถึงว่าหนวดเหล่านี้จะยืดขยายออกไปสองสามร้อยจั้ง ปรากฏอยู่ห่างจากหานลี่เพียงแค่คืบ และทิ่มลงมาด้วยความเร็วดุจสายฟ้า
“หึ ยามนี้ถึงได้พบว่าสายไปแล้ว!” วานรยักษ์พลันแค่นเสียงด้วยความเย็นชา การบริกรรมคาถาในใจหยุดชะงัก นิ้วทั้งห้าที่มีขนปุกปุยกุมลูกแก้วผลึกเอาไว้พลันออกแรง ระเบิดลำแสงเจิดจ้าขึ้น
อักขระยันต์สีโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบ จมหายเข้าไปในมือของเขาอย่างไร้ร่องรอย
แทบจะในเวลาเดียวกันเบื้องหน้าของหานลี่พลันมีม่านกระบี่เปล่งแสงสว่างวาบ ฉับพลันนั้นพลันกลายเป็นดอกบัวสีเขียวสิบกว่าดอก ทุกดอกล้วนมีขนาดสองสามฉื่อ กลีบดอกเปล่งแสงสว่างวาบ แหลมคมเป็นอย่างยิ่ง
หนวดเหล่านั้นกำลังทิ่มแทงเข้ามาข้างในอย่างพอดิบพอดี
ดอกบัวสีเขียวแค่หมุนคว้าง ชั่วขณะนั้นไอกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนก็ตัดสลับกันไปมา หนวดถูกสับออกเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน
ชายหนุ่มที่เป็นผู้นำหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา อาคมในมือเปลี่ยนไป ยามที่กำลังคิดจะกระตุ้นอิทธิฤทธิ์อันใดสักอย่าง ด้านหลังกลับมีเสียงร้องด้วยความตกตะลึงระเบิดเสียงร้องประหลาดจนแสบแก้วหูดังขึ้น
เขารีบหันกลับไปมองผลคือมองเห็นพอดี หม้อคำพูดสีม่วงสั่นเทาอย่างหนัก ส่งเสียงร้องประหลาดๆ แล้วพุ่งออกมาจากนิ้วมือทั้งห้าของร่างแยก
ส่วนร่างแยกที่ควบคุมหม้อใบนั้นอยู่ ก็มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตกตะลึง แต่ปฏิกิริยาตอบสนองกลับไม่นับว่ารวดเร็ว แขนแค่พลิ้วไหว ชั่วขณะนั้นก็ตะปบออกไปกลางอากาศ
ชั่วขณะนั้นกรงเล็บเงาขนาดยักษ์พลันปรากฏขึ้น ห่อหุ้มกลางอากาศในรัศมีสองสามหมู่เอาไว้
ต่อให้หม้อคำพูดสีม่วงติดปีกก็ยากที่จะหลบหนี
ชายหนุ่มที่เป็นผู้นำเห็นเช่นนี้ถึงได้รู้สึกผ่อนคลายลง แต่ความคิดพลันเคลื่อนไหว ยังไม่ทันคิดหาต้นสายปลายเหตุของฉากนี้ วานรยักษ์ขนสีทองที่อยู่กลางเขตอาคมกระบี่กลับทุบอบทั้งสองข้าง อ้าปากร้องคำรามออกมา
เสียงคำรามราวกับเสียงฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ!
“แย่แล้ว!” ชายหนุ่มที่เป็นผู้นำได้ยินเสียงคำรามนี้ ร่างกายก็สั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่ได้ ฉับพลันนั้นพลันร้องอุทานออกมาด้วยหน้าถอดสี
ร่างแยกที่ตะปบไปทางหม้อคำพูดสีม่วงผู้นั้น แขนสั่นเทาเช่นกัน ลำแสงที่สะท้อนไปทั่วท้องฟ้าถูกทำลายออก
ชั่วขณะนั้นหม้อคำพูดสีม่วงก็ส่งเสียงร้องยาวๆ กลายเป็นลำแสงสีม่วงบินสูงขึ้นไปยี่สิบสามสิบจั้ง แค่กะพริบวาบก็หมายจะบินหนีไป
“จับมันไว้!”
ชายหนุ่มที่เป็นผู้นำไม่สนใจหานลี่ พลางร้องตะโกนด้วยความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว
ชายหนุ่มคนสุดท้ายที่ถือหอคอยเจ็ดสีพลันเลิกคิ้ว โยนหอคอยในมือออกมา