A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 1933 พบสหายเก่า

ฉับพลันนั้นเขาพลันขมวดคิ้ว ขยับร่างกลายเป็นสายรุ้งพุ่งไปด้านล่าง

สายรุ้งเปล่งแสงสว่างวาบสองสามครั้งราวกับฟ้าแลบ พาหานลี่มาปรากฏตัวเหนือคฤหาสน์ที่ดูธรรมดาๆ หลังหนึ่ง

ตรงนั้นมีผู้บำเพ็ญเพียรสวมชุดอาภรณ์หลากหลายอยู่ห้าคน กำลังล้อมบ้านที่มีไอหมอกสีขาวนวลห่อหุ้มอยู่ กำลังซุบซิบพูดคุยปรึกษาอันใดกันสักอย่างอยู่

หานลี่มาปรากฏตัวเหนือบ้านอย่างลึกลับ ย่อมทำให้คนเหล่านั้นตกใจจนสะดุ้งโหยง บ้างก็พลิกฝ่ามือหยิบสมบัติออกมา บ้างก็ร่ายอาคมทำท่าป้องกันตัว

“ไสหัวไป!”

หานลี่ราวกับมองไม่มองคนเหล่านั้นพลางเอ่ยอย่างเย็นชา

“เจ้าพูดอันใด คาดไม่ถึงว่าจะกล้าเสียมารยาท…”

“อ่า ที่แท้ก็ท่านอาวุโส ชนรุ่นหลังและพวกจะไปเดี๋ยวนี้ขอรับ!”

ผู้บำเพ็ญเพียรสองสามคนนั้นล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตระดับเทพแปลง เมื่อได้ยินคำพูดเมื่อครู่ ชั่วขณะนั้นพลันรู้สึกโกรธเกรี้ยว

เมื่อหานลี่แผ่กลิ่นอายมหาศาลของระดับผสานอินทรีย์ออกไปอย่างไม่เกรงใจ ห้าคนนั้นก็ตกใจจนขวัญกระเจิง รีบเปลี่ยนคำพูดแล้วถอยกรูดหนีไปคนละทิศละทาง

พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะหันหัวกลับมา ราวกับว่าด้านหลังมีภูตผีร้ายไล่ตามมาติดๆ ก็ไม่ปาน

หานลี่กวาดตามองคนเหล่านั้นอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง หลังจากลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ไม่ได้ทำอันใด แต่ในยามนั้นเอง ภายในห้องที่ถูกเขตอาคมคุ้มกันอยู่ กลับมีเสียงตกตะลึงระคนยินดีของสตรีดังขึ้น

“ท่านอาวุโสหาน เป็นท่านได้อย่างไร เหตุใดท่านอาวุโสถึงมาปรากฏตัวที่นี่ เชียนอวี่จะออกไปพบเดี๋ยวนี้!”

สิ้นเสียงไอสีขาวด้านนอกบ้านก็หมุนวน ลมพัดมาระลอกหนึ่ง แล้วสลายหายไป

ในเวลาเดียวกันประตูบ้านที่เดิมปิดสนิทอยู่ ก็มีหญิงสาวสามคนเดินออกมาจากด้านใน หญิงสาวผู้มีร่างกายสูงโปร่ง ผิวสีขาวหิมะ นั่นก็คือสวี่เชียนอวี่ของตระกูลสวี่นั่นเอง

“สหายสวี่ ไม่ได้พบกันหลายปี” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา ทักทายเล็กน้อย

หลังจากที่เขาบอกลาตระกูลสวี่ในปีนั้นก็ไม่ได้พบหน้ากันอีก ยามนี้ในเคราะห์มารสตรีผู้นี้กลับมาปรากฏตัวที่นี่ ช่างอยู่นอกเหนือความคาดหมายจริงๆ

“ขอบพระคุณท่านอาวุโสที่ช่วยเหลือ มิเช่นนั้นชนรุ่นหลังคงจะผ่านเคราะห์ครั้งนี้ได้ยาก”

สวี่เชียนอวี่เห็นหานลี่พลันเผยความตกตะลึงระคนดีใจออกมา รีบพาหญิงสาวที่เหลืออีกสองคนทำความเคารพหานลี่อย่างนอบน้อม

“ไม่มีอันใด ข้าแค่ผ่านทางมาพอดีจึงช่วยไว้เท่านั้น คนเหล่านั้นคือผู้ใด เหตุใดถึงมาล้อมโจมตีพวกเจ้า เป็นศัตรูของพวกเจ้าหรือ?” หานลี่โบกมือ แล้วเอ่ยถามอย่างสบายอารมณ์

“ศัตรูอันใดกัน คนเหล่านั้นแค่เห็นพวกเราสามคนอยู่กันตามลำพังจึงเกิดจิตสังหารเท่านั้น ท่านอาวุโสน่าจะสับพวกมันเป็นหมื่นๆ ชิ้นถึงจะถูก” หญิงสาวหน้ากลมมนที่อยู่ด้านหลังสวี่เชียนอวี่เอ่ยด้วยความโมโห

“เสี่ยวชิง เงียบนะ ได้พบกับท่านอาวุโสหาน พวกเราก็มีดาวโชคดีประจำตัวแล้ว เหตุใดถึงพูดจาไม่มีมารยาทกับท่านอาวุโส ท่านอาวุโสหาน เสี่ยวชิงคือสาวใช้ของข้า เอาแต่ฝึกฝนอยู่ในตระกูลมาโดยตลอด ไม่เคยออกมามาหาประสบการณ์ภายนอก หวังว่าท่านอาวุโสจะไม่ถือสา!” สวี่เชียนอวี่ได้ยินก็หน้าเปลี่ยนสี รีบเอ่ยด้วยเสียงเคร่งๆ

“อ๊า ท่านอาวุโสโปรดอย่าได้ถือสา ชนรุ่นหลังมิได้มีเจตนาล่วงเกิน” สตรีผู้บำเพ็ญเพียรหน้ากลมมนถึงได้เข้าใจว่าท่านอาวุโสที่อยู่ตรงหน้ามีพลังปราณลึกล้ำยากจะคาดเดา และตนก็ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ของตระกูลสวี่ คำพูดเมื่อครู่มันเสียมารยาทไปจริงๆ

“ไม่เป็นไร หากรู้ว่าคนเหล่านั้นเป็นพวกไม่ได้ความ ไม่แน่ว่าอาจจะลงมือจัดการก็เป็นได้” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา และตอบอย่างไม่ใส่ใจ

“ขอบพระคุณท่านอาวุโส ที่นี่ไม่ใช่สถานที่จะใช้พูดคุย ท่านอาวุโสเข้าพักในบ้านเถิด” สวี่เชียนอวี่รู้สึกผ่อนคลายลง ใบหน้าแตะแต้มไปด้วยรอยยิ้มพลางเปิดประตูใหญ่ด้านหลังออก

“เช่นนั้นผู้แซ่หานก็รบกวนแล้ว!” หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วพยักหน้าตอบตกลง

ที่นี่อยู่ห่างจากที่ตั้งค่ายกองทัพเผ่ามารอยู่มาก และยิ่งไปกว่านั้นแถวๆ นี้ก็ไม่มีเผ่ามารปรากฏตัว ดังนั้นเขาจึงวางใจมาก

ภายในบ้านไม่นับว่าใหญ่โตนัก แต่ด้านในล้วนมีเครื่องครัวและการตกแต่งที่เผยกลิ่นอายความโบราณและเป็นเอกลักษณ์ออกมา ดูเหมือนว่าจะดำรงอยู่มาเนิ่นนานแล้ว

แต่สิ่งที่ทำให้หานลี่ประหลาดใจก็คือ เขตอาคมที่อยู่รอบๆ ชั่วพริบตาที่พวกเขาเดินเข้ามา ก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย แม้แต่จิตสัมผัสของเขาก็ไม่อาจพบเขตอาคมเหล่านั้นได้

นี่จึงทำให้เขารู้สึกประหลาดใจมาก

เมื่อหานลี่ถูกพาไปนั่งตรงตำแหน่งหลักกลางห้องแล้ว เห็นหญิงสาวทั้งสามยืนอยู่ด้านข้างอย่างนอบน้อม ก็เริ่มเอ่ยซักถาม

“ที่นี่ดูเหมือนจะไม่ใช่สถานที่พักอาศัยของคนธรรมดา หรือว่าเกี่ยวข้องกับตระกูลสวี่ของพวกเจ้า?”

“ท่านอาวุโสดวงตาเฉียบแหลมนัก ที่นี่คือที่พักของตระกูลสวี่ในอดีต ชนรุ่นหลังถูกผู้บำเพ็ญเพียรชั่วไล่สังหาร ถึงได้แอบเข้ามาอาศัยพลังของเขตอาคมต้องห้ามต้านทานไว้” สวี่เชียนอวี่ตอบกลับอย่างนอบน้อม

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ทว่าที่นี่อยู่ห่างจากตระกูลสวี่มาก และยิ่งไปกว่านั้นได้ยินว่าตระกูลสวี่ย้ายไปที่เมืองศักดิ์สิทธิ์แล้ว พวกเจ้าสามคนพลังปราณไม่อาจคุ้มครองตนเองได้ เหตุใดถึงวิ่งมาที่นี่” หานลี่พยักหน้า แต่ก็เอ่ยถามอย่างไม่เกรงใจ

เมื่อได้ยินหานลี่ถามเช่นนี้ หญิงสาวทั้งสามก็อดที่จะมองสบตากันแวบหนึ่งไม่ได้ คาดไม่ถึงว่าจะมีท่าทางลังเล แต่สุดท้ายก็เป็นสวี่เชียนอวี่ที่เอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มขมขื่น

“ท่านอาวุโสมิรู้อันใด ตระกูลสวี่ของพวกเราย้ายมาที่เมืองจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ของท่านอาวุโสจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ก่อนที่เคราะห์มารจะปะทุ แต่ก่อนหน้านี้ไม่นาน ใต้เท้าโลหิตวิญญาณออกไปจัดการธุระภายนอก พาพวกเราออกไปจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ ผลคือหลังจากจัดการธุระเสร็จ ระหว่างทางกลับ กลับบังเอิญพบกองทัพเผ่ามาร หลังจากรบรากันรอบหนึ่ง เผ่ามนุษย์ของพวกเราก็พ่ายแพ้ ทำได้เพียงหนีเอาตัวรอดเท่านั้น ข้าและพวกทั้งสองถูกเผ่ามารกลุ่มเล็กๆ ไล่สังหาร ถึงได้หนีมาที่นี่อย่างไม่มีทางเลือก ผลคือคิดไม่ถึงว่าจะเสียแรงมากถึงจะสลัดศัตรูได้ แล้วดันมาพบกับผู้บำเพ็ญเพียรชั่วร้ายอีก”

“สหายเซวียหลิงออกจากเมืองศักดิ์สิทธิ์?” หานลี่พลันตกตะลึง ท่าทีประหลาดใจเล็กน้อย

“ใช่ เดิมท่านอาวุโสในเผ่าก็ไม่อยากให้ใต้เท้าโลหิตวิญญาณออกไป แต่เรื่องที่ใต้เท้าต้องทำดูเหมือนจะเร่งรัดมาก จึงทำได้เพียงให้ใต้เท้าโลหิตวิญญาณออกมา” สวี่เชียนอวี่เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา

“หลังจากที่สหายโลหิตวิญญาณได้พบกับเผ่ามารแล้ว น่าจะไม่เป็นไรสินะ!” หานลี่ไม่ได้ซักถามเรื่องที่ตระกูลสวี่ไปจัดการ หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย กลับถามถึงความปลอดภัยของสตรีโลหิตวิญญาณ

“ท่านอาวุโสหานโปรดวางใจ ก่อนที่ชนรุ่นหลังจะจากมา เห็นกับตาตัวเองว่าใต้เท้าโลหิตวิญญาณฝ่าวงล้อมออกมาได้ แม้ว่าจะมีเผ่ามารระดับสูงสองสามคนไล่ตามอยู่ด้านหลัง แต่จากอิทธิฤทธิ์ของใต้เท้าน่าจะรักษาตัวเองได้ไม่มีปัญหา” สวี่เชียนอวี่บอกอย่างซื่อสัตย์

“เช่นนี้ข้าน้อยก็วางใจ ใช่แล้ว ยามนี้สถานการณ์ของเมืองจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างไร? ยามนี้อาณาเขตของเผ่ามนุษย์ถูกกองทัพเผ่ามารแยกออกจากกันแล้ว แม้กระทั่งยันต์วิเศษก็ไม่อาจส่งหากันได้” หานลี่เอ่ยถามด้วยสีหน้ากังวล

“ไม่ค่อยดีนัก เมืองจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรายังพอว่า กองทัพเผ่ามารไม่ได้ไปที่เมืองนั้น แต่กลับโจมตีที่มั่นอื่นๆ จากหลายทาง ยามนี้นอกจากเมืองศักดิ์สิทธิ์แล้ว ที่มั่นที่เหลือล้วนถูกโจมตี พรรคและตระกูลเหล่านั้นล้วนถูกทำลายจนหมดแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นการโจมตีของเผ่ามารในครั้งนี้ดูเหมือนแตกต่างจากในอดีต คาดไม่ถึงว่าเผ่ามารจะเริ่มตั้งค่ายในเมืองคนธรรมดาที่แตกพ่าย และเริ่มกดขี่คนธรรมดาของพวกเรา” สวี่เชียนอวี่เอ่ยไปพลาง ใบหน้าอดที่จะมีความกังวลไม่น้อย

“ดูแล้วข่าวลือคงเป็นความจริง หายนะมารครั้งนี้ไม่เหมือนกับในอดีต แต่มีเจตนาจะอยู่อาศัยที่แดนวิญญาณระยะยาว” หานลี่ได้ยินก็มีสีหน้าเคร่งขรึม หลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้ใช้น้ำเสียงเคร่งขรึมเอ่ยขึ้น

“อันใด ความหมายของท่านอาวุโสคือเผ่ามารคิดจะยึดเขตแดนเผ่ามนุษย์ของพวกเรา?” ไม่รอให้สวี่เชียนอวี่ตอบ หญิงสาวร่างกายอวบอัดหน้าซีดขาวอีกคนก็ร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง

“ไม่ใช่แค่เผ่ามนุษย์ของพวกเรา เผ่าปีศาจแม้กระทั่งเผ่าพฤกษาเผ่าสามง่ามที่อยู่ในละแวกนี้ก็คงเป็นเป้าหมายของเผ่ามารเช่นกัน ส่วนสถานการณ์ที่เป็นรูปธรรมผู้แซ่หานก็ไม่แน่ใจนัก แต่แค่ข่าวลือของชนชั้นสูงนั้นเป็นความจริงแน่นอน ทว่าพวกเจ้าเองก็อย่ากังวลนัก ฟ้าพังทลายลงมาแน่นอนว่าต้องมีชนชั้นสูงเข้าไปตั้งรับ คิดดูแล้วเกาะศักดิ์สิทธิ์คงมีแผนรับมือเรื่องนี้ตั้งนานแล้ว” หานลี่มีสีหน้าผ่อนคลายลง แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ

“ก็ใช่ มีเกาะศักดิ์สิทธิ์และสิ่งมีชีวิตม่อเจี่ยนหลี แม้ว่าเผ่ามารจะชั่วร้ายแค่ไหน ก็สำเร็จได้ยาก” สวี่เชียนอวี่เองก็เอ่ยพร้อมกับผ่อนลมหายใจออกมา

หญิงสาวที่เหลืออีกสองคนได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็ดีขึ้นมาก

เห็นได้ชัดว่าเกาะศักดิ์สิทธิ์และอานุภาพของม่อเจี่ยนหลีทั้งสองก็ทำให้หญิงสาวทั้งสามเชื่อมั่นไม่น้อย

เวลาที่เหลือหานลี่พลันเอ่ยซักถามสถานการณ์ของกองทัพเผ่ามารในละแวกเมืองจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อย่างละเอียดจนผ่านไปครึ่งชั่วยามโดยไม่รู้ตัว

“ถึงเวลาอันสมควรแล้ว ผู้แซ่หานยังมีธุระอยู่ คงไม่อยู่นานแล้ว จากนี้หวังว่าจะได้พบสหายทั้งสามอีก! ใช่แล้ว ที่นี่ไม่อาจอยู่นานได้ สหายทั้งสามรีบกลับไปยังเมืองจักรพรรดิเพื่อความปลอดภัยเถิด” ในที่สุดหานลี่ก็หยัดกายลุกขึ้นแล้วกล่าวลา และสุดท้ายก็แนะนำด้วยความจริงใจ

เมื่อได้ยินคำนี้สวี่เชียนอวี่และพวกทั้งสามคนย่อมไม่กล้าขัดขวาง จึงตอบรับทันใด ส่งหานลี่ออกจากประตูอย่างนอบน้อม

ผิวของหานลี่เปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งแหวกอากาศออกไป

สวี่เชียนอวี่มองจนสายรุ้งสีเขียวสว่างวาบหายวับไปที่ขอบฟ้า แววตาพลันฉายแววสับสน และถอนหายใจออกมาเบาๆ เฮือกหนึ่ง

“ท่านอาสวี่ ท่านอาวุโสหานผู้นี้คืออาวุโสที่ส่งใต้เท้าโลหิตวิญญาณกลับมาที่ตระกูลสวี่ของพวกเราในปีนั้นจริงๆ หรือ เขาคือท่านอาวุโสระดับผสานอินทรีย์จริงหรือ?” หญิงสาวหน้ากลมมนรอจนหานลี่จากไป กลับเอ่ยถามอย่างอดไม่ไหว

หญิงสาวอีกคนหนึ่งแววตาเปล่งประกาย หูผึ่งเช่นกัน

“ใช่แล้ว ผู้นี้คือท่านอาวุโสหาน ตอนนั้นที่เขามาที่ตระกูลสวี่ของพวกเราก็อยู่ในระดับผสานอินทรีย์แล้ว ได้ยินว่าก่อนที่เคราะห์มารจะปะทุได้ไม่นาน เขาก็พัฒนาระดับขั้นขึ้นอีก และอยู่ในระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลาง” สวี่เชียนอวี่ตอบกลับด้วยรอยยิ้มขมขื่น

“อันใดนะ! เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลาง หลานเพิ่งเคยพบชนชั้นสูงขนาดนี้เป็นครั้งแรก ฟังจากคนอื่นท่านอาวุโสและท่านอาวุโสหานผู้มีความสัมพันธ์กันลึกซึ้ง แม้กระทั่งเคยทำงานด้วยกันที่เมืองเทวะสวรรค์ นี่เป็นเรื่องจริงหรือ!” เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวหน้ากลมมนอายุไม่มากนัก จึงพลันอุทานออกมาเบาๆ แล้วพลันเอ่ยซักถามด้วยความตื่นเต้น

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

Type: Author: ,
เจ้าบื้อที่สอง หานลี่ เด็กหนุ่มธรรมดาสามัญผู้ได้รับวาสนาให้ไปเข้าทดสอบเป็นศิษย์ในสำนักเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทำให้เขาได้รู้จักกับโลกใบใหม่ที่หนุ่มน้อยชนบทอย่างเขาใฝ่ฝันอยากสัมผัสกับมันมาโดยตลอด ในโลกแห่งเซียน เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรต่างฝึกฝนค้นหาเส้นทางเพื่อก้าวเข้าสู่ความเป็นนิรันดร์ ทว่าเส้นทางที่แม้กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรซึ่งมีพรสวรรค์สูงส่งแต่กำเนิดยังต้องผ่านความยากลำบากเท่าไหร่กว่าจะไปถึงจุดนั้น แล้วเด็กหนุ่มปุถุชนเช่นเขาจะทำได้หรือ? ด้วยความสามารถอันธรรมดาสามัญของเขาจะเอาตัวรอดในโลกแห่งเซียนนี้ไปได้อย่างไร? เส้นทางแห่งความสำเร็จช่างอยู่ห่างไกลเสียเหลือเกิน… คัมภีร์วิถีเซียนเป็นนิยายจีนย้อนยุคเล่าเรื่องการเดินทางอันน่าติดตามของหานลี่ ผู้ต้องใช้ทั้งไหวพริบและพลังยุทธ์ในการฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ด้วยตัวคนเดียว มาร่วมเดินทางไปกับหานลี่ ผู้เย้ยฟ้าท้านรกเพื่อแสวงหาเส้นทางแห่งการเป็นเซียนด้วยกันเถอะ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset