A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 1934 หม้อจักรพรรดิสูญ

“เจ้าก็รู้ว่ามันเป็นแค่เรื่องในปีนั้น ยามนี้พูดขึ้นมาจะมีประโยชน์อันใด แม้ว่ายามนี้ข้าจะพลังยุทธ์เพิ่มขึ้น แต่เทียบกับคนผู้นั้นแล้วกลับไม่คุ้มค่าให้เอ่ยถึง ระยะเวลาพันปีเศษก็พัฒนาจากระดับเทพแปลงไปอยู่ในระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลางได้ ความเร็วที่น่าตกตะลึงเช่นนี้ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็มีคนทำได้แค่ไม่กี่คน และไม่รู้ว่าเขาฝึกฝนอย่างไร” สวี่เชียนอวี่สั่นศีรษะ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ้างว้าง

“ในเมื่อท่านอาวุโสหานมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งใหญ่ เหตุใดเมื่อครู่ท่านอาไม่รั้งเอาไว้ มีท่านอาวุโสผู้นี้คอยช่วยเหลือ สิ่งที่พวกเราต้องทำย่อมไม่มีทางผิดพลาดแน่” หญิงสาวอีกคนหนึ่งเงียบขรึมไปชั่วครู่ กลับเอ่ยเช่นนี้ออกมา

“แม้ว่าพวกเราสามคนจะแยกกับใต้เท้าโลหิตวิญญาณแล้ว แต่ตอนแรกใต้เท้าได้กำชับเอาไว้ สิ่งที่พวกเราต้องทำเกี่ยวข้องกับการกลับมาของบรรพชนน้ำแข็งวิญญาณ แม้ว่าในตระกูลสวี่ก็มีแค่ไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้ แม้ว่าท่านอาวุโสหานจะมีบุญคุณกับตระกูลสวี่ของพวกเรา แต่เรื่องนี้กลับไม่อาจบอกตรงๆ ได้ อีกอย่างท่านอาวุโสหานก็ไล่ผู้บำเพ็ญเพียรชั่วร้ายพวกนั้นไปแล้ว ที่นี่จึงปลอดภัยชั่วคราว พวกเราต้องรีบลงมือ เอาสิ่งนั้นมาให้ไวที่สุด แล้วมารวมตัวกับใต้เท้าโลหิตวิญญาณ ยามนี้อย่าเพิ่มเรื่องยุ่งยากจะดีกว่า!”  สวี่เชียนอวี่แววตาเปล่งประกาย แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง

เมื่อได้ยินสวี่เชียนอวี่กล่าวเช่นนี้ สตรีที่เหลืออีกสองคนก็มองสบตากันแวบหนึ่ง แล้วอดที่จะพยักหน้าไม่ได้

“เอาล่ะ พวกเราไปต่อกันเถิด” สวี่เชียนอวี่ครุ่นคิดอยู่ที่เดิม เลิกคิ้วทั้งสองข้างขึ้นแล้วเดินกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง

หญิงสาวที่เหลืออีกสองคนมีสีหน้าเคร่งขรึม แน่นอนว่าย่อมไล่ตามหลังมาติดๆ เช่นกัน

ในเวลาเดียวกันในถ้ำใต้ดินที่อยู่ห่างออกไปไม่รู้กี่หมื่นลี้ หญิงสาวผู้งดงามสวมชุดเกราะสงครามสีโลหิตคนหนึ่งกำลังดึงใบมีดน้ำแข็งเปล่งแสงสีโลหิตเล่มหนึ่งออกมาจากร่างของเผ่ามารระดับสูงผมยุ่งเหยิงตนหนึ่ง

ศพของเผ่ามารระดับสูงส่งเสียงอึกทึกออกมาพลางร่วงลงมาจากพื้นดิน ดวงตาทั้งสองไร้ซึ่งราศีใดๆ ราวกับมัจฉาที่ตายไปแล้ว

บนพื้นถ้ำมีซากเผ่ามารสีดำสนิทอีกสองตน นิ่งงันอยู่บนพื้น ในเวลาเดียวกันผิวก็มีน้ำค้างสีฟ้าเข้มปกคลุมอยู่

หญิงสาวกวาดตามองซากศพมารสองสามคนนั้นด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก จากนั้นพลันขยับร่างบินเข้าไปในส่วนลึกของถ้ำบนทางเดินแคบๆ

หลังจากผ่านอ้อมไปอ้อมมาสองสามครั้ง ก็ลงลึกลงไปอีกสองสามชั้น ตรงหน้าของหญิงสาวมีกำแพงหินที่ดูธรรมดาๆ ปรากฏขึ้น

แววตาของหญิงสาวเปล่งประกาย พลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ในมือมีลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วขณะนั้นหม้อใบเล็กสีเขียวพลันปรากฏออกมา

หมุนคว้าง หม้อใบเล็กมีขนาดสองสามจั้ง ผิวเปล่งแสงสีเขียว และมีเงาลวงตาของบุปผาวิหคแมลงมัจฉาปรากฏขึ้น

นั่นก็คือหม้อนภาสูญที่หานลี่เคยพึ่งพิงในปีนั้น!

และหญิงสาวสวมชุดเกราะสีโลหิตผู้งดงามผู้นี้ย่อมเป็นร่างแยกโลหิตวิญญาณของเซียนน้ำแข็งวิญญาณ

หญิงสาวและคนของตระกูลสวี่ถูกกองทัพเผ่ามารตีพ่าย คาดไม่ถึงว่าจะมาปรากฏตัวที่นี่ และยังใช้วิธีการลับสังหารเผ่ามารระดับสูงสามตนนั้นทิ้ง

ดูแล้วการที่นางล่อทหารลงมายังถ้ำใต้ดิน ก็ไม่ใช่ความร้อนรนแต่เพราะมีเป้าหมายอื่น

วิญญาณโลหิตในยามนี้สำแดงหม้อนภาสูญออกมา ปากก็บริกรรมคาถาทันที และยิ่งไปกว่านั้นนิ้วทั้งห้าก็ร่ายไปที่หม้อใบยักษ์อย่างต่อเนื่อง

หลังจากเสียง “พรึ่บๆ” ดังขึ้น อาคมสีเขียวสองสามสายก็ดีดตัวออกมา และเปล่งแสงสว่างวาบจมหายเข้าไปในหม้อ

ชั่วขณะนั้นเสียงอึกทึกพลันดังออกมาจากหม้อยักษ์ มันสั่นเทาฝาหม้อโบยบินขึ้นไปบนท้องฟ้า หมุนวนแล้วจมหายไปกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอย

ในหม้อมีลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วขณะนั้นอักขระยันต์สีเขียวพลันพุ่งออกมา พลิ้วไหวแล้วกลายเป็นอักษรโบราณขนาดยักษ์

อักษรโบราณเหล่านี้เรียงแถว เปล่งแสงสว่างวาบอย่างต่อเนื่อง แล้วกลายเป็นลำแสงสีเขียวสลายหายไป และพุ่งไปยังกำแพงหินตรงหน้า

เสียง “ปังๆ” ดังสนั่นขึ้น!

ชั่วพริบตาลำแสงสีเขียวพลันจมหายไปบนกำแพงหิน ผิวราวกับมีฝุ่นเคลือบอยู่ชั้นหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะเผยประตูสัมฤทธิ์โบราณขนาดใหญ่บานหนึ่งออกมา ผิวมีลำแสงสีเงินสองสามเปล่งแสงสว่างวาบของยันต์วิเศษแปะอยู่!

“ยังสมบูรณ์แบบดังคาด และไม่มีผู้ใดพบที่นี่ ดูแล้วตอนนั้นที่ข้าทิ้งไว้ที่นี่ คงเป็นเรื่องที่ชาญฉลาดมาก” โลหิตวิญญาณแววตาเปล่งประกายกวาดมองประตูบานใหญ่ ใบหน้าเย็นชาผ่อนคลายลง เอ่ยพึมพำด้วยความยินดี

จากนั้นหญิงสาวผู้นี้ก็ดีดนิ้ว สายลมอ่อนๆ ส่งเสียงดัง “สวบ” แล้วโจมตีไปที่กำแพงหิน

หม้อใบเล็กส่งเสียงเพรียกออกมา พ่นหมอกสีเขียวออกมา และม้วนวนไปทางประตูสัมฤทธิ์โบราณ

ชั่วพริบตาที่หมอกสีเขียวม้วนวนผ่านอักขระยันต์สีเงินบนนั้น ก็ร่อนลงมาอย่างเงียบเชียบ

เสียง “ครืด” ดังขึ้น!

ประตูสัมฤทธิ์โบราณเปิดออกโดยอัตโนมัติ

ลำแสงสีโลหิตเปล่งแสงเจิดจ้า โลหิตวิญญาณกลายเป็นลำแสงหลีกหนีอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด จมหายเข้าไปในบานประตู

ชั่วพริบตาที่ผ่านหม้อใบยักษ์ หมอกลำแสงก็เปล่งแสงสว่างวาบ หม้อสีเขียวสลายหายไป

ในประตูบานใหญ่มีห้องรับแขกมืดมนอยู่ห้องหนึ่ง

พื้นที่ไม่เล็ก ประมาณสองสามหมู่ แต่ด้านในนั้นว่างเปล่า โต๊ะหินสี่เหลี่ยมตัวหนึ่งวางอยู่ตรงนั้น บนโต๊ะหินมีหม้อใบเล็กอยู่ใบหนึ่ง

กำลังเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบเช่นกัน ผิวมีลวดลายงดงาม มองปราดเดียวย่อมคล้ายคลึงกับหม้อนภาสูญอยู่เจ็ดแปดส่วน!

ลำแสงโลหิตหม่นแสง เงาร่างของหญิงสาวโลหิตวิญญาณปรากฏขึ้นหน้าโต๊ะหิน ยกมือขึ้นตะปบไปที่หม้อใบเล็ก

ลำแสงสีเขียวพวยพุ่งออกไป ถูกดูดเข้าไปในมือได้อย่างง่ายดาย

โลหิตวิญญาณใช้มือหนึ่งถือหม้อใบเล็กไว้ตรงหน้า ใบหน้าเย็นชาอดที่จะเผยสีหน้ายินดีออกมาไม่ได้

“หม้อนภาสูญ หม้อวิญญาณสูญ หม้อจักรพรรดิสูญ! เกรงว่าเจ้าพวกนั้นจะไม่รู้ว่าตอนแรกข้าได้ลอกเลียนแบบสมบัติอีกหนึ่งชนิด ประสิทธิภาพของหม้อจักรพรรดิวิญญาณเหนือกว่าสองใบแรก เช่นนี้ก็ได้กุญแจในการเข้าไปแล้ว รอจนเคราะห์มารล่าถอยไป ก็ไปยังแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนีได้แล้ว!” โลหิตวิญญาณเอ่ยพึมพำ ในมีลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ เก็บหม้อใบเล็กสีเขียวลงไปอย่างไร้ร่องรอย

จากนั้นหญิงสาวผู้นี้ก็ไม่คิดจะรั้งรออยู่ที่ในห้องโถงอีก สองมือถูเข้าหากัน แล้วชูขึ้นอีกครั้ง

เสียงฟ้าร้องดังขึ้น เพลิงอัสนีสีโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนทะลักออกมาจากฝ่ามือ กลายเป็นสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนสับลงมาที่กำแพงทั้งสี่

ชั่วพริบตาห้องโถงทั้งห้องก็ถูกสายฟ้าสีโลหิตกลืนกินเข้าไป กำแพงหินรอบด้านแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

เมื่อสตรีผู้นี้กลายเป็นสายรุ้งสีโลหิตพุ่งไปยังประตู ห้องโถงทั้งห้องก็พังทลายลงมาพร้อมกับเสียงดังสนั่น

หลังจากผ่านไปชั่วครู่สายรุ้งสีโลหิตก็ปรากฏเหนือเนินดินรกร้างบนพื้น หลังจากหมุนวนรอบหนึ่งยืนยันทิศทางแล้วก็พุ่งไป

ดูจากทิศทางคาดไม่ถึงว่าจะเป็นตำแหน่งที่หญิงสาวสวี่เชียนอวี่ทั้งสามอยู่

……

หนึ่งเดือนต่อมาหานลี่ลอยอยู่กลางอากาศ ใช้สายตามองการต่อสู้ด้านล่าง สีหน้าเย็นชาดุจน้ำค้างแข็ง

กลางอากาศต่ำๆ ห่างออกไปพันจั้งเศษ เผ่ามารที่สลักลายมารประหลาดๆ บนเกราะสงครามสีม่วงกำลังล้อมโจมตีผู้บำเพ็ญเพียรยี่สิบสามสิบคนไม่หยุด

เผ่ามารเหล่านี้พลังยุทธ์ต่ำสุดก็อยู่ในระดับก่อกำเนิด เผ่ามารร่างใหญ่สูงใหญ่ที่สุดสองคนที่เป็นผู้นำมีพลังยุทธ์อยู่ในระดับเทพแปลงขั้นกลาง เห็นได้ชัดว่าเป็นหัวกะทิของเผ่ามาร!

ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ที่ถูกเผ่ามารล้อม ต่างสวมอาภรณ์คล้ายคลึงกัน แต่มีทั้งบุรุษสตรีคนชราและเด็ก ยิ่งไปกว่านั้นพลังยุทธ์ยังไม่เท่ากัน พลังยุทธ์ต่ำที่สุดก็เป็นชายหนุ่มและหญิงสาวสองสามคนที่มีพลังยุทธ์แค่ระดับสร้างปราณ ชายชราเคราขาวที่มีพลังยุทธ์สูงที่สุดกลับเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงขั้นปลาย

เห็นได้ชัดว่าเป็นพรรคหรือคนของตระกูลเดียวกัน!

ในบรรดาคนเหล่านี้มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมรวมมากที่สุด ดังนั้นแม้ว่าชายชราผู้นั้นจะรับมืออย่างยากลำบาก และให้ทุกคนกางเขตอาคมลึกลับออกมา แต่ก็ยังคงถูกยอดฝีมือเผ่ามารเหล่านั้นบีบให้ตกเป็นรอง สถานการณ์อันตรายเป็นอย่างยิ่ง

ชายชราเคราขาวที่เป็นผู้นำกระตุ้นสมบัติรูปตราประทับไปพลาง ตนก็ชักสายตากลับมาไปพลาง ใบหน้าอดที่จะเผยสีหน้าสิ้นหวังออกมาไม่ได้

ครั้งนี้พวกเขาพบกับยอดฝีมือของเผ่ามารจำนวนมากขนาดนี้ แม้ว่าเขาจะโชคดีหนีเอาชีวิตรอดได้ แต่ศิษย์ในสำนักก็คงไม่อาจโชคดีได้

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ชายชราก็อดที่จะเกิดความคิดพยายามสุดความสามารถไม่ได้ อ้าปากออกพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมาใส่ตราประทับ นิ้วชี้ๆ ออกไปอย่างต่อเนื่อง

ชั่วขณะนั้นตราประทับสีขาวพลันเปล่งแสงสว่างวาบท่ามกลางเสียงฟ้าผ่า คาดไม่ถึงว่าจะมีมังกรวารีสีขาวปรากฏขึ้นตัวหนึ่ง พ่นเพลิงอัสนีออกมาใส่เผ่ามารที่เป็นผู้นำสองคน

เผ่ามารระดับสูงสองตนนั้นจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพยายามสุดชีวิตได้อย่างไร ทันใดนั้นก็หัวเราะเสียงเหี้ยม เก็บกระบี่ยักษ์สีดำสนิทในมือ มือหนึ่งร่ายอาคม แผ่นหลังมีเสียงพรึ่บดังขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะมีเงาลวงตาวิหคมารขนาดยักษ์ปรากฏขึ้น

หัวเป็นมาร ลำตัวเป็นค้างคาว ดูโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง!

เมื่อเงาลวงตาวิหคมารสองตัวปรากฏกายขึ้น ก็ชูคอร้องเสียงประหลาดๆ ปลีกทั้งสองเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งไปด้านหลังเผ่ามารทั้งสอง พ่นไอมารออกมาต่อสู้กับเงาลวงตามังกรวารีสีขาว

เมื่อทั้งสองร่วมมือกันคาดไม่ถึงว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน

และช่วงเวลาที่ล่าช้าไปเขตอาคมที่สร้างขึ้นจากผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ถูกเผ่ามารโจมตีราวกับห่าฝน ในที่สุดก็เริ่มมีท่าทีจะพังทลาย

ฝูงผู้บำเพ็ญเพียรร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ อดที่จะเผยสีหน้าถอดสีออกมาไม่ได้

ภายใต้ความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยวของชายชราพลันร้องตะโกนออกมา และตบไปที่ศีรษะ ปล่อยทารกวิญญาณออกมา

และในยามนี้กลางอากาศกลับมีเสียงแค่นเสียงด้วยความเย็นชาดังขึ้น!

แม้ว่าเสียงจะไม่ดังนัก แต่กลับเสียดแทงกระดูก เมื่อเข้าโสตประสาทหู ก็ราวกับฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ทำให้มนุษย์และมารหน้าซีดเผือด ร่างกายซวนเซไปมา

เสียงฟ้าผ่าดังขึ้น! เสียงแค่นเสียงด้วยความเย็นชาดังขึ้น ระเบิดลูกแก้วลำแสงสีเขียวออกมา ด้านในมีเงาร่างคนปรากฏขึ้น

เงาร่างคนผู้นี้แค่สะบัดแขนเสื้อ ลำแสงสีเขียวก็พุ่งออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วกลายเป็นกระบี่ลำแสงโปร่งใสสองสามร้อยสาย

กระบี่ลำแสงนี้หมุนวนกลางอากาศก็พุ่งลงมาด้านล่าง แต่หลังจากกะพริบวาบๆ กระบี่ลำแสงทั่วทั้งท้องฟ้ากลับหายวับไปจากกลางอากาศ ราวกับว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้าเป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น!

แต่ครู่ต่อมาเผ่ามารนับร้อยตนก็รวมตัวกันกลางอากาศ กระบี่บินสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบปรากฏออกมาอย่างลึกลับ และระเบิดลำแสงเจิดจ้าล้อมรอบเผ่ามารเหล่านั้นเอาไว้

เสียงโอดครวญดังขึ้น!

เผ่ามารเหล่านี้ถูกกระบี่ลำแสงสีเขียวกลืนกิน ชั่วพริบตาร่างกายก็เป็นชิ้นๆ แม้แต่ทารกวิญญาณก็ไม่อาจหนีออกมาได้ ยามนี้จึงถูกกระบี่ลำแสงสับออกเป็นชิ้นๆ

หมอกลำแสงผืนใหญ่สลายออกจากรอบๆ ผู้บำเพ็ญเพียร กลิ่นโลหิตคละคลุ้งตลบอบอวลไปทั่วอากาศ

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

Type: Author: ,
เจ้าบื้อที่สอง หานลี่ เด็กหนุ่มธรรมดาสามัญผู้ได้รับวาสนาให้ไปเข้าทดสอบเป็นศิษย์ในสำนักเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทำให้เขาได้รู้จักกับโลกใบใหม่ที่หนุ่มน้อยชนบทอย่างเขาใฝ่ฝันอยากสัมผัสกับมันมาโดยตลอด ในโลกแห่งเซียน เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรต่างฝึกฝนค้นหาเส้นทางเพื่อก้าวเข้าสู่ความเป็นนิรันดร์ ทว่าเส้นทางที่แม้กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรซึ่งมีพรสวรรค์สูงส่งแต่กำเนิดยังต้องผ่านความยากลำบากเท่าไหร่กว่าจะไปถึงจุดนั้น แล้วเด็กหนุ่มปุถุชนเช่นเขาจะทำได้หรือ? ด้วยความสามารถอันธรรมดาสามัญของเขาจะเอาตัวรอดในโลกแห่งเซียนนี้ไปได้อย่างไร? เส้นทางแห่งความสำเร็จช่างอยู่ห่างไกลเสียเหลือเกิน… คัมภีร์วิถีเซียนเป็นนิยายจีนย้อนยุคเล่าเรื่องการเดินทางอันน่าติดตามของหานลี่ ผู้ต้องใช้ทั้งไหวพริบและพลังยุทธ์ในการฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ด้วยตัวคนเดียว มาร่วมเดินทางไปกับหานลี่ ผู้เย้ยฟ้าท้านรกเพื่อแสวงหาเส้นทางแห่งการเป็นเซียนด้วยกันเถอะ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset