A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 2003 นัดล่วงหน้า

“ผู้อาวุโสเอ๋าเซี่ยวไม่เพียงไปเกาะศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยังจะอยู่เฝ้าเกาะศักดิ์สิทธิ์อีกนาน จนกว่าการต่อสู้ขั้นเด็ดขาดอย่างแท้จริงกับมารจะเริ่มต้นขึ้น”

ปรมาจารย์สกุลหล่งพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

“เช่นนี้เป็นอันว่า เรื่องการมาจุติของมารรุ่นบุกเบิก กว่าครึ่งมิใช่เรื่องเท็จ ถ้าเป็นเช่นนี้ แผนของเราก็รวนไปหมด” หานลี่ถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนพูด

“ไม่ใช่แค่นี้นี่สิ! เดิมทีเราวางแผนไว้ว่า รอให้การบุกอย่างดุเดือดที่สุดไม่กี่ครั้งจากแนวหน้าของพวกมารผ่านพ้น รอให้สถานการณ์ในการรบค่อนข้างนิ่งแล้ว ค่อยเข้าไปในแดนมารอย่างสบายใจ แต่ตอนนี้ ในเมื่อมารรุ่นบุกเบิกจะมาจุติในดินแดนแห่งนี้ด้วยตัวเอง เรื่องก็ไม่ง่ายแล้ว ถึงตอนนั้น กุญแจสำคัญที่จะตัดสินแพ้ชนะ กว่าครึ่งต้องดูที่ผู้อาวุโสเอ๋าเซี่ยว ใต้เท้ามั่วเจี่ยนหลี และเกาะศักดิ์สิทธิ์ว่าจะรับมืออย่างไร ถ้าสองเผ่าเราพ่าย ดินแดนแห่งนี้ก็ต้องตกเป็นของมาร เราก็ต้องรีบหนีหายไปให้ไกล หมดสิทธิ์คิดเรื่องเข้าไปในแดนมารอีก แต่ถ้าเราชนะ มารทั้งหมดก็ต้องล่าถอยกลับแดนมาร ถึงตอนนั้น จุดเชื่อมต่อในทุกๆ ช่องทางย่อมเต็มไปด้วยมารชั้นสูงจำนวนมาก จึงยากมากเช่นกันที่เราจะปะปนเข้าไป ซึ่งถ้าเราแฝงตัวเข้าไปในแดนมารก่อนที่มารรุ่นบุกเบิดจะมาจุติ ไม่นานหลังจากนั้น ทั่วทั้งแดนมารอาจว่างเปล่าชั่วคราวเนื่องจากมีศึกใหญ่ ความเสี่ยงของเราก็จะลดลงถึงจุดต่ำสุด ถ้ามองจากมุมนี้ การออกไปของมารรุ่นบุกเบิก ก็เป็นผลดีต่อการเคลื่อนไหวของเราเป็นอย่างยิ่ง”

ปรมาจารย์สกุลหล่งยิ้มขมขื่นขณะพูด

“ตอนนี้ก็ได้แต่คิดเช่นนี้แล้ว ว่าแต่พี่หล่งเคยพูดเรื่องนี้กับคนของเผ่าวิญญาณหรือยัง” หานลี่ลังเลเล็กน้อยก่อนถาม

“ข้าไม่ค่อยสะดวกที่จะติดต่อกับเผ่าวิญญาณ จึงไม่ทันได้บอกพวกเขา แต่ขอเพียงเราไม่มีปัญหา คิดว่าทางเผ่าวิญญาณก็ไม่มีปัญหาเช่นกัน การมาจุติของมารรุ่นบุกเบิกในครั้งนี้ ผู้ที่พวกเขาคิดต่อกรด้วย ไม่น่าใช่แค่เผ่ามนุษย์และปีศาจ เผ่าอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียงก็น่าจะเป็นเป้าหมาย เช่นนี้ หนทางที่พวกเขาเลือกก็คงคล้ายๆ กับเรา”

 ปรมาจารย์สกุลหล่งพูดอย่างมั่นใจมาก

“เช่นนี้นี่เอง แต่เรื่องนี้มีผู้เกี่ยวข้องไม่น้อย ให้ข้าไตร่ตรองสักสองวัน ค่อยตอบสหายดีไหม” หลังจากคิดอยู่พักหนึ่ง หานลี่ก็พูดอย่างเคร่งขรึม

“แหะๆ ก็ควรเป็นเช่นนั้นล่ะ งั้นอีกสองวันข้าค่อยมาเคาะประตู ฟังคำตอบจากสหายหาน”

ปรมาจารย์สกุลหล่งกลับไม่รู้สึกแปลก พูดเห็นด้วยพร้อมใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

“สองวันให้หลัง ผู้แซ่หานจะให้คำตอบที่แน่นอนกับสหายแน่ แต่ตอนนี้ ผู้น้อยยังอยากทำความเข้าใจถึงความเคลื่อนไหวของฝั่งมารทางด้านของพี่หล่งสักหน่อย ขอพี่หล่งโปรดชี้แนะ”

หานลี่พยักหน้าหงึกๆ แล้วจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“ที่อื่นข้าไม่ค่อยชัดเจน แต่ฐานที่มั่นของตระกูลใหญ่ไม่กี่ตระกูลของเรา แม้ถูกมารโจมตีมาแล้วหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็พยายามรักษาเอาไว้ได้ เป็นเพราะกำลังหลักของพวกมารถูกเมืองราชันศักดิ์สิทธิ์ดึงดูดไปด้วย มิเช่นนั้นตระกูลใหญ่ไม่กี่ตระกูลของเราน่าจะเสี่ยงอันตรายอยู่บ้าง ดูเหมือนผู้บัญชาการมารที่นำทัพไปเมืองราชันศักดิ์สิทธิ์ มีความตั้งใจอย่างแรงกล้ามาก่อนว่าจะโจมตีเมืองราชันศักดิ์สิทธิ์ แล้วค่อยมาทำลายล้างเราและอิทธิพลของเรา ซึ่งราชันศักดิ์สิทธิ์ก็สมกับเป็นผู้ดำรงอยู่สูงสุดของเผ่ามนุษย์เรา มีทั้งการตอบโต้และรักษาเมือง ภายใต้การโจมตีอย่างบ้าคลั่งของกองทัพมาร เพียงแต่มีข้อเสียเล็กๆ อยู่บ้างเท่านั้น อย่างพอเริ่มต้น ตอนที่มารล้อมเมือง…”

ปรมาจารย์สกุลหล่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเล่าเรื่องราวอย่างค่อยเป็นค่อยไป

หานลี่ตั้งใจฟังเป็นอย่างยิ่ง แทรกถามรายละเอียดเป็นระยะ ซึ่งปรมาจารย์สกุลหล่งก็ตอบเท่าที่จะตอบได้ หานลี่จึงพึงพอใจมากเมื่อฟังจบ

แล้วผู้บำเพ็ญเพียรอันดับหนึ่งแห่งสกุลหล่งท่านนี้ก็พูดคุยกับหานลี่อีกสักพัก ค่อยขอตัวลาตามกาลเทศะ

หานลี่ยังคงเดินไปส่งเขาที่ทางเข้าห้องโถงใหญ่ แล้วเหมือนจู่ๆ ก็ถามคร่าวๆ ขึ้นมา

“ตอนที่พี่หล่งได้ข่าวนั้น ผู้อาวุโสเอ๋าเซี่ยวปรากฏตัวที่เกาะศักดิ์สิทธิ์คนเดียวหรือ ได้พาลูกศิษย์ไปบ้างไหม”

“รายละเอียดยิบย่อยข้าก็ไม่ชัดเจนแล้ว แต่ที่แน่ๆ คือผู้อาวุโสเอ๋าเซี่ยวพาคนข้างกายมาคนหนึ่ง ท่าทางเป็นทายาทสายตรง เหตุใดพี่หานจึงถามเช่นนี้เล่า” ปรมาจารย์สกลุหล่งรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยจึงถาม

“ไม่มีอะไรหรอก ผู้น้อยถามไปเช่นนั้นเอง” หานลี่หัวเราะฮาๆ ก่อนตอบคลุมเครือกลับ

ปรมาจารย์สกุลหล่งได้ยิน ดวงตาก็ฉายแววประหลาดใจขึ้นวาบ แต่เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเขา เขาย่อมไม่ถามต่อ พอเดินอีกไม่กี่ก้าว ก็มาถึงระเบียง ค่อยประสานมือหลวมๆ ให้หานลี่ ก่อนกลายเป็นสายรุ้งตื่นตา พุ่งออกจากเจดีย์ศิลาไป

หานลี่ยืนอยู่กับที่ มองดูปรมาจารย์สกุลหลิ่วพุ่งหายไปอย่างไร้ร่องรอย ค่อยเดินกลับห้องโถงใหญ่พร้อมสีหน้าเฉยเมย

ขณะนั้น ชี่หลิงจื่อกับคุณชายไห่ก็เดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ ก่อนแยกกันยืนคนละข้างอีกครั้ง

“อาจารย์ ท่านพบเจอเรื่องลำบากใจอะไร ไม่รู้ว่าศิษย์พอจะช่วยได้ไหม” คุณชายไห่กลอกตาไปมา ยิ้มน้อยๆ พลางถาม

“ถ้าพวกเจ้าช่วยแก้ปัญหาได้ อาจารย์ก็ไม่ต้องลำบากใจแล้ว” หานลี่ชำเลืองมองเขา ไม่ตอบรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ

“ต้องโทษที่ขั้นบำเพ็ญเพียรของเราสองคนอ่อนหัดเกินไป ไม่สามารถแบ่งเบาภาระอะไรของท่านอาจารย์ได้” ชี่หลิงจื่อพูดต่ออย่างละอายใจ

หานลี่ส่ายศีรษะ ก่อนพูดอย่างจริงจัง

“พรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรของพวกเจ้าสองคนนับว่าเป็นหนึ่งในหมื่นแล้ว มิฉะนั้นในระยะเวลาอันสั้น ไม่มีทางฝึกถึงขั้นนี้ได้ เพียงแต่เรื่องนี้สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ล้วนเสี่ยงอันตรายยิ่ง พวกเจ้ายื่นมือเข้าช่วยไม่ได้ ก็เป็นเรื่องปกติ เอาล่ะ เรื่องของอาจารย์ยังไม่ต้องพูดถึง ก่อนอื่นพวกเจ้าเล่าสถานการณ์คร่าวๆ

ในเมืองเทียนหยวนให้ฟังหน่อย มารที่หลงเหลืออยู่เหล่านั้นถูกกำจัดจนหมดสิ้นแล้วหรือ”

 “เรียนอาจารย์ ตั้งแต่ท่านเข้าฌาน พวกผู้อาวุโสกู่ก็เพียงกลับเข้ามาพักในเมืองไม่ทันไร ก็รีบแยกย้ายกันไปดำเนินการ…” ชี่หลิงจื่อรีบเล่าเรื่องใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นทีละเรื่องและการเปลี่ยนแปลงครั้งล่าสุดของเมืองเทียนหยวนให้หานลี่ฟัง

พอชี่หลิงจื่อเล่าเรื่องสุดท้ายซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่จบลง หานลี่ก็เข้าใจเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้พอสมควร แต่คิดๆ ดูก็ไม่แสดงท่าทีอะไร กลับถามถึงเรื่องของปิงเฟิ่ง

“เรียนอาจารย์ หลังจากศึกใหญ่สิ้นสุดลง ป้าปิงเฟิ่งคล้ายตระหนักถึงการบรรลุฌาน จึงเริ่มเข้าฌานเช่นกัน ตามที่อาจารย์ป้าพูด อย่างน้อยก็ไม่กี่เดือน อย่างมากก็หนึ่งปี ถึงจะออกฌานได้” คุณชายไห่รีบตอบ

ได้ยินเช่นนี้ หานลี่ก็แสดงสีหน้าสบายใจออกมา

“อาจารย์ป้าของพวกเจ้ามีสายเลือดพายุวิญญาณอยู่ในตัว สามารถตระหนักถึงอะไรระหว่างทำศึกใหญ่ แปลว่าวาสนาของนางได้มาถึงแล้ว ระยะนี้พวกเจ้าต้องเฝ้าเจดีย์ให้ดี อย่าให้ใครไปรบกวนการรู้แจ้งของนาง”

 “ขอรับอาจารย์”

ชี่หลิงจื่อกับคุณชายไห่ย่อมน้อมรับคำสั่ง

หานลี่พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนกำชับอีก

“เอาล่ะ ข้าต้องการอยู่คนเดียวเงียบๆ พวกเจ้าทั้งสองลงไปก่อนเถิด”

 “ท่านอาจารย์พักผ่อนเถิด ศิษย์ขอตัวก่อน”

ชี่หลิงจื่อกับคุณชายไห่ทำความเคารพ แล้วถอยออกนอกประตูไป

หานลี่พลันนึกอะไรขึ้นได้ จึงกำชับกะทันหัน ขณะศิษย์ทั้งสองถอยถึงประตู

“จริงสิ วันนี้เรื่องสหายหล่งมาเยี่ยม เจ้าสองคนอย่าเพิ่งแพร่งพรายให้คนนอกรู้”

ทั้งสองแอบตกใจวาบ ย่อมขานรับอย่างเคารพนบนอบ

พริบตาเดียว ในห้องโถงใหญ่ก็เหลือหานลี่เพียงลำพัง

เขานั่งนิ่งๆ อยู่บนเก้าอี้ ใช้มือข้างเดียวลูบคางไปมา สองตาหรี่ลงเล็กน้อย เริ่มครุ่นคิดตรึกตรอง สีหน้าท่าทางคลับคล้ายตกอยู่ในภวังค์

…..

หลังจากนั้นราวครึ่งปี บนท้องฟ้าเหนือเทือกเขาที่ทอดยาวติดต่อกันแห่งหนึ่ง มารซึ่งมีไอดำคุกรุ่นตลอดทั้งร่างกลุ่มหนึ่ง กำลังล้อมสังหารมนุษย์บำเพ็ญเพียรเจ็ดถึงแปดคนไม่หยุด

ทั้งสองฝ่ายคล้ายมีพลังและอิทธิฤทธิ์สูสีกัน แต่เพราะการต่อสู้ดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ จึงเห็นเพียงแสงอาคมกะพริบ และเสียงแผดร้องต่อเนื่องดังไม่ขาดสาย

แสงวิญญาณที่ระยะไกลพลันวาบ สายรุ้งตื่นตาห้าสีสายหนึ่งปรากฏ เพียงเสียงแหวกอากาศ สายรุ้งตื่นตาก็มาถึงตรงหน้าอย่างน่าพิศวง

เหล่ามารกับมนุษย์ที่อยู่ด้านล่างต่างตื่นตระหนก ขณะที่ยังไม่รู้ว่าผู้มาเป็นมิตรหรือศัตรู ต่างฝ่ายต่างหยุด

มือไปโดยปริยาย แล้วถอนตัวออกอย่างรวดเร็ว

แต่ขณะนั้น ในสายรุ้งตื่นตาห้าสีกลับมีเสียงหัวเราะใสๆ ของหญิงสาวดังมา

“ในเมื่อให้ข้าพบเห็นแล้ว ก็ช่วยพวกเจ้าอีกแรงเลยแล้วกัน”

สิ้นเสียง สายรุ้งตื่นตาก็ชะงักเล็กน้อยที่ด้านบนของเหล่ามาร เงาร่างแบบบางอันพร่ามัวเงาหนึ่งปรากฏขึ้นทันที พอสองมือโบก แสงห้าสีเป็นพันเป็นหมื่นสายก็พุ่งออก เพียงวาบเดียว ทะลุผ่านร่างมารเหล่านั้นเป็นรูพรุนไปหมด แล้วทยอยกันแหลกสลายเป็นเถ้าธุลีปลิวว่อนอยู่ในแสงสีที่งดงาม

“ขอบคุณผู้อาวุโสเป็นอย่างยิ่ง!”

พอมนุษย์บำเพ็ญเพียรเหล่านั้นเห็นดังนี้ ก็ยินดีปรีดายิ่ง รีบทำความเคารพไปที่ท้องฟ้าพลางกล่าวคำขอบคุณไม่หยุด

แต่เงาร่างนั้น นอกจากส่งเสียงหัวเราะออกมา ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงย่ำเท้า ก็กลายเป็นสายรุ้งตื่นตาห้าสีอีกครั้ง พุ่งแหวกอากาศไป กะพริบเพียงไม่กี่ครั้ง ก็หายวับไปจากท้องฟ้าใกล้เคียง

เหลือก็แต่เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรยืนอยู่กับที่และต่างคนต่างหันมาสบตากัน

หลังจากพูดคุยกันไม่กี่คำ พวกเขาก็รีบพากันออกจากที่นั่น

และพอผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้จากไปไม่นาน ท้องฟ้าพลันแปรปรวน กลับปรากฏเงาคนสองเงาเงียบๆ

หนึ่งในนั้นรูปร่างสูงใหญ่เป็นพิเศษ สวมเกราะสีดำทั้งตัว หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวยิ่ง ส่วนอีกคนกลับเป็นสตรีรูปร่างเพรียวบาง สวมชุดชาววังสีขาว แต่ทั่วทั้งร่างล้วนถูกหมอกวิญญาณสีชมพูบางๆ ปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง อย่างไรก็ไม่มีทางเห็นหน้าชัด

“นายท่าน มนุษย์บำเพ็ญเพียรที่เพิ่งจากไปเมื่อครู่เหล่านั้น จะให้ข้าน้อยลงมือสังหารเลยหรือไม่” แววตาของชายร่างใหญ่เกราะดำดุร้ายวาบ ขณะพูดเสียงดังหึ่งๆ

“ก็แค่พวกมนุษย์บำเพ็ญเพียรชั้นกลางเท่านั้น จะสนใจไปทำไม สิ่งที่เราต้องทำก็คือ ตามหญิงสาวนางนั้นไปติดๆ” สตรีชุดชาววังสีขาวส่ายศีรษะ แล้วพูดอย่างสงบนิ่ง

“แต่ว่านายท่าน เราแอบสะกดรอยนางมานานร่วมปีแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้อะไรเลย เป็นไปได้หรือไม่ว่า คำทำนายก่อนหน้านี้มีบางอย่างผิดพลาด” ชายร่างใหญ่เกราะดำพูดอย่างลังเลใจอยู่บ้าง

สตรีชุดชาววังเหลือบมองชายชุดเกราะสีดำ ก่อนตอบอย่างใจเย็น

“อิทธิฤทธิ์ในการทำนายเช่นนี้หากเกิดความผิดพลาด ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่การร่ายอาคมในครั้งก่อน นับว่าประสบความสำเร็จมาก ช่วงแรกข้าให้ผังแปดทิศนำทาง พอเห็นนาง ก็มั่นใจได้ว่าต้องเป็นคนที่ถูกทำนายไว้บนผังแปดทิศแน่ การตามนางมา น่าจะมีโอกาสพบยาวิญญาณ หรือคนอื่นๆ ซึ่งมียาวิญญาณที่รักษาอาการบาดเจ็บของข้าได้ เช่นนี้อาจมีความหวังมากกว่าการสะเปะสะปะไปในดินแดนมนุษย์อันกว้างใหญ่นี้”

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

Fan Ren Xiu Xian Chuan, Phàm Nhân Tu Tiên, RMJI, 凡人修仙传
Score 8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
เจ้าบื้อที่สอง หานลี่ เด็กหนุ่มธรรมดาสามัญผู้ได้รับวาสนาให้ไปเข้าทดสอบเป็นศิษย์ในสำนักเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทำให้เขาได้รู้จักกับโลกใบใหม่ที่หนุ่มน้อยชนบทอย่างเขาใฝ่ฝันอยากสัมผัสกับมันมาโดยตลอด ในโลกแห่งเซียน เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรต่างฝึกฝนค้นหาเส้นทางเพื่อก้าวเข้าสู่ความเป็นนิรันดร์ ทว่าเส้นทางที่แม้กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรซึ่งมีพรสวรรค์สูงส่งแต่กำเนิดยังต้องผ่านความยากลำบากเท่าไหร่กว่าจะไปถึงจุดนั้น แล้วเด็กหนุ่มปุถุชนเช่นเขาจะทำได้หรือ? ด้วยความสามารถอันธรรมดาสามัญของเขาจะเอาตัวรอดในโลกแห่งเซียนนี้ไปได้อย่างไร? เส้นทางแห่งความสำเร็จช่างอยู่ห่างไกลเสียเหลือเกิน… คัมภีร์วิถีเซียนเป็นนิยายจีนย้อนยุคเล่าเรื่องการเดินทางอันน่าติดตามของหานลี่ ผู้ต้องใช้ทั้งไหวพริบและพลังยุทธ์ในการฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ด้วยตัวคนเดียว มาร่วมเดินทางไปกับหานลี่ ผู้เย้ยฟ้าท้านรกเพื่อแสวงหาเส้นทางแห่งการเป็นเซียนด้วยกันเถอะ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset