“มันย่อมเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว สงครามครั้งนี้พวกข้าจะทุ่มเทสุดกำลัง ถึงไม่กล้าที่จะบอกว่าจะอยู่ร่วมเป็นร่วมตายกับเมืองเทียนหยวน แต่จะไม่มีทางยอมแพ้เป็นอันขาด” ผู้บำเพ็ญเพียรปีศาจชุดดำผู้นั้นเมื่อได้ยินก็แค่นเสียงพูด
ผู้อาวุโสทั้งสองเผ่าพันธุ์คนอื่นที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้นพากันพยักหน้า ต่างก็รู้สึกหนักแน่นขึ้นมาอย่างมากในทันใด
ชายชราผมสีเงินเมื่อเห็นเช่นนั้น ก็พยักหน้าด้วยความพอใจ แล้วหันหน้าไปพูดกลับหานลี่เบาๆ
เมื่อหานลี่ได้ยิน ก็ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ แล้วพยักหน้าเบาๆ
ชายชราผมสีเงินปรบมือหนึ่งทีด้วยความยินดี ทันใดนั้นก็มีองครักษ์ในชุดเกราะสีทองเงินผู้หนึ่งบินมาจากด้านล่างของหอคอยโตวหยวน เมื่อแสงดับลง ก็ปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางฝูงชน จากนั้นก็แสดงคารวะไปยังผู้เฒ่า
“เจ้ารีบนำทางสหายหานไปเดี๋ยวนี้ แล้วก็ดำเนินการทั้งหมดตามที่วางแผนไว้แต่แรก อย่าได้เกิดข้อผิดพลาดแม้แต่เพียงนิด!” ผู้เฒ่าออกคำสั่งเสียงเคร่ง
“ขอรับ ผู้อาวุโสหาน ได้โปรดตามผู้น้อยมา” องครักษ์ผู้นั้นตอบรับ แล้วพูดกับหานลี่ด้วยท่าทียำเกรง
หานลี่ไม่ได้พูดอะไร แต่ร่างกายพลิ้วไหวเป็นแสงสีเขียว กลายร่างเป็นสายรุ้งบินพุ่งไปยังด้านล่าง
องครักษ์เกราะทองรีบบินตามไป เพียงครู่เดียวก็แซงขึ้นไปด้านหน้าพาหานลี่บินไปจากตำหนัก มาถึงยังหอรบที่จัดวางป้องกันอย่างหนาแน่นไม่ไกลจากกำแพงเมืองด้านล่าง
ในห้องโถงชั้นหนึ่งของหอรบ มีผู้บำเพ็ญเพียรชายรูปร่างสูงต่ำแตกต่างกันสามสิบหกคน นั่งขัดสมาธิรายล้อมอยู่รอบเขตอาคมขนาดยักษ์ที่ประทับอยู่บนพื้นอันหนึ่ง
ชายเหล่านี้ต่างสวมชุดสีน้ำเงินเหมือนกันทั้งหมด ดูอายุราวๆ สามสี่สิบปี แต่ผิวกายเพลงแสงสีเขียวมรกตซึมแทรกออกมาอยู่รำไร แค่ดูก็รู้ว่าฝึกฝนเคล็ดวิชาประหลาดที่เหมือนกันบางอย่าง จึงได้เผยให้เห็นเค้าลางเช่นนี้
แต่ถ้าว่าระดับการบำเพ็ญเพียรของชายเหล่านี้ไม่นับว่าสูงมากนัก ล้วนแต่อยู่ในระดับเทพแปลงเท่านั้น
ดวงจิตหานลี่สำรวจไปบนร่างของพวกเขา แล้วย่นคิ้วโดยไม่รู้ตัว
ลมปราณของพวกเขาเหล่านี้ไม่มั่นคงอย่างมาก เห็นได้อย่างชัดเจนว่าระดับการบำเพ็ญเพียรในตอนนี้มิใช่มาจากการฝึกฝนอย่างหนักหน่วง แต่ได้ใช้วิธีการบางอย่างเพื่อเพิ่มระดับขึ้นมา
“คารวะท่านผู้อาวุโส!”
เมื่อเห็นหานลี่และองครักษ์เกราะทองระดับหลอมสุญตาเข้ามา ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านั้นต่างก็ลุกขึ้นเข้ามาคำนับ สีหน้าดูเยือกเย็น
“ท่านผู้นี้คือท่านผู้อาวุโสหาน คือผู้ที่มาช่วยการศึกครั้งใหญ่นี้ของพวกเจ้า นับแต่นี้ไปทุกที่ความเคลื่อนไหว ต้องทำตามผู้อาวุโสหาน พวกเจ้าเข้ามาคารวะกัน” องครักษ์เกราะทองผู้นั้นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งครัด
“องครักษ์ทั้งสามสิบหกแห่งชิงอวิ๋น คารวะท่านผู้อาวุโสหัน!”
ชายในชุดสีน้ำเงินดูท่าทางเหมือนจะรู้ข่าวบ้างแต่แรกแล้ว เมื่อได้ยินจึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจ
“พวกเจ้าลุกขึ้นเถอะ ได้ยินว่าพวกเจ้าร่วมมือกันจัดวางเขตอาคมใหญ่อันหนึ่ง ถึงแม้ว่าพญามารจะถูกขังไว้ภายใน ก็ไม่อาจจะทำลายได้ในทันที เรื่องนี้เป็นจริงหรือ” หานลี่เมื่อกวาดสายตามองผู้บำเพ็ญเพียรชายเหล่านั้นแล้ว ก็ถามขึ้นช้าๆ
“เรียนท่านผู้อาวุโส นับแต่พวกข้าย่างเข้าสู่วิถีแห่งการบำเพ็ญเพียร ก็ฝึกฝนอย่างยากลำบากมาโดยตลอดเพื่อเขตอาคมอันเดียวกัน ไม่อาจบอกได้ว่าทั้งสามสิบหกคนประสานเป็นหนึ่ง แต่ด้วยความร่วมมือกัน ในการควบคุมเขตอาคมนี้เอาไปที่ใช้เป็นน้ำเงินบริสุทธิ์อย่างแท้จริง ไม่มีช่องโหว่ใดๆ เขตอาคมแสงแก้วเที่ยงแท้น้ำเงินอันนี้ถือเป็นเขตอาคมลับหนึ่งแต่โบราณ แม้พลังในการสังหารอาจจะไม่โดดเด่น แต่สามารถกักขังศัตรูได้อย่างน่ามหัศจรรย์ รับมือกับพญามารทั่วไปคงไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน” ผู้บำเพ็ญเพียรในชุดสีน้ำเงินที่เป็นหัวหน้าพูดขึ้นอย่างสัตย์ซื่อ
“ดีมาก หากเป็นเช่นนี้ ข้าก็วางใจได้แล้ว เดี๋ยวตอนที่เริ่มเคลื่อนไหว พวกเจ้าฟังคำสั่งของข้าก็พอ” หานลี่พยักหน้า เผยให้เห็นความยินดี
ผู้บำเพ็ญเพียรทางสามสิบหกคน ตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน
เวลานี้ด้านล่าง หานลี่ไม่ได้ไปยังที่ใดอีก เขานั่งขัดสมาธิลงตรงกลางเขตอาคมขนาดยักษ์ กำลังรออะไรบางอย่างอยู่ด้วยสีหน้าสงบนิ่งไร้อารมณ์
และองครักษ์เกราะทองที่นำทางมาผู้นั้น ก็ถอยออกไปยังด้านนอกโถงเงียบๆ
ทั่วทั้งหอถึงแม้จะถูกปกปิดไว้อยู่ชั้นหนึ่ง แต่ไม่นานก็ยังได้ยินเสียงคำรามร้องของอสูรราวกับคลื่นทะเลยักษ์อยู่รำไรดังขึ้นมาทันใด
ตามด้วยเสียงดังกึกก้อง คลื่นจำนวนนับไม่ถ้วนแผ่ออกไปทั่วทุกด้านจากเมืองเทียนหยวน เมื่อหอถูกคลื่นกระทบ พื้นดินถึงกับกระเพื่อมไหวขึ้นมาเบาๆ
เห็นได้ชัดว่ากองทัพใหญ่อสูรมารได้เริ่มทำการจู่โจมแล้ว และองครักษ์ทั้งสองเผ่าบนกำแพงเมืองก็เริ่มโจมตีกลับอย่างสุดความสามารถ
สงครามครั้งใหญ่เปิดฉากขึ้นแล้ว
ผู้บำเพ็ญเพียรชายในชุดสีน้ำเงินทั้งสามสิบหกคน ต่างก็หลับตาลงนิ่งไม่ไหวติง ราวกับไม่เห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
หานลี่เห็นเช่นนี้ ก็เลื่อนสายตา ดวงจิตขนาดใหญ่ชั่วพริบตาก็ทะลุผ่านเขตจำกัดออกไป มองดูสภาพเหตุการณ์ด้านนอกทั้งหมด
ด้วยความเข้มแข็งของดวงจิตหานลี่ในตอนนี้ หากไม่ถูกก่อกวน จะแผ่ขยายครอบคลุมอาณาเขตนับหมื่นลี้เป็นเรื่องง่ายดาย แต่ตอนนี้เขตกักกันเขตอาคมต่างๆ ของเมืองเทียนหยวนถูกกระตุ้นทั้งหมด บนสนามรบเต็มไปด้วยกระแสคลื่นเคลื่อนไหวไปมาทั่วท้องฟ้า จึงทำให้ขอบเขตการตอบสนองถูกจำกัด สามารถรับรู้ได้เพียงพื้นที่อาณาเขตเพียงร้อยกว่าลี้เท่านั้น
แต่พื้นที่เพียงนี้ ก็เพียงพอที่เขาจะเข้าใจสภาพคร่าวๆ ของสงครามที่ปะทุขึ้นได้แล้ว
ด้วยการรับรู้ของหานลี่ ไม่เพียงแต่พบว่ากองทัพใหญ่อสูรมารกำลังถาโถมเข้ามาโจมตีอย่างไม่ขาดสายราวกับกระแสน้ำเท่านั้น อสูรมารชั้นสูงเหล่านั้นเองกำลังแผ่จิตไปยังแนวหน้า ระดับการบำเพ็ญเพียรของอสูรมารเหล่านี้ต่ำสุดก็ยังอยู่ในระดับหลอมสุญตา มีบางตัวไปถึงขั้นระดับเทพแปลงช่วงต้น ภายใต้การบัญชาการของพวกมัน ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับอสูรมารธรรมดาลดลงไปอย่างมาก
และยอดอสูรมารเหล่านั้นเมื่ออาศัยอสูรมารชั้นต่ำคอยกำบังก็เจ้าเล่ห์ขึ้นอย่างมาก รู้จักที่จะจับกลุ่มกันสี่ห้าตัวอย่างคาดไม่ถึง คอยหมุนเวียนกำลังซึ่งกันและกันเพื่อโจมตี
เมื่อเป็นเช่นนี้ ความเสียหายที่ทางฝ่ายเมืองเทียนหยวนสร้างให้กับพวกมันจึงน้อยมาก
บนกำแพงเมืองที่ไกลสุดลูกหูลูกตา วิญญาณจำนวนมากมายเทลงมาราวกับพายุฝน หนำซ้ำยังมีเขตอาคมหลายอันที่คอยส่องแสงกะพริบอยู่เป็นพักๆ เหนือกำแพงเมือง วิชาเวทขนานใหญ่แต่ละอย่างพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า กระหน่ำพุ่งไปตรงกลางที่ซึ่งอสูรมารรวมตัวกันหนาแน่น
ระดับในการโต้ตอบบนกำแพงเมืองเทียนหยวน เทียบกับการรบหยั่งเชิงของเผ่าพันธุ์มารก่อนหน้านี้เห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งกว่าไม่เพียงแค่เท่าตัว
เพียงแต่จำนวนอสูรมารมากเสียเหลือเกิน อีกทั้งจำนวนไม่น้อยยังเป็นพวกตัวโตหนังหนา ต่อให้โจมตีติดกันอย่างต่อเนื่อง จนทำให้เป็นบาดแผลไปทั่วทั้งตัว ก็ยังดื้อด้านบุกโจมตีเขตจำกัดนอกกำแพงเมืองอยู่ไม่หยุดหย่อน
ด้านล่างกำแพงเมืองชั่วขณะหนึ่งก็เกลื่อนไปด้วยซากอสูรมารหนาเป็นชั้น ยังคงดิ้นรนต่อสู้ไม่ยอมตาย
เมื่อเห็นอสูรมารจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เข้ามาประชิดเขตจำกัด ม่านแสงป้องกันเมืองเทียนหยวนในที่สุดก็ค่อยๆ เปล่งแสงอย่างคลุ้มคลั่งไม่หยุด
แต่ไม่ว่าจะชายหนุ่มในชุดคลุมสีเลือดบนเกวียนอสูรกลางกองทัพใหญ่เผ่ามาร หรือจะเป็นพวกชายชราผมสีเงินที่กำลังดูฉากรบจากตำหนักลอยฟ้า กลับไม่ได้แสดงสีหน้าอาการใดๆ ต่อเรื่องนี้
เพียงแต่เมื่อม่านแสงบนกำแพงเมืองส่งเสียงแตกร้าวกังวาน รอยร้าวปรากฏขึ้นพร้อมกับเสียงนั้น ชายชราผมสีเงินจึงสีหน้าบึ้งตึงขึ้นมา แล้วออกคำสั่งกับเข็มทิศค่ายกลในมือด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง
“เริ่มใช้เขตอาคม สั่งใช้ยอดสมบัติทั้งสี่แห่งทางช้างเผือกโดยไม่ต้องเสียดายศิลาวิญญาณ!”
ผู้บำเพ็ญเพียรหน้าที่สื่อสารสองสามคนซึ่งรอคำสั่งอยู่นานแล้วที่เข็มทิศค่ายกล ก็กระจายคำสั่งเดียวกันออกไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ชั่วขณะเดียวเงาร่างบนแท่นบูชาสีขาวดั่งหยกเหล่านั้นก็วูบไหว แต่ละแท่นมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงปรากฏตัวขึ้นกลางเขตอาคม
ยกมือขึ้นร่ายอาคมจำนวนหนึ่ง แท่นบูชาทั้งหมดก็เริ่มส่งเสียงหวีดต่ำ เวลาเดียวกันปากของผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ก็เริ่มร่ายคาถา พร้อมกันนั้นก็ใช้นิ้วมือจิ้มไปยังสมบัติวิเศษที่หนักอึ้งบนแท่นบูชา
วินาทีต่อมาสมบัติทั้งสี่คือ น้ำเต้า ฉากบังตา กระบี่บิน บาตรก็ส่งเสียงแหลมขึ้นมาพร้อมกัน ทันใดนั้นกลางเขตอาคมก็เกิดแสงหลากสีส่องกะพริบอยู่ไม่หยุด พลังวิญญาณระดับสูงสุดน่าเกรงขามลูกหนึ่งพุ่งออกมาจากตรงกลาง โหมซัดไปยังสมบัติวิเศษทั้งสี่ชิ้นราวกับกระแสน้ำ
ผิวนอกของสมบัติวิเศษทั้งสี่เปล่งแสงวิญญาณรำไรไหลวนไปมาไม่หยุด จากนั้นเพียงครู่เดียวก็ทยอยกันลอยขึ้น ขนาดของพวกมันยืดหดขยายอยู่ไม่หยุด แสดงพลานุภาพออกมาตามๆ กัน
เมื่อเห็นบาตรสีน้ำเงินและน้ำเต้าสีดำสนิทหมุนเคว้งอยู่กลางอากาศ ทันใดนั้นก็หมุนทวนกลับ จากนั้นวัตถุแต่ละอย่างก็พ่นเกล็ดทรายสีน้ำเงินและของเหลวประหลาดสีดำทำเงินออกมา
เกล็ดทรายสีน้ำเงินตลาดกระจายไปยังด้านล่าง แต่ละเม็ดทันทีที่เลือนราง ก็กลายจำนวนเป็นร้อย จากร้อยเป็นหมื่น ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นกลุ่มก้อนเมฆทรายสีน้ำเงินไกลสุดลูกหูลูกตา เทลงมาอย่างทรงอานุภาพ เพียงช่วงเวลาเดียวอสูรจำนวนนับหมื่นก็ถูกมันทับถมจมมิด
เกร็ดทรายจำนวนนับไม่ถ้วนท่ามกลางเมฆทรายม้วนตัวลงมา อสูรงานเหล่านี้รู้สึกราวกับทั่วทั้งตัวถูกของมีคมจำนวนนับไม่ถ้วนเฉือน ชั่วพริบตาเดียวก็ถูกเมฆทรายบดขยี้กลายเป็นเศษชิ้นเนื้อ แม้แต่วิญญาณก็ยังหนีไม่พ้น ไม่เหลือโอกาสที่จะมีชีวิตรอดอยู่บนโลกแม้เพียงเศษเสี้ยว
สำหรับของเหลวประหลาดสีดำที่พวยพุ่งออกมาจากในน้ำเต้า ในวินาทีที่พ่นออกมา ก็กลายเป็นน้ำตกจากฟากฟ้า
น้ำสีดำที่ม้วนตัวเทลงมากระแทกลงกลางฝูงอสูร ทุกที่ที่ไหลผ่าน อสูรมารจำนวนนับพันต่างหลอมละลายท่ามกลางเสียงกรีดร้อง ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นสีดำทั้งแถบ
น้ำสีดำนี้มีพิษรุนแรงหาที่เปรียบมิได้ อสูรมารทั่วไปไม่มีทางที่จะมีชีวิตรอดได้แม้เพียงเสี้ยวนาที
อีกด้านหนึ่ง กระบี่บินเงินเล่มนั้นยังขยายอยู่ไม่ ชั่วครู่เดียวก็กลายเป็นคมกระบี่สูงเสียดฟ้านับพันจั้ง จากนั้นก็ส่งเสียงกึกก้อง แล้วเลือนรางปริแตก
เงากระบี่สีเงินจำนวนนับพันเล่มปรากฏอยู่เหนือท้องฟ้าบนอสูรมาร ส่งเสียงหวีดแหลมเสียดหู จากนั้นก็กลายเป็นเหมือนกับภูเขากระบี่สีเงินเริ่มไล่ล่าสังหารฝูงอสูรเป็นการใหญ่
ทุกที่ซึ่งเงากระบี่สีเงินที่ได้กลายสภาพเป็นคลื่นลูกยักษ์เคลื่อนผ่าน อสูรมารทั้งหมดล้วนแต่ถูกฟาดฟันกลายเป็นเศษชิ้นเนื้อจำนวนนับไม่ถ้วนในฉับเดียว ไม่มีทางที่จะต้านทานได้
กว่าครึ่งของฝูงอสูรทั่วทุกแห่งเลือดเนื้อสาดกระเซ็นเป็นราวกับพายุฝน
สำหรับฉากบังตาสีขาวขุ่นนั้น กลับดูสงบนิ่ง เพียงแต่ขยายตัวจนใหญ่เป็นพื้นที่นับไร่ แล้วกดทับลงไปบนฝูงอสูรเหล่านั้นอย่างเงียบกริบ
ที่น่าประหลาดก็คือ เมื่อฉากบังตานั้นลอยขึ้นสู่ฟ้าอีกครั้ง อสูรที่ถูกสมบัติพิเศษสีขาวกดทับกลับหายไปไร้ร่องรอย ไม่รู้เป็นหรือตาย
ฉากบังตาเพียงแต่ส่องกะพริบท่ามกลางการพุ่งชนเข้ามาของฝูงสองสามครั้ง ก็มีอสูรมารจำนวนนับพันถูกดูดกลืนเข้าไปในแสงสีขาวนั้นหายวับไปกับตา
ทำให้อสูรมารที่อยู่ใกล้เคียงนั้นตื่นตระหนกจนกรูกันถอย ไม่กล้าขยับคืบหน้าแม้เพียงก้าว
สมบัติทั้งสี่ในวันนี้นั้นปรากฏขึ้นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็มีอสูรมารจำนวนนับแสงถูกสังหารไปจนราบเตียน พลานุภาพอันยิ่งใหญ่ทำให้ถึงกับตกตะลึงตาค้าง
แต่การปรากฏตัวของสมบัติพิเศษเหล่านี้ ก็ทำให้ระดับสูงของพันธุ์มารอยู่ไม่สงบ
ส่งเสียงคำรามร้องอย่างกราดเกรี้ยวขึ้นทันที เมฆสีดำลูกหนึ่ง และพายุประหลาดสีเหลืองอีกลูกหนึ่ง รวมไปถึงรุ้งสีเลือดสองแถบส่องแสงวาบแล้วดับไปลอยพุ่งออกมา จู่โจมพุ่งตรงไปยังสมบัติพิเศษทั้งปี
หานลี่เมื่อเห็นเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยน เขาดึงดวงจิตกลับ
ทั้งหมดที่อยู่ด้านล่าง ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องใช้จิตสัมผัสเพื่อไปตรวจดูแม้แต่น้อย สมบัติวิเศษทั้งสี่แห่งทางช้างเผือกนั้นมีพลังแก่กล้าก็จริง แต่คงต้องถูกฝ่ายเผ่าพันธุ์มารหาวิธีพิชิตได้ สิ่งที่เกิดขึ้นด้านล่างเป็นเพียงการประลองความสามารถที่แท้จริงของทั้งสองฝ่ายเท่านั้น
ในตอนแรก ระดับสูงของทั้งสองฝ่ายย่อมไม่ประมือกันในทันที คงจะรอให้อสูรมาจำนวนหนึ่งและเขตจำกัดของเมื่องอี่เทียนของอีกฝ่ายถูกทำลายจนสิ้นซากเสียก่อน จึงจะเป็นการปะทะศึกของระดับสูงอย่างแท้จริง
ในเวลานี้ เขาเพียงแค่ต้องบำเพ็ญเพียรรอเท่านั้น
เมื่อถึงเวลานั้นหากต้องเผชิญกับร่างแยกของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงจะต้องไม่ปล่อยให้เขาจากที่นี่ไปได้ทั้งที่ยังมีชีวิตแน่
หานลี่คิดด้วยใจกลัดกลุ้ม