ออกจากเส้นทางที่ปูด้วยอิฐไปแค่ยี่สิบสามสิบจั้ง เซี่ยเหลียนและบรรพชนลี่ว์สือก็พบอันใดพร้อมกับหน้าที่เปลี่ยนสี
ทั้งสี่คนเปล่งแสงสว่างวาบผ่านหอคอยหินไป หลังจากบินไปได้สองร้อยจั้ง เบื้องหน้าทัศนวิสัยกว้างขวาง หลุมลึกขนาดยักษ์เจ็ดแปดจั้งปรากฏขึ้นตรงหน้า
หอคอยหินที่อยู่รอบๆ หลุมยักษ์ล้มระเนระนาดจนเหลือเพียงครั้งเดียวไปเจ็ดแปดหลัง พื้นดินรอบด้านมีร่องรอยกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนตัดสลับไปมาอยู่ คาดไม่ถึงว่าจะดูเหมือนว่าเพิ่งเกิดสงครามดุเดือดขึ้นเมื่อไม่นานก็ไม่ปาน
ใจกลางของหลุมยักษ์กลับมีซากศพแมลงสีดำเกรียมนอนอยู่ ดูจากขนาดตัวแล้ว เหลือเพียงแค่ครึ่งตัวเท่านั้น
แต่แม้ว่าแมลงตัวนี้จะมีแขนขาไม่ครบ แต่หน้าตาโหดเหี้ยมที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ยังทำให้เซี่ยเหลียนและบรรพชนลี่ว์สือและพวกต่างสูดลมหายใจอันเย็นยะเยือกเข้าไป
รูปร่างของแมลงตัวนี้ไม่ต่างอันใดกับแมลงพิษทั่วไป ผิวเกราะมีลำแสงเป็นมันวาวปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง แต่ตรงลำคอยาวบางกลับมีศีรษะของบุรุษหน้าตาอัปลักษณ์ยิ่ง แม้จะเหลือเพียงครึ่งหนึ่ง แต่เครื่องหน้าทั้งห้ายังอยู่ครบครัน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเรือนผมสีเขียวยุ่งเหยิงราวกับวัชพืช
ซากแมลงตัวนี้หมอบลงอยู่กับพื้นนิ่งไม่ขยับ รอบด้านไม่มีคราบโลหิตเลยสักนิด เห็นได้ชัดว่าตายมานานเท่าไหร่ก็สุดจะรู้ได้
“นี่ก็คือชนรุ่นหลังที่แท้จริงของมารดาแมลง ดูแล้วน่าขยะแขยงยิ่ง!” เซี่ยเหลียนมองซากแมลง หน้าซีดขาวเล็กน้อยขณะเอ่ย
“หึ น่าจะไม่ผิด ข้าเองก็คิดไม่ถึง คาดไม่ถึงว่าแมลงพิษเหล่านี้จะมีหน้าตาเช่นนี้ เกรงว่าหน้าตาของมารดาแมลงคงจะน่ากลัวยิ่งกว่าแน่ สหายหานคิดเช่นนั้นหรือไม่” บรรพชนลี่ว์สือแค่นเสียงอย่างเย็นชา กลับหันหน้าไปเอ่ยถามหานลี่
“ก็อาจจะกระมัง ก่อนที่จะเห็นมารดาแมลงด้วยตาของตนเอง ผู้แซ่หานก็ไม่อยากตัดสินอันใดทั้งนั้น” หานลี่ฉีกยิ้มราบเรียบ สะบัดแขนเสื้อไปทางหลุมยักษ์ทันที
เสียง “ปัง” ดังขึ้น พลังไร้รูปร่างถูกกระตุ้น ซากแมลงที่หมอบอยู่พลันกลิ้งหลุนๆ คาดไม่ถึงว่าจะส่วนท้องจะหงายชี้ฟ้า
เซี่ยเหลียนพลันจ้องเขม็งมองไป ใบหน้าเรียวเปลี่ยนสีไปอีกครั้ง
เห็นเพียงตรงส่วนท้องมีแขนขาที่ไม่สมบูรณ์สิบกว่าขางอกออกมา หนึ่งในนั้นแหลมคมยิ่งเต็มไปด้วยขนแข็งๆ สีดำ เหมือนกับเผ่าแมลงไม่มีผิดเพี้ยน
อีกขากลับมีผิวขาวเนียน คาดไม่ถึงว่าจะคล้ายคลึงกับมนุษย์ทั่วๆ ไป ทว่าตรงปลายไม่ได้มีนิ้วทั้งห้า แต่แบ่งออกเป็นนิ้วหนาๆ สามนิ้ว
บรรพชนลี่ว์สือเห็นทุกอย่างนี้ ใบหน้ากระตุกเล็กน้อย ยกมือข้างหนึ่งขึ้น
เสียงอึกทึกดังขึ้น!
ชั่วขณะนั้นลูกบอลเพลิงสีฟ้าพลันปรากฏขึ้นตรงใจกลางฝ่ามือ นิ้วทั้งห้างอเข้ามาเล็กน้อย กลายเป็นเปลวเพลิงบินไปที่ซากแมลง
ผิวของลูกบอลเพลิงไม่มีอุณหภูมิเลยสักนิด แต่บรรยากาศรอบด้านกลับเลือนราง เห็นได้ชัดว่าเปลวเพลิงสีฟ้ามีอานุภาพมหาศาล ไม่ใช่สิ่งที่เพลิงเที่ยงแท้ธรรมดาๆ จะเทียบเทียมได้
เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น เมื่อลูกบอลเพลิงสัมผัสกับซากแมลงก็กลายเป็นเปลวเพลิงลุกโชนเผาไหม้
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ บรรพชนลี่ว์สือก็ใช้มือหนึ่งร่ายอาคม ชี้ไปยังซากแมลงแล้วชี้ไปกลางอากาศ
เสียงอึกทึกดังขึ้นชั่วพริบตานั้นเปลวเพลิงสีฟ้าพลันล่าถอยหายไป เผยซากแมลงที่อยู่ด้านข้างออกมาอีกครั้ง
ซากนี้นอกจากดำกว่าตอนแรก ผิวก็ไม่มีความเปลี่ยนแปลงมากนัก ท่าทางไม่ได้ถูกหลอมละลายจริงๆ
บรรพชนลี่ว์สือใจหายวาบสีหน้าเคร่งขรึม
ใบหน้าของเซี่ยเหลียนยิ่งดูไม่ได้
นอกจากแววตาของนักพรตเซี่ยจะเปล่งแสงวาววับ ใบหน้าก็ยังคงไร้ความรู้สึก
“น่าสนใจ ให้ผู้แซ่หานลองสักครั้ง!” หานลี่กลับหัวเราะน้อยๆ ออกมา
สิ้นเสียงพลันยกแขนข้างหนึ่งขึ้น นิ้วทั้งสามมีเสียงดีดตัวอันไพเราะราวกับทองคำดังออกมา
เสียงแหวกอากาศพลันดังขึ้น!
กระบี่ลำแสงสีเขียวสามสายรวมตัวกันเป็นพวนแล้วพุ่งออกมาจากปลายนิ้ว ม้วนวนแล้วสับลงมาที่ร่างของซากแมลง
เสียง “ปังๆ” สามเสียงที่คล้ายคลึงกันดังขึ้น กระบี่ลำแสงสามสายอยู่บนตัวซากแมลงแต่ผลกลับแตกต่างกัน
กระบี่ลำแสงสายหนึ่งสับลงมาด้านบน ลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งออกมา
สายที่สองสับเกราะซากแมลงออก
กระบี่ลำแสงสายที่สามเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป ซากแมลงกลับแบ่งออกเป็นสองส่วนจากตรงใจกลาง
เห็นสถานการณ์เช่นนี้แววตาของเซี่ยเหลียนและลี่ว์สือก็อดที่จะฉายแววประหลาดใจไม่ได้
หานลี่ใช้มือลูบใต้คางกลับเผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา
เซี่ยเหลียนลังเลเล็กน้อย แล้วเอ่ยปากถามตรงๆ
“พี่หานอานุภาพของกระบี่ลำแสงสามสายเมื่อครู่ไม่เหมือนกัน มิเช่นนั้นจะมีผลเช่นนี้ได้อย่างไร”
“อานุภาพของพวกมันไม่เหมือนกัน! กระบี่ลำแสงสายแรกแฝงพลังปราณของข้าแค่ห้าส่วน กระบี่ลำแสงสายที่สองแฝงไว้ด้วยพลังปราณสิบส่วน ส่วนกระบี่ลำแสงสายที่สาม ข้าน้อยเชื่อมโยงจิตใจเข้าไปในกระบี่บิน และหลอมรวมเข้าไปในกระบี่ลำแสง แค่ดาบเดียวก็ได้ผลดังคาด” หานลี่ตอบกลับอย่างราบเรียบ ดูเหมือนว่าจะไม่มีเจตนาจะปกปิดเลยสักนิด
เซี่ยเหลียนและลี่ว์สือย่อมไม่รู้ นอกจากกระบี่ลำแสงที่ผสมเข้าไปในกระบี่ไผ่เขียวตัวต่อเมฆาตามที่หานลี่พูดทีหลัง พลังปราณที่บรรจุไปในกระบี่ลำแสงสองสายก่อนหน้ากลับขึ้นอยู่กับปริมาณพลังปราณของผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายานธรรมดาๆ
จากเขาที่มีพลังระดับมหายานเหนือกว่าคนธรรมดาๆ นั้นกระบี่ลำแสงสายแรกย่อมบรรจุพลังปราณไปแค่สองส่วน กระบี่ลำแสงที่สองก็บรรจุพลังปราณไปแค่สี่ห้าส่วนเท่านั้น
แต่เช่นนั้นความแข็งแกร่งของกายเนื้อของซากแมลงก็ทำให้เซี่ยเหลียนและบรรพชนลี่ว์สือตกตะลึง
“แมลงตัวนี้ไม่เพียงไม่กลัวเปลวเพลิงเที่ยงแท้ของสหายลี่ว์สือ คาดไม่ถึงว่าแม้แต่กระบี่ลำแสงของสหายหานก็ต้านทานได้กว่าครึ่ง ดูแล้วชนรุ่นหลังของมารดาแมลงคงจะน่ากลัวว่าที่จินตนาการไว้หลายส่วน หากพบเข้า สหายทั้งสามจะมีแผนต่อกรอย่างไรหรือ?” ใบหน้าเรียวของเซี่ยเหลียนเคร่งขรึมไม่แน่นอนเปลี่ยนสีไปชั่วครู่ ถึงได้เอ่ยถามด้วยความหวาดกลัว
“มีอันใดต้องกลัว ไม่ใช่ว่าจะสังหารแมลงตัวนี้ไม่ได้ หากพบจริงๆ พวกเราต่างก็สำแดงอิทธิฤทธิ์ก็ได้แล้ว ตาเฒ่าไม่เชื่อว่าหากพวกเราสี่คนร่วมมือกัน จะต่อกรแมลงเพียงตัวเดียวไม่ได้” บรรพชนลี่ว์สือพลันหัวเราะอย่างเย็นชาขณะเอ่ยตอบ
“หากแค่ตัวสองตัวย่อมไม่มีค่าอันใด แต่หากพบเจ็ดแปดตัว สิบกว่าตัว แม้กระทั่งมากกว่านั้น สหายลี่ว์สือจะมั่นใจได้อย่างไร!” เซี่ยเหลียนถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
“สิบกว่าตัว? มันเป็นไปไม่ได้หรอกกระมัง!” เดิมที่บรรพชนลี่ว์สือแสร้งทำเป็นไม่แยแส พลันมีสีหน้าเคร่งขรึม
“หึๆ โอกาสที่จะพบมันไม่มากนัก มารดาแมลงจะมีพลังสร้างชนรุ่นหลังที่แข็งแกร่งจำนวนมากเช่นนี้ได้ เกรงว่าคงทะลวงผนึกโบราณออกมาตั้งนานแล้ว จะถูกผนึกอยู่ตั้งหลายปีได้อย่างไร” หลังจากที่หานลี่ขบคิดก็สั่นศีรษะขณะเอ่ย
“หวังว่าจะเหมือนกับที่สหายทั้งสองคาดการไว้ มิเช่นนั้นแมลงเหล่านี้คงเป็นปัญหาใหญ่ ดูจากสถานการณ์แล้วตัวนี้น่าจะเป็นตัวที่ตายจากการโจมตีของสหายที่เข้ามาในวังธรณีครั้งที่แล้ว แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงจากไปในทันที ดูเหมือนว่าจะจากไปอย่างรีบร้อน ไม่รู้ว่าตรงหน้าจะมีแมลงพิษจำนวนมากกว่าเดิมหรือไม่” เซี่ยเหลียนได้ยินก็ทำได้เพียงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“ไม่ว่าอย่างไร พวกเราก็มาถึงที่นี่แล้ว ย่อมไม่อาจถอยหลังได้ พวกเราก็เสียเวลาอยู่ที่นี่ไม่น้อยแล้ว เดินทางต่อเถิด หากเป็นเพราะพวกเรา แล้วพลาดเรื่องของสหายเป่าฮวาได้ นั่นถึงจะซวยที่สุด” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบสองสามประโยคแล้วหันกายลอยตัวไป
การทดลองว่าแมลงตัวนี้ไม่ได้สร้างความน่ากลัวให้เขานัก เขาย่อมไม่ใส่ใจอันใดอีก
นักพรตเซี่ยตามมาติดๆ โดยไม่ปริปาก
เซี่ยเหลียนและลี่ว์สือเห็นหานลี่เดินไปเช่นนั้นก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้
แต่หลังจากที่พวกเขามองสบตากันแวบหนึ่งก็รู้สึกว่าสิ่งที่หานลี่พูดมีเหตุผล และตามไปด้วยสีหน้าหลากหลาย
ในบรรดาระดับมหายานสี่คน นักพรตเซี่ยล้วนฟังคำสั่งของหานลี่ ประกอบกับเมื่อครู่หานลี่สำแดงพลังจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆ
ดังนั้นแม้ว่าเซี่ยเหลียนและลี่ว์สือจะมีความคิดอื่น แต่ต่อหน้าก็ทำได้เพียงให้หานลี่เป็นผู้นำ
ไม่นานนักทั้งสี่คนก็กลับมาที่ทางเล็กๆ สายเดิม และเคลื่อนตัวไปข้างหน้าตามเส้นทางในแผนที่
ครั้งนี้หานลี่และพวกผ่านเขตแดนวังธรณีสองสามเขตในรวดเดียว กลับไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น และไม่เห็นร่องรอยของแมลงพิษตัวอื่น
นี่จึงทำให้เซี่ยเหลียนและลี่ว์สือรู้สึกผ่อนคลายลง
แม้ว่าพวกเขาจะเป็นสิ่งมีชีวิตระดับมหายานทั้งหมด แต่ก็ไม่อยากต้านทานกับแมลงพิษก่อนหน้า
ยามนี้ทั้งสี่คนมาอยู่ในสวนดอกไม้ที่กว้างขวาง สองฝั่งล้วนเป็นต้นไม้เตี้ยๆ สีเงินระยิบระยับ ผิวของมันมีดอกไม้สีเงินขนาดเท่าฝ่ามือเต็มไปหมด ขนปุกปุย สีสันงดงาม แต่ไม่มีกลิ่นหอมเลยสักนิด
ตอนแรกบรรพชนลี่ว์สือยังระแวงดอกไม้สีเงินเหล่านี้ แต่รอจนเซี่ยเหลียนบอกเขาว่าดอกไม้เหล่านี้เป็นพืชที่มีแค่ในแดนมาร นอกจากใช้ปรุงยาระดับต่ำแล้ว ก็ไม่มีสรรพคุณใดอีก ระดับมหายานจากแดนอื่นผู้นี้จึงวางใจ
“พี่หาน ตามแผนที่ตำหนักเขตอาคมตรงหน้าน่าจะเป็นเนตรอาคม ขอแค่พวกเราซ่อมแซมได้ การเดินทางครั้งนี้ก็นับว่าสำเร็จแล้ว” เมื่อเห็นทั้งสามคนใกล้จะเดินออกจากสวนดอกไม้แล้ว ตรงปากทางเข้าสวนก็มองเห็นตำหนักสีเทาขาวขนาดไม่ใหญ่นักอยู่ลางๆ เป่าฮวาพลันเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ
“อืม ไม่ไกลแล้ว ดูแล้วการเดินทางครั้งนี้ของพวกเราคงราบรื่น ไม่รู้ว่าสหายคนอื่นๆ จะคิดเช่นนี้หรือไม่” หานลี่พยักหน้า แล้วตอบกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ
ไม่รู้เพราะเหตุใด ตั้งแต่ที่เขามาถึงสวนดอกไม้ แม้ว่าจะไม่พบความผิดปกติใดๆ แต่กลับมีความรู้สึกเหมือนถูกจับตามองอย่างแปลกประหลาด
จากระดับความแข็งแกร่งของจิตสัมผัสเขาในยามนี้ คาดไม่ถึงว่าจะไม่พบร่องรอยของอีกฝ่าย นี่แทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
นั่นหมายความว่าไม่อีกฝ่ายมีอิทธิฤทธิ์เหนือชั้น คาดไม่ถึงว่าจะหลบหลีกจิตสัมผัสของเขาได้ ไม่ก็เขาถูกผลกระทบจากพลังของเขตอาคมและพลังผนึกทำให้รู้สึกผิดไปเองเท่านั้น
ทว่าจากความระมัดระวังของหานลี่ยามนี้ย่อมต้องระวังมากขึ้น แต่รอจนเดินมาตรงทางเข้าสวนดอกไม้ ความรู้สึกประหลาดๆ ก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย คาดไม่ถึงว่าเหมือนจะไม่เคยเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น
นี่จึงทำให้หานลี่งุนงง รู้สึกสับสน
แทบจะในเวลาเดียวกันตรงส่วนลึกของวังธรณีภายในถ้ำใต้ดินสีดำสนิท เงาร่างคนเลือนรางสายหนึ่งกลับส่งเสียงหัวเราะทุ้มต่ำออกมา
“เคล็ดวิชาฝึกฝนสมาธิ…แถมยังฝึกฝนจนถึงขั้นที่สอง…เคล็ดวิชาฝึกสมาธิ คนจากแดนล่างมีคนฝึกฝนเคล็ดลับวิชานี้ด้วย! ฮ่าๆ ข้าเหนือกว่าใต้หล้า…ไม่เสียแรงที่ตาเฒ่าฝึกฝนมาหลายปี…”
ตอนแรกเสียงหัวเราะนี้ไม่ดังนัก และเลือนรางไม่ชัดเจน แต่ต่อมากลับค่อยๆ ชัดเจนขึ้นและบ้าคลั่งขึ้นจนทำให้ผู้ที่ได้ยินอดที่จะตัวสั่นสะท้านไม่ได้!