Advent of the Archmage – ตอนที่ 226: คนธรรมดาอย่างแท้จริง

มันเป็นเวลาบ่ายแก่ๆแล้ว ประมาณ 4 โมงเย็น ท้องฟ้าเริ่มมืด เนื่องจากป่าไม้ที่หนาทึบ ทำให้ป่าแบล็คฟอเรสในตอนนี้มืดเหมือนกับตอนกลางคืน พุ่มหญ้าที่อยู่ตามพื้นดินสั่นไหว และมีดวงตาสี่คู่ที่เปล่งแสงสีแดงจางๆปรากฏขึ้นในป่า ที่นั่นมีกองของขี้เถ้าอยู่ และระหว่างพวกเขาก็มีศพถูกเผาจนไหม้เกรียมอยู่ด้วยสี่ศพ

ลมหนาวได้พัดผ่านต้นไม้

“ศพพวกนี้เป็นทหารของพวกเรา” หนึ่งในพวกเขาพูด

“ไอพวกบ้า MI3 ไม่มีทางแข็งแกร่งขนาดนี้ได้หรอก”  อีกคนนึงพูด “ใครเป็นคนฆ่าพวกเขากัน”

“พวกมันไม่ได้พยายามปกปิดร่องรอยเลยด้วยซ้ำ” อีกคนพูด “!ดูนี่สิรอยเท้าของพวกมัน พวกเราน่าจะตามมันไปนะ จะได้รู้ว่ามันเป็นใคร ซิโน่ ฟินวิล พวกนายสองคนมากับฉัน พวกเราจะไล่ล่าพวกมัน ส่วนอลัน นายกลับไปรายงานเรื่องนี้กับหัวหน้าใหญ่ที่ป้อมกระดูก!”

“ครับท่าน!”

พวกเขาแยกเป็นสองทาง หนึ่งในพวกเขามุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของป่าแบล็คฟอเรส ในขณะที่อีกกลุ่มได้แกะรอยไปอีกทางนึง ประมาณ 3 นาทีต่อมา พอร่างเงามืดของพวกเขาหายไปอย่างสมบูรณ์ ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากความมืด

“ท่านมิโรส พวกมันติดกับจริงด้วยๆ!”  มีเสียงพูดขึ้นมาอย่างแผ่วเบาโดยระงับความดีใจเอาไว้อย่างเห็นได้ชัด

ไม่นานหลังจากนั้น ก็มีคนกลุ่มนึงออกมาจากหลังพุ่มไม้ นั่นก็คือลิงค์กับพวกกลุ่มค้นหา(หน่วยสอดแนม) พวกเขาไม่ได้รีบออกจากพื้นที่นี้หลังจากที่ฆ่ากูลกลุ่มแรก กลับกันพวกเขากลับรออยู่ใกล้ๆเพื่อที่จะลอบโจมตีกูลกลุ่มที่ 2

สำหรับรอยเท้าที่กูลเจอนั้น จริงๆแล้วมันคือรอยเท้าที่ลิงค์ทิ้งเอาไว้และต้องการให้พวกกูลพบมัน นี่เป็นเทคนิคเดียวกันกับที่ดาร์กเอลฟ์ ลอนเดล มาร์คินส์ใช้กับเขาก่อนหน้านี้ ลิงค์กับพวกหน่วยค้นหาได้เดินวนรอบป่าแบล็คฟอเรสเป็นวงกว้างและกลับมาที่จุดเดิม ซึ่งนั่นหมายความว่ากูลที่ตามรอยเท้าพวกเขาไปจะต้องกลับมาที่จุดเดิมอย่างแน่นอน

สำหรับกูลที่กลับไปที่ป้อมโครงกระดูกนั้น เขาจะเป็นคนนำทางลิงค์และหน่วยค้นหาไปยังฐานหลักของพวกดาร์กเอลฟ์

ลิงค์มองไปยังทิศทางที่มีกลูเดินทางไปคนเดียวแล้วยิ้ม

“เยี่ยม” เขาพูด “ตอนนี้พวกเราได้คนนำทางที่เชื่อถือได้แล้ว”

แผนการของเขานั้นเป็นการพนันครั้งใหญ่ที่ขึ้นอยู่กับดวงเกือบทั้งหมด ถ้าเกิดว่พวกกูลไม่ได้ตัดสินใจที่จะทำแบบนี้ สิ่งที่พวกเขาทำมาทั้งหมดก็จะสูญเปล่า แต่โชคดีที่ กูลพวกนี้ไม่ได้ฉลาดมาก ดังนั้นทุกอย่างจึงเป็นไปตามที่ลิงค์วางแผนเอาไว้

พอเขาพูดจบ ลิงค์ก็ร่ายเวทย์รวดเร็วดั่งชีต้าร์ใส่กับทุกคน

“ไปกันเถอะ!” เขาพูด “ฉันหวังว่าพวกเราจะดวงดีเจอกับรถขนนักโทษที่กำลังเคลื่อนย้ายนักดาบรุ่งอรุณระหว่างทางนะ”

จากนั้น กลุ่ม 7 คนนี้ก็เริ่มเดินทางเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็วราวกับสายลม ไม่นานนัก ทั้ง 7 คนก็หายเข้าไปในส่วนลึกของป่าแบล็คฟอเรส

ในระหว่างที่ลิงค์กับคนอื่นๆในกลุ่มกำลังตามกูลเข้าไปในส่วนลึกของป่าแบล็คฟอเรส หน่วยค้นหาอีกส่วนที่ลิงค์สั่งก็ได้นำกูลที่จับได้กลับมาที่ป้อมบนยอดภูเขาน้ำแข็ง

“เปิดประตู!” หน่วนค้นหาตะโกนจากด้านนอกกำแพงป้อม “พวกเราได้จับกลูกลับมาด้วย!”

กูล? จับพวกมันได้ด้วยหรอ?

พวกการ์ดที่อยู่บนกำแพงประตูพากันตกอกตกใจ ข่าวที่พวกเขาได้ยินมานั้นคือความน่ากลัวและความแข็งแกร่งของกูล สิ่งที่พวกเขาได้เห็นก็คือนักรบและหน่วยสอดแนมที่ถูกพวกกลูไล่ล่าและฆ่าทิ้งโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย มันจะเป็นไปได้ยังไงที่จะมีคนสามารถจัดการกับสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวเช่นนั้นได้? แถมพวกเขายังสามารถจับพวกมันมาได้โดยที่ยังมีชีวิตอยู่เนี่ยนะ?

มันไม่ได้เป็น…กับดัก ใช่ไหม?

หัวหน้าการ์ดยืนตรงช่องของป้อมธนูและมองลงมายังกลุ่มคนที่อยู่หน้าประตู  เขาเห็นหน่วยสอดแนมจำนวนนึงที่สวมเครื่องแต่งกายซึ่งบ่งบอกว่าพวกเขาเป็นคนของ MI3 และยังมีหนึ่งหรือสองคนในหมู่พวกเขาที่ดูคุ้นหน้า ซึ่งนั่นเป็นคนที่เขาเพิ่งจะเห็นเมื่อ 1 ชั่วโมงก่อนหน้านี้ ในตอนที่พวกเขาออกจากป้อมไปพร้อมกับกลุ่มค้นหานักดาบรุ่งอรุณ

พวกเขาไม่มีทางเป็นสปายที่ทำงานให้กับดาร์กเอลฟ์หรอก

“พวกกูลอยู่ไหน?” เขาถาม “เอามาให้ข้าดูใกล้ๆซิ!” มันก็ยังมีโอกาสที่พวกหน่วยสอดแนมจะถูกพวกกลูควบคุม

จากนั้นพวกหน่วยสอดแนมก็ยกกูลที่ถูกมัดเหมือนกับทาสขึ้นมาเพื่อให้หัวหน้าการ์ดมองเห็นได้ชัดขึ้น

หัวหน้าการ์ดชะโงกออกมาดู ทหารบางคนก็รู้สึกสงสัย ดังนั้นพวกเขาเองก็ชะโงกออกมาและพยายามสังเกตุดูเช่นกัน

ความจริงแล้ว พวกกูลนั้นไม่ได้ต่างไปจากดาร์กเอลฟ์ปกติซักเท่าไหร่ มีส่วนเดียวอันน่าขยะแขยงของกูลที่แตกต่างออกไปอย่างชัดเจนนั่นก็คือมือ มือของดาร์กเอลฟ์ปกตินั้นจะดูเหมือนกับมือของมนุษย์ธรรมดาๆ แต่มือของกูลนั้นเต็มไปด้วยกรงเล็บแทนที่จะเป็นเล็บธรรมดา

หัวหน้าการ์ดนั้นยังเต็มไปด้วยความสงสัย ดังนั้นพวกหน่วยสอดแนมจึงยกมือของกูลขึ้นมาเพื่อที่จะทำให้เขามองเห็นมันง่ายขึ้น

หลังจากที่ฟื้นฟูร่างกายมาหลายชั่วโมง พวกกูลก็เริ่มกลับมามีเรี่ยวแรงและตอนนี้มันก็พยายามดิ้นเพื่อปลดปล่อยตัวเองแถมยังส่งเสียงร้องออกมาด้วย

“ท่านเห็นมันรึยัง?” หน่วยสอดแนมถาม “เจ้าตัวนี้มันถูกควักหัวใจออกและพ่ายแพ้ให้กับนักเวทย์อย่างย่อยยับ แต่ถึงอย่างนั้น ไอบ้านี่ก็ยังมีชีวิตอยู่ไม่ยอมตายซักที”

หัวหน้ายามได้เห็นทุกอย่างด้วยตาของเขาแล้วในตอนนี้ และในระหว่างที่เขากำลังอ้าปากตกใจอยู่ ความสงสัยทั้งหมดที่มีอยู่ในใจเขาก็หายไป จากนั้นเขาก็สั่งให้เอาสะพานแขวนลงมา

“รีบไปรายงานเรื่องนี้ให้กับเหล่านายพลซะ” เขากระซิบบอกทหารคนนึงที่ยืนอยู่ข้างๆเขา “บอกพวกเขาว่าหน่วยสอดแนมได้จับกูลกลับมา”

ไม่ว่าเมื่อเร็วๆนี้จะเกิดอะไรขึ้น แต่นี่ก็เป็นข่าวดีสำหรับกองทัพของอาณาจักรนอร์ตัน

พอสะพานแขวนลงมา พวกหน่วยสอดแนมก็เอากูลทั้ง 3 ตัวเข้าไปในป้อมปราการ กลุ่มทหารจำนวนมากเริ่มแห่เข้ามามุงดูพวกมัน พวกเขาได้ยินข่าวเกี่ยวกับกูลทั้งวันทั้งคืน แต่มีพวกเขาแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้เห็นว่าตัวจริงเป็นยังไง  และในตอนนี้พวกเขาก็มีโอกาสแล้ว พวกเขาจะต้องหาทางเหลือบดูพวกมันให้ได้

แม้ว่าหัวหน้าการ์ดจะมาดูพวกมัน แต่เขาก็ไม่ได้สนใจพวกมันเลยแม้แต่นิดเดียว พวกมันดูเหมือนกับดาร์กเอลฟ์ทั่วๆไปเว้นแต่ว่าพวกมันมีกรงเล็บอยู่ที่มือเท่านั้นเอง  กลับกัน, มันมีเรื่องบางอย่างที่สำคัญกว่าที่เขาจะต้องถามจากพวกหน่วยสอดแนม

“พวกเจ้าออกไปตามหานักดาบรุ่งอรุณไม่ใช่หรอ?” เขาถามหนึ่งในหน่วยสอดแนมที่เขาดึงเข้ามาหา “ทำไมพวกเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่? องค์หญิงอยู่ที่ไหน? ทำไมเธอถึงไม่อยู่ที่นี่?”

ในสถานการณ์แบบนี้ มันดูเหมือนกับว่ากลุ่มค้นหาได้ไปปะทะเข้ากับพวกกูลระหว่างทางและสามารถจัดการพวกมันได้ แต่ในเวลาเดียวกันนั้น พวกเขาบางส่วนก็ถูกฆ่าไปเช่นกัน ดังนั้นความจริงที่ว่าองค์หญิงไม่อยู่ที่นี่ก็อาจจะหมายความว่าเธอได้ตายไปแล้วในการต่อสู้!

องค์หญิงเป็นลูกสาวคนเดียวของดยุคเหล็ก ถ้าเกิดว่าเธอตายในการต่อสู้หล่ะก็ มันจะมีปัญหาใหญ่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ทหารสอดแนมส่ายหัวของเขา

“องค์หญิงสบายดีครับ” เขาพูด “พระองค์ไปกับลอร์ดมิโรสเพื่อช่วยลอร์ดคาร์โนสครับ”

“ลอร์ดมิโรสหรอ?” ทหารที่อยู่ตรงนั้นถาม “ท่านผู้นั้นเป็นใครกัน?”

“ท่านเป็นนักเวทย์!” หน่วยสอดแนมอีกคนที่บังอัญได้ยินคำถามนี้เป็นคนตอบ เสียงของเขานั้นเต็มไปด้วยความตกใจและความเคารพ “แถมท่านยังเป็นนักเวทย์ที่แข็งแกร่งมากๆด้วย!”

“เบิกทาง!” ทหารตะโกน “เบิกทางให้ท่านดยุค!”

พอพวกเขาได้ยินประโยคนี้ พวกทหารก็หลบออกไปด้านข้างในทันที เพื่อที่จะเปิดทางให้กับดยุค

ความจริงแล้ว ดยุคไม่ได้มาแค่คนเดียว นายพล หัวหน้าหน่วย แบทเทิลเมจและแม้กระทั่งผู้พิพากษาก็ตามเขามาด้วย

สำหรับทหาร พวกกูลนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตน่ากลัวที่อยู่ในป่าอันมืดมิด พวกเขาแค่สงสัยและอยากจะดูว่ากูลหน้าตาเป็นยังไงเท่านั้นเอง แต่สำหรับคนยศสูงๆในกองทัพ  พวกกูลที่ถูกจับมาได้นั้นมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง!

ดยุคอาเบลแหวกทางฝ่าฝูงชนเข้ามาจนเขาได้เห็นกูลในที่สุด จากนั้นเขาก็กวาดตามองหน่วยสอดแนม พยายามที่จะมองหาลูกสาวของเขา

แต่ถึงกระนั้น มันก็ไม่มีร่องรอยของลูกสาวในหน่วยสอดแนมเลย การรับรู้ถึงเรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนกับถูกฟาดด้วยก้อนอิฐ และเขาก็จมอยู่ในความโศกเศร้าในทันที นี่ลูกสาวของเขา, ที่ถึงจะชอบต่อต้านและหัวแข็ง แต่เขาก็รักเธอมากๆ ได้จากเขาไปตลอดกาลแล้วงั้นหรอ?

ดวงตาของดยุคอาเบลนั้นปูดร้อนขึ้นมาพักนึง และเขาก็พบว่าเขาหายใจไม่ค่อยออกและรู้สึกเหมือนกับจะเป็นลม ถ้าไม่ใช่เพราะผู้ช่วยของเขาช่วยจับเขาไว้หล่ะก็ เขาก็คงจะล้มลงท่ามกลางฝูงชนแล้ว

หลังจากนั้นประมาณ 10 วินาที ดยุคก็สามารถระงับอารมณ์ของตัวเองได้และพูดกับหน่วยสอดแนม

“พวกเจ้าทำหน้าที่ได้ดีมาก” เขาชื่นชมหน่วยสอดแนมด้วยเสียงอันแหบแห้ง “ตอนนี้พวกเจ้าไปพักได้”

เขาไม่อยากจะถามเรื่องผลการต่อสู้กับพวกเขา มันเร็วเกินไปสำหรับเขาที่จะฟังว่าลูกสาวของเขานั้นได้ตายอย่างโหดร้ายแค่ไหน และเขาก็ไม่ต้องการที่จะร้องไห้ต่อหน้าพวกทหารด้วย

โชคดีที่พวกหน่วยสอดแนมนั้นเข้าใจความรู้สึกของผู้บัญชาการของพวกเขาเป็นอย่างดี หนึ่งในพวกเขารีบก้าวออกมาและบอกสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆกับดยุค

“ท่านครับ” เขาพูด “องค์หญิงยังปลอดภัยดี ตอนนี้เธออยู่กับลอร์ดมิโรส และพวกเขาก็กำลังเข้าไปในป่าแบล็คฟอเรสเพื่อตามหาลอร์ดคาร์โนสครับ”

“หือ?” ดยุคอาเบลตอบอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “เจ้าพูดว่ายังไงนะ?”

“องค์หญิงแอนนี่ยังมีชีวิตอยู่ครับท่าน” เขาพูดซ้ำอีกครั้ง “พระองค์ยังทำภารกิจค้นหาและช่วยเหลืออยู่ พวกเราแค่ถูกสั่งให้พากูลพวกนี้กลับมาที่ป้อมครับ”

ดยุคอาเบลถอนหายใจออกมายาวๆ; จากนั้นเขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ มันดูเหมือนกับว่าโลกได้กลับมาสว่างและสวยงามอีกครั้ง จากนั้นเขาก็หัวเราะออกมาอย่างแข็งแรง

“เยี่ยมมาก! เยี่ยมมาก!” เขาอุทาน “นี่ช่างเป็นข่าวที่ดีจริงๆ! คราวนี้บอกข้ามาว่าการต่อสู้เป็นยังไงบ้าง ข้าอยากจะรู้ว่าพวกเจ้าจับไอสัตว์ประหลาดบ้านี้มาได้ยังไง!”

จากนั้นทหารหน่วยสอดแนมคนเดิมก็เริ่มอธิบายอย่างละเอียดว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างในตอนที่พวกเขาเจอกับกูลและการปรากฏตัวขึ้นอย่างกระทันหันของนักเวทย์ ไปจนถึงตอนที่พวกเขาจัดการและจับกุมพวกกูลได้ยังไง เขาเล่าว่า นักเวทย์ได้กำหนดให้พวกเขาพากูลกลับมาในขณะที่พวกเขาที่เหลือจะตรงไปช่วยเหลือนักดาบรุ่งอรุณ  ไม่มีรายละเอียดไหนที่ขาดตกไปเลย

“ท่านผู้นั้นแข็งแกร่งมากเลยครับ” หน่วยสอดแนมพูดถึงลิงค์ “เขาเพียงแค่โบกมือในอากาศอย่างช้าๆ แล้วหน้าอกของพวกกูลก็ระเบิดออก!”

“แถมท่านผู้นั้นยังมีวิธียับยั้งไม่ให้กูลพวกนี้ตายด้วยนะครับ” อีกคนนึงอธิบาย “ดูที่หน้าอกของตัวนี้สิครับ มันเต็มไปด้วยของเหลวสีเงินที่ท่านนักเวทย์เรียกพวกมันว่าธาตุเงินศักดิ์สิทธ์”

“ท่านผู้นั้นบอกว่าเขาชื่อมิโรส” อีกคนนึ่งพูด “ผมจะเคารพเขาไปตลอดชีวิตเลย ผมรู้สึกว่าทุกคำที่เขาพูดออกมานั้นเป็นความจริง”

“ใช่ครับ” อีกคนนึงเห็นด้วย “ผมรู้สึกเหมือนกับว่าผมสามารถตายแทนเขาได้เลย!”

หน่วยสอดแนมพูดขึ้นมาพร้อมๆกัน และเสียงของพวกเขาก็ซ้อนทับกันจนฟังไม่ออกว่าพวกเขากำลังพูดอะไร แต่ดยุคอาเบลไม่ได้ห้ามพวกเขา เขากำลังตกใจกับฉากที่เกิดขึ้นอยู่ในใจ

นักเวทย์หนุ่มที่ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหันในตอนที่กลุ่มค้นหากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายสุดๆ จากนั้นเขาก็สามารถฆ่ากูล 3 ตัวได้ในทันที ถ้าเกิดว่าเขาไม่ได้ยินเรื่องพวกนี้จากปากของหน่วยสอดแนมหล่ะก็ เขาคงจะคิดว่ามันเป็นตำนานมากกว่าที่จะเป็นความจริง

แต่ แน่นอนว่าทุกอย่างที่พวกเขาพูดนั้นเป็นความจริง และนี่ก็เป็นข้อพิสูจน์ว่านักเวทย์ที่เก่งมากๆได้มาทางเหนือแล้ว แต่ว่านักเวทย์คนนั้นเป็นใครกัน? ทำไมเขาถึงไม่รู้เรื่องเลยหล่ะ?

จากนั้นดยุคก็หันมาหานักเวทย์มาร์โค่และมองตรงเข้าไปในดวงตาของเขาเพื่อถามคำถามกับเขาโดยที่ไม่ได้พูดอะไร

“ท่านครับ” มาร์โค่กระซิบ “พวกเราต้องคุยกันเป็นการส่วนตัว”

ดยุคอาเบลพยักหน้าเบาๆก่อนที่จะหันกลับไปยังหน่วยสอดแนม

“พวกเจ้าทุกคนทำงานกันหนักมามากแล้ว” เขาพูด “ไปพักกันเถอะ ในเร็วๆนี้ พวกเจ้าจะได้รับรางวัล มาเอากูลพวกนี้ไปที่โบสถ์และให้นักบวชตรวจสอบพวกมันซะ”

จากนั้นทหารบางส่วนก็ก้าวออกมาและแบกพวกกูลไปที่โบสถ์ พวกหน่วยสอดแนมโล่งใจและดีใจที่พวกเขาได้กลับมาที่ค่ายและได้พักผ่อน ตลอดทางพวกเขาพากันพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในป่าและเรื่องเกี่ยวกับนักเวทย์ทรงพลังที่ชื่อว่ามิโรส

ดยุคอาเบลและเจ้าหน้าที่ทั้งหมดได้กลับมาที่โถงบัญชาการ ในตอนที่ไปถึงที่นั่นดยุคและนักเวทย์ได้เดินต่อไปจนถึงห้องส่วนตัวที่อยู่ในชั้น 2

“ตอนนี้เจ้าจะบอกข้าได้รึยังว่าตัวจริงของนักเวทย์ผู้นั่นเป็นใคร?” ดยุคถามด้วยน้ำเสียงเชิงตำหนิ

“ท่านครับ” มาร์โค่พูดอย่างถ่อมตัว “ข้าไม่ได้ตั้งใจที่จะปกปิดท่าน เขาเพิ่งจะมาถึงเมื่อไม่นานนี้เอง ดังนั้นผมเองก็เพิ่งจะรู้เหมือนกันครับ”

“เพิ่งรู้งั้นหรอ?” ดยุคถาม “เจ้าควรจะรู้เรื่องมาอย่างน้อย 3 ชั่วโมงแล้ว ทำไมเจ้าถึงยังไม่บอกข้าหล่ะ?” ดยุคอาเบลโกรธมากในตอนนี้ เขาเป็นผู้บัญชาการของกองทัพหลวง แต่ว่า เขากลับไม่ได้รับแจ้งว่าจะมีคนที่แข็งแกร่งมาเนี่ยนะ?  มันช่างน่าคับแค้นใจยิ่งนัก!

“มันไม่ใช่ความตั้งใจของข้านะครับท่าน” มาร์โค่พูดต่อ เขารู้แล้วว่าเขาคงไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากบอกความจริงกับดยุคในตอนนี้ “มันเป็นคำสั่งจากอาจารย์ของข้า ผู้อาวุโสของสถาบันอีสโควฟ เขาคิดว่ายิ่งคนรู้ตัวจริงของนักเวทย์คนนี้น้อยก็จะยิ่งดี เพราะว่าเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อเข้าร่วมกับกองทัพ แต่ว่าเขามาเพราะมีภารกิจลับ…”

ดยุคอาเบลโบกมือของเขาเพื่อหยุดนักเวทย์

“โอเค, ข้าเข้าใจแล้ว” เขาพูด “บอกข้ามาว่าเขาเป็นใครกันแน่?”

“เขาคือบารอนคนใหม่ของที่รกร้างเฟิร์ดครับ นายท่าน” มาร์โค่ตอบ

ดยุคอาเบลถึงกับถลึงตากว้าง และเขาก็เงียบไปพักนึง

“ข้าไม่คิดเลยว่าเขาจะมาที่นี่ด้วยตัวเอง” ในที่สุดเขาก็พูดออกมา

ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว เขาก็จัดการกูล 3 ตัวที่มีเลเวลเทียบเท่ากับนักรบเลเวล 6 ได้แถมยังมีพลังในการยับยั้งไม่ให้กูลตายอีกด้วย

เมื่อเขาคิดถึงมัน ในที่สุดดยุคอาเบลก็ถอนหายใจออกมา ตอนนี้ลูกสาวของเขากำลังไปช่วยนักดาบรุ่งอรุณด้วยกันกับนักเวทย์ที่แข็งแกร่ง ดังนั้นเขาก็คงไม่มีอะไรที่จะต้องไปกังวลเกี่ยวกับความปลอดถัยของเธออีกแล้ว

แต่ว่า มันก็ยังคงห่างไกลจากคำว่าปลอดภัย

“เด็กหนุ่มคนนั้นยังมีอนาคตที่สดใสอีกมาก” ดยุคอาเบลพูดหลังจากที่ไตร่ตรองอยู่นาน “เขาจะมาตายในป่าแบล็คฟอเรสไม่ได้ พวกเราจะต้องทำทุกอย่างที่เราทำได้ ในตอนที่พวกเราลดแนวป้องกันลงมา พวกเราจะต้องโจมตีแบบเต็มกำลังจากทุกแนวรบ!”

“แต่ว่าท่านครับ นั่นเป็นตัวเลือกที่ดีแล้วงั้นหรอครับ?” มาร์โค่ถามด้วยความตกใจ “ภัยคุกคามจากกูลยังห่างไกลจากคำว่ากำจัดได้อยู่นะครับ”

ดยุคยิ้ม

“มันเป็นเพียงแค่การดึงความสนใจของพวกดาร์กเอลฟ์เท่านั้น” เขาพูด “มีอะไรที่เจ้าต้องกังวลอีกหล่ะ?”

ในที่สุดมาร์โค่ก็เข้าใจในสิ่งที่ดยุคต้องการจะสื่อและยิ้มออกมา

“ท่านพูดถูกแล้วครับ” นักเวทย์พูด “ผมเพียงแค่ไม่เข้าใจความตั้งใจที่แท้จริงของท่านในตอนแรก”

Advent of the Archmage

Advent of the Archmage

Type: Author: , ,
เรื่องย่อ ลิงค์เป็นอาร์จเมจที่เก่งที่สุดในทุกๆเซิร์ฟเวอร์ เขาเพิ่งจะโค้นล้มบอสที่แข็งแกร่งที่สุด,เจ้าแห่งความลึก โนโซม่า ด้วยปาร์ตี้ของเขา อย่างไรก็ตาม,แทนที่เขาจะกลับไปที่เมื่อง เขากลับถูกส่งตัวไปที่พื้นที่ลับด้วยพิกเซลCG มันให้ความรู้สึกเหมือนกับสูญญากาศ และภายในนั้นก็ได้มีเสียงที่ยิ่งใหญ่และมากด้วยอำนาจที่เรียกตัวเองว่าพระเจ้าแห่งแสงสว่างดังขึ้น “ลิงค์ เจ้าเต็มใจที่จะเป็นผู้ช่วยชีวิตที่จะดึงโลกแห่งฟิรูแมนออกจากความปั่นป่วนไหม?” ภารกิจที่ยิ่งใหญ่นี้มันอะไรกัน! ถ้ามันเป็นโลกจริง ลิงค์ คงจะปฏิเสธไปในทันที อย่างไรก็ตามเขาก็มีความแน่วแน่ที่จะเป็นฮีโร่ในเกมส์ “จัดไปเลย!” ลิงค์ ตอบอย่างมั่นใจ “ถ้างั้นก็ขอให้เจ้าโชคดี” และนั่นจะเป็นการเริ่มต้นการเดินทางที่เต็มไปด้วย เวทย์มนตร์,มิตรภาพ,การทรยศ,ความรัก และความสิ้นหวังของ ลิงค์ ในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปของฟิรุแมน Link was the top Archmage in the entire server. He had just defeated the strongest boss, the Lord of The Deep, Nozama with his party. However, instead of going back to town, he was transported to a secret location with pixelated CG. It sort of felt like a vacuum, and within it came a glorious and commanding voice that calls himself the God of Light. “Link, would you be willing to be the saviour who will pull the World of Firuman out from the churning abyss?” What a huge mission! If it was in the real world, Link would have rejected it immediately. However, he was bent on being the hero in game. “Bring it on!” Link answered confidently. “Then, best of luck.” And so began Link’s journey of magic, friendship, betrayal, love and despair in the ever changing World of Firuman.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset