Advent of the Archmage – ตอนที่ 241: ในที่สุดอุปกรณ์ระดับเทพเจ้าก็ถูกจัดการ

ในจังหวะที่อาเซเลียยกเลิกสกิลศักดิ์สิทธ์ งูยักษ์ในอาณาจักรวิญญาณก็ได้หายไปในทันที

 

ลิงค์สังเกตุได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์และได้พาทุกคนกลับมายังอาณาจักรกายภาพ

 

เขาได้เห็นนานะที่ถูกฟาดอย่างรุนแรงนอนอยู่ในจุดที่เขาลงมา จากนั้นเขาก็เห็นอาเซเลียที่มีรอยทะลุตรงกลางกระโหลกนอนอยู่ที่พื้นไกลออกไปประมาณ 150 ฟุต

 

น่าแปลกที่ มันไม่มีแสงสีดำๆรอบตัวอาเซเลียเลยในคราวนี้ ออร่าสีดำที่ปกคลุมรอบตัวเธอมาตลอดในก่อนหน้านี้เองก็ได้หายไป บาดแผลที่หน้าผากของเธอเองก็ดูไม่ได้กำลังฟื้นตัวอยู่เช่นกัน  เธอนอนอย่างไร้ชีวิตอยู่บนพื้นและดูเหมือนว่าคราวนี้เธอจะตายแล้วจริงๆ

 

อสรพิษทมิฬที่มักจะอยู่ข้างๆเธอเองก็ได้หายไปเช่นกัน

 

เฟลิน่าเองก็ตื่นขึ้นมาแล้วเช่นกัน หลังจากที่เธอเห็นฉากนี้ เธอก็พูดอย่างอ่อนแรง “มันมีตำนานอยู่ในกลุ่มชนเผ่ามังกรว่า อุปกรณ์ระดับเทพเจ้าแต่ละชิ้นนั้นมีจิตวิญญาณที่จะเลือกเจ้านายด้วยตัวมันเอง ถ้ามันคิดว่าเจ้านายคนปัจจุบันไม่เหมาะสม มันก็จะทิ้งพวกเขาไปโดยไม่ลังเลเลย”

 

จากนั้นคาร์โนสก็พูด “เธอจะบอกว่าอุปกรณ์ระดับเทพเจ้าได้สูญเสียความศรัทธาในตัวอาเซเลียหลังจากที่เธอแพ้ให้กับหุ่นเชิดเวทมนตร์อย่างงั้นหรอ?”

 

ดูเหมือนว่านี่จะเป็นเพียงคำอธิบายเดียวนะ

 

จากนั้นลิงค์ก็เดินไปหาซากของนานะ อุปกรณ์ระดับเทพเจ้านั้นมีพลังที่น่าสะพรึงกลัวจริงๆ ร่างกายของนานะกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างสมบูรณ์ และส่วนเดียวของเธอที่ยังไม่บุบสลายไปก็คือหัวของเธอ แม้กระทั่งส่วนนี้ก็ยังไม่สามารถหนีรอดได้อย่างไร้ร่องรอย มีรอยแตกมากมายอยู่บนหัวของเธอและดวงตาอันสดใสของเธอก็จ้องมาทางลิงค์อย่างไร้ชีวิต

 

“เธอช่วยพวกเราเอาไว้” แอนนี่เดินมาพร้อมกับสีหน้าอันเจ็บปวด

 

ลิงค์รู้สึกเสียใจและก็ขอบคุณจากก้นบึ้งของหัวใจในขณะที่เขาเก็บซากที่เหลืออยู่ของนานะใส่จี้ต่างมิติของเขา จากนั้นเขาก็หันมาหาพรรคพวกที่เหลือและพูด “ดูเหมือนว่าตอนนี้พวกเราจะปลอดภัยแล้ว แต่ว่า, พวกเราไม่สามารถอยู่ที่นี่นานๆได้ ออกจากที่นี่กันเถอะ”

 

ทุกคนนั้นบาดเจ็บหนักและช่วยเหลือซึ่งกันและกันตลอดทาง ลิงค์เองก็เหลือมานาอยู่ไม่มาก เขาเพียงแค่ร่ายเวทย์ไร้ร่องรอยเลเวล 4 เพื่อปกปิดร่องรอยของทุกคนก่อนที่พวกเขาจะค่อยๆเดินทางลงใต้อย่างช้าๆ

 

ไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นเลยตลอดทางของพวกเขา จนในที่สุดพวกเขาก็พบกับหน่วยลาดตระเวณจากMI3ในป่าในวันต่อมา พวกเขาทุกคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

ข้อความปรากฏขึ้นที่อินเตอร์เฟสของลิงค์

 

ขั้นที่ 4 ของภารกิจหลบหนีจากป้อมโครงกระดูก: สำเร็จ

รางวัล1: 200 แต้มโอมนิ (จะได้ในอีก60วัน)

รางวัล2: อักขระวิญญาณ เลเวล 7 (จะได้ในอีก60วัน)

 

นี่เป็นข่าวดีสุดๆสำหรับลิงค์ นอกเหนือจากความจริงที่ว่าเขาต้องรอ60วันก่อนที่ของรางวัลของเขาจะถูกส่งมาให้

 

หน่วยลาดตระเวนได้นำทางเขาไปตลอดทาง และกลุ่มของพวกเขาก็ออกมาจากแบล็คฟอเรสได้ในวันต่อมา ป้อมปราการอันใหญ่โตได้รอต้อนรับพวกเขาอยู่ในตอนที่พวกเขาเดินออกมาจากป่า

 

พวกเขาได้มาถึงป้อมยอดภูเขาน้ำแข็ง

 

ในตอนที่ลิงค์มองไปที่สะพานแขวนที่กำลังลดลงมาที่ทางเข้าอย่างช้าๆ หัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยความสบายใจที่หนีมาจากสถานการณ์แบบนั้นได้โดยที่ยังมีชีวิตอยู่

 

เมื่อลิงค์หันไปมองที่คาร์โนส คาร์โนสก็รู้สึกได้ถึงการจ้องมองและเขาก็ยิ้มตอบกลับไป จากนั้นเขาก็หัวเราะและพูด “นักเวทย์ ท่านยังติดหนี้เรื่องดาบของข้าอยู่นะ”

 

ลิงค์ยิ้มก่อนที่จะพูด”ก่อนอื่นคุณจะต้องไปบอกกับพระราชาให้จัดการเรื่องค่าใช้จ่ายของคุณก่อนนะ ผมสามารถสร้างดาบที่เหมาะสมกับคุณได้ แต่ว่าราคามันน่าจะสูงกว่า 10,000 เหรียญทองอย่างแน่นอน”

 

จากนั้นคาร์โนสก็ยิ้มอย่างข่มขื่นและพูด “นั่นมันค่อนข้างแพงจริงๆนั่นแหล่ะ…แล้วถ้าข้าให้ชีวิตของข้าแลกกับดาบหล่ะเป็นไง?”

 

“ผมพร้อมจะรับมันได้ทุกวันเลยหล่ะ” ลิงค์ยิ้ม

 

จากนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็หัวเราะอย่างมีชีวิตชีวา

 

เฟลิน่าที่ยืนอยู่ข้างๆพวกเขาเองก็หันมาและพูด “ท่านลิงค์ ถ้าท่านมีเวลาท่านมาที่หุบเขามังกรสิ เรื่องของอุปกรณ์ระดับเทพเจ้านั้นยังไม่เสร็จสิ้น พวกเราต้องการข้อมูลของท่าน”

 

ลิงค์คิดอยู่แปปนึงก่อนที่จะตอบกลับ “เอาเป็นหนึ่งเดือนหลังจากนี้แล้วกันนะ ผมต้องการเวลาซักนิดในการพักผ่อนหลังจากที่กลับลงใต้”

 

เขานั้นกำลังนึกถึงเรื่องการซ่อมแซมนานะ หุ่นเชิดเวทมนตร์ตัวนี้นั้นแข็งแกร่งมากๆ มันจะน่าเสียดายมากถ้าไม่ซ่อมมัน

 

เฟลิน่าพยักหน้าตอบ เธอเองก็เกือบตายไปหลายรอบในภารกิจที่ป้อมโครงกระดูกนี้ แม้กระทั่งอาวุธกรงเล็บมังกรของเธอก็ถูกทำลายไม่มีชิ้นดี และเธอเองก็เหนื่อยมากๆจากภารกิจนี้และเธอคงไม่สามารถฟื้นฟูพลังได้เต็มที่ถ้าเกิดว่าเธอไม่พักผ่อนให้มากๆ

 

ในตอนนั้นเอง ในที่สุดสะพานแขวนก็ลงมาเสร็จ ด้านหลังของสะพาน ดยุคอาเบล และเจ้าหน้าที่ระดับสูงบางส่วน รวมถึงนักเวทย์มาร์โก้เองก็ได้ยืนรออยู่แล้ว เมื่อพวกเขาเห็นกลุ่มที่เดินทางกลับมา พวกเขาก็รีบเดินมาอย่างเร่งรีบ

 

ดยุคอาเบลรีบไปหากลุ่มที่กลับมาอย่างรวดเร็ว และใบหน้าของเขาก็อ่อนลงในตอนที่เขาเห็นลูกสาวของเขา จากนั้นเขาก็เดินไปหาลิงค์และโค้งคำนับด้วยความเคารพก่อนที่จะพูดออกมา “มาสเตอร์ ขอบคุณสำหรับความพยายามอย่างหนักของท่านครับ”

 

จากนั้นลิงค์ก็ทำความเคารพแบบนักเวทย์แล้วตอบกลับ”ผมเพียงแค่ทำหน้าที่ของผมครับ ท่านดยุค ผมมีรายงานอันน่าสนใจมากมายจากภารกิจนี้ด้วย ผมจะเขียนรายงานทางทหารให้อย่างละเอียดในเวลาไม่ช้าครับ”

 

“ได้โปรดเข้ามาเถอะครับ!” ดยุคอาเบลพูดอย่างตื่นเต้น นี่จะเป็นข้อมูลโดยตรงในเรื่องที่จะจัดการกับดาร์กเอลฟ์ ยิ่งไปกว่านั้น มันจะมาจากนักเวทย์ที่ฉลาดมากๆอีกด้วย  มูลค่าของข้อมูลที่นำมาอ้างอิงนั้นคงจะสูงมากๆ!

 

เมื่อกลุ่มของพวกเขาเข้ามาในป้อม ภาพของนักดาบแห่งรุ่งอรุณได้ทำให้ผู้คนต่างส่งเสียงเชียร์และยิ้มออกมา

 

สำหรับนักรบมังกรแดง ไม่มีนักรบชาวมนุษย์คนไหนแสดงท่าทางรังเกียจหรือกลัวเธอในตอนที่เธอเดินผ่าน พวกเขาเพียงแค่จ้องไปที่เธอด้วยความสงสัย ตราบใดที่นักดาบแห่งรุ่งอรุณยังมีชีวิตอยู่  มันก็ไม่สำคัญว่าท้องฟ้าจะแยกออกเป็นสองซีก หรือการปรากฏตัวของนักรบที่แปลกประหลาด

 

เมื่อลิงค์มองภาพเหล่านี้ เขาก็ทำได้แต่ประทับใจในฐานะทางการทหารของคาร์โนส เขานั้นเป็นตัวแทนของเทพแห่งสงครามจริงๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมดยุคอาเบลถึงดึงดันที่จะส่งทีมช่วยเหลือไปแม้กระทั่งในสถานการณ์ที่ยากลำบากแบบนี้

 

เมื่อพวกเขามาถึงห้องโถงบัญชาการที่อยู่ใจกลางของป้อม ลิงค์ก็ไม่ได้ปล่อยให้เสียเวลาและรายงานทุกอย่างที่เขาพบเจอในภารกิจทางเหนือของเขาโดยละเอียด เขาอธิบายถึงเหตุการณ์กับพวกกูล ป้อมโครงกระดูก อุปกรณ์ระดับเทพเจ้าและผู้ใช้มัน ความประณีตของอาเซเลีย จากนั้นเขาก็แนะนำเฟลิน่าอย่างสั้นๆรวมเข้าไปในการรายงานทั้งหมดของเขา

 

ลิงค์ได้รายงานอย่างมีจุดประสงค์อย่างมาก รวมไปถึงการคาดคะเนความแข็งแกร่งของศัตรูทุกคนด้วย ในตอนที่เขาพูดจบ ทั่วทั้งห้องโถงบัญชาการก็ตกอยู่ในความเงียบ

 

ทุกคนนั้นได้ตกใจกับสองเรื่อง

 

เรื่องแรกคือ ในที่สุดพวกเขาก็รู้ว่าพวกดาร์กเอลฟ์ใช้วิธีอะไรในการสร้างสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวอย่างกูลขึ้นมา ใครจะไปคิดว่าพวกเขาได้รับการช่วยเหลือจากอุปกรณ์ระดับเทพเจ้าหล่ะ! แค่นี้ก็น่ากลัวมากพอแล้ว! ส่วนเรื่องที่สองก็คือ พวกเขาตกใจที่นักเวทย์ลิงค์สามารถช่วยเหลือคาร์โนสมาจากเงื้อมมือของอาเซเลียผู้ถือครองอุปกรณ์ระดับเทพเจ้าได้ พวกเขาไม่ได้เพียงแค่หนีจากการไร้ตามอันไม่ลดละของเธอเท่านั้นแต่พวกเขายังจัดการเธอโดยใช้ความช่วยเหลือจากหุ่นเชิดเวทมนตร์ของลิงค์อีกด้วย

 

นี่มันเทียบได้กับคนธรรมดาที่พยายามจะเอาชนะเทพเจ้าได้เลย ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าลิงค์ได้ยืนอยู่ต่อหน้าพวกเขาหล่ะก็ ก็คงไม่มีใครเชื่อมัน!

 

จากมุมมองนี้ อุปกรณ์ระดับเทพเจ้าก็ไม่ได้ดูน่ากลัวมากขนาดนั้น ยังไงซะ มันก็ได้พ่ายแพ้ไปแล้ว

 

หลังจากนั้นซักพัก ดยุคอาเบลก็พูด “มาสเตอร์ อ้างอิงจากที่ท่านพูด ตอนนี้ที่อยู่ของอุปกรณ์ระดับเทพเจ้ายังเป็นปริศนา ท่านคิดว่าสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นได้มากที่สุดคืออะไรหรอครับ?”

 

ถึงแม้ว่าคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าเขานั้นอายุยังไม่ถึง 20 ปีด้วยซ้ำ แต่ดยุคอาเบลก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเคารพ โดยที่ไม่ให้ดูถ่อมตัวมากเกินไป ซึ่งนี่เป็นเพราะว่าผลงานด้านการต่อสู้ของลิงค์นั้นโดดเด่นมากเกินกว่าที่จะมองข้าม

 

ลิงค์ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มาตลอดทางและได้มีการคาดการณ์แบบคร่าวๆเอาไว้ เขาพูด “ผมคิดว่าการหายไปของอุปกรณ์ระดับเทพเจ้านั้นคงจะแค่การชั่วคราวเท่านั้น อุปสรรคนั้นยังคงใหญ่อยู่ มันน่าจะเลือกผู้ถือครองคนที่ 2 หลังจากนี้ซักพัก และด้วยบทเรียนอันแสนเจ็บปวดนี้ ผู้ถือครองคนที่ 2 น่าจะต้องเป็นคนที่ฉลาดและมีประสบการณ์มากกว่านี้ มันคงจะน่ากลัวมากที่ต้องสู้กับดาร์กเอลฟ์แบบนั้น แบล็คฟอเรสในตอนนี้ไม่ปลอดภัยแล้ว ผมแนะนำว่าให้ยอมแพ้เรื่องป้อมบนยอดภูเขาน้ำแข็งนี่แล้วถอยไปที่ป้อมโอริด้าที่อยู่ทางทิศใต้จะดีกว่า”

 

เจ้าหน้าที่ระดับกลางคนหนึ่งรู้สึกไม่พอใจกับคำแนะนำของลิงค์ จากมุมมองของนักรบ การทำลายอุปกรณ์ระดับเทพเจ้าไปเลยนั้นเป็นหนทางเดียวที่จะกำจัดปัญหาได้อย่างสมบูรณ์ “แต่นี่มันไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาจากต้นเหตุนะครับ; พวกเราควรทำลาย-”

 

 

ก่อนที่เขาจะพูดจบประโยค ดยุคอาเบลก็จ้องไปที่เขาอย่างรวดเร็วก่อนที่จะพูดออกมา “เงียบไปจนกว่ามาสเตอร์จะพูดจบ!”

 

เจ้าหน้าที่คนนั้นหน้าซีด และเขาก็กลืนคำพูดของตัวเองลงไปในทันที

 

จากนั้นลิงค์ก็พูดต่อ “ผมอยากให้ทุกคนจำความจริงสองข้อนี้ไว้ หนึ่งคือ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะทำลายอุปกรณ์ระดับเทพเจ้า สองคือ มันเป็นไปไม่ได้ที่อุปกรณ์ระดับเทพเจ้านั้นจะอยู่ในโลกนี้ไปได้ตลอด มันใช้พลังงานของมันในทุกวินาทีที่มันอยู่ที่นี่ แม้กระทั่งตอนนี้ที่เราพูดคุยอยู่ก็ตาม”

 

พอเขาพูดมาถึงจุดนี้ เขาก็มองไปทั่วทั้งห้องโถงเพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนตั้งใจฟังคำพูดของเขาอย่างจริงจัง จากนั้นเขาก็พูดต่อ “อาณาจักรได้ทำการสร้างกำแพงเหล็กเอาไว้เพื่อป้องกันกับป้อมโอริด้าในฐานะจุดยุทธศาสตร์มานานกว่า 300 ปี มันแข็งแรงและทนทานมากๆ จากมุมมองของผม พวกเราจำเป็นต้องยื้อเวลาให้ได้ประมาณ 1 ปีก่อนที่อุปกรณ์ระดับเทพเจ้าจะถูกขับไล่ออกไปจากโลกแห่งฟิรุแมน และข้อได้เปรียบที่สุดของพวกดาร์กเอลฟ์ก็จะสลายไปโดยอัตโนมัติ ผมรู้สึกว่ากลยุทธ์นี้น่าจะปลอดภัยที่สุดในสถานการณ์ ณ ปัจจุบันนี้”

 

ทุกคนในห้องโถงต่างก็ตกอยู่ในห้วงความคิด

 

ลิงค์นั้นได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ากลยุทธ์ของเขานั้นเป็นทางเดียวที่ปลอดภัยที่สุดในตอนนี้ ไม่มีใครกล้าที่จะเรียกร้องชัยชนะเหนืออุปกรณ์ระดับเทพเจ้า  ถ้าเกิดว่ามีใครซักคนทำผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ทั่วทั้งอาณาจักรนอร์ตันก็อาจจะตกลงสู่ห้วงลึกแห่งความน่ากลัวได้

 

มีเสียงนึงดังขึ้นมาทำลายความเงียบ นั่นก็คือคาร์โนส เขายืนขึ้นและพูด “ข้าได้เห็นพลังของอุปกรณ์ระดับเทพเจ้าด้วยตาของตัวเอง ดังนั้น ข้าจึงเห็นด้วยกับกลยุทธ์ของมาสเตอร์ลิงค์ ป้อมยอดภูเขาน้ำแข็งนั้นเป็นแค่ป้อมปราการชั่วคราว กำแพงป้องกันเวทมนตร์และระยะตรวจจับของการเฝ้าระวังนั้นก็ห่างชั้นกับที่เรามีในป้อมโอริด้ามาก มันคงจะเป็นการยากที่จะทำการป้องกันที่นี่”

 

จากนั้นแอนนี่ก็เสริมต่อ “ฉันเองก็คิดว่าการถอยนั้นเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเช่นกันค่ะ”

 

ทุกคนในห้องโถงนั้นต่างปรึกษากัน  10 นาทีต่อมา ดยุคอาเบลก็เคาะโต๊ะของเขาเบาๆเพื่อหยุดการปรึกษากันและพูดออกมา “ข้าจะพิจารณามันอย่างระมัดระวัง พวกเรามีทหาร 10,000 คนในป้อมยอดภูเขาน้ำแข็ง มันเป็นไปไม่ได้ที่จะสั่งถอยในทันที พวกเราจะต้องจัดให้ถอยเป็นกลุ่มๆ ยิ่งไปกว่านั้น การตัดสินสุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับพระราชา”

 

ถึงแม้ว่าเขาจะพูดว่าจะเอาเรื่องนี้ไปพิจารณา แต่ดยุคอาเบลก็เชื่อในวิธีนี้อย่างเต็มที่แล้ว เขานั้นไม่มีความกล้าที่จะไปต่อกรกับอุปกรณ์ระดับเทพเจ้า

 

ณ จุดนี้ การรายงานทางการทหารก็ได้จบลง และลิงค์ก็ได้ตามนักเวทย์มาร์โก้ไปที่หอคอยเวทมนตร์หลังจากที่เขาออกมาจากโถงประชุม

 

ระหว่างทาง นักเวทย์มาร์โก้ได้พูดขึ้น “มาสเตอร์ครับ พวกเราได้ศึกษาพวกกูลอย่างระมัดระวังแล้ว ธาตุเงินศักดิ์สิทธ์ที่ท่านนำมาด้วยนั้นมันดูมีผลกับพวกมันอย่างมาก แต่ว่า ผมรู้สึกว่ายังมีช่องว่างให้พวกเราปรับปรุงมันได้อีก”

 

ลิงค์พยักหน้าและพูด “ผมไม่ได้เก่งมากในเรื่องการแปรธาตุ แต่ผมจะอยู่ที่นี่อีก 2 วันก่อนที่ผมจะเดินทางไปที่สถาบันเวทมนตร์อีสโควฟ พวกเราสามารถพูดคุยถึงวิธีจัดการกับสิ่งมีชีวิตที่น่าเวทนาเหล่านี้ได้ในระหว่างนี้ “”

 

อสรพิษทมิฬนั้นมีเวทย์ศักดิ์สิทธิ์-ดูดกลืนวิญญาณ พวกกองทัพจะยังไม่ปลอดภัยแน่นอนต่อให้พวกเขาถอยไปที่ป้อมโอริด้าก็ตาม เขาจะต้องคิดหากลยุทธ์ที่จะจัดการกับเวทย์นี้กับจอมเวทย์ของสถาบันเวทมนตร์อีสโควฟก่อน

 

มาร์โก้มีความสุขและตอบกลับ “นี่คงจะสุดยอดไปเลยครับ”

 

 

2วันก่อนหน้านี้ ที่ทิศเหนือของแบล็คฟอเรส

 

ครึ่งชั่วโมงหลังจากที่พวกลิงค์ไป คนแก่ที่มีดวงตาสีขาวและผมสีขาวสวมผ้าคลุมสีดำก็ได้มาถึงสนามรบ

 

เขาคือนักเวทย์ไอมอนส์

 

เขามองไปที่ร่างของอาเซเลียและถอนหายใจ “คุณทำให้สตรีแห่งความมืดผิดหวังมาก อุปกรณ์ระดับเทพเจ้านั้นมีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับชะตากรรมของเผ่าพันธุ์เราเป็นอย่างมาก มันไม่ใช่อะไรที่คุณจะใช้เพื่อระบายความโกรธของคุณได้ โปรด ไปสู่สุขติเถิด”

 

จากนั้นเขาก็นั่งลงและปิดตาของอาเซเลียที่เปิดอยู่อย่างนุ่มนวล  จากนั้นไอมอนส์ก็ลุกขึ้นและพูดไปทางป่ารอบๆ “ออกมาอสรพิษทมิฬ”

 

หลังจากที่มีเสียงใบไม้สีกัน งูยักษ์ก็ได้โผล่ออกมาจากป่า

 

ไอมอนส์ยื่นมือของเขาออกมา งูยักษ์กระโดดเข้าไปหาแขนของเขาก่อนที่จะแปลงเป็นแส้ จากนั้นไอมอนส์ก็ถือแส้นี้พร้อมกับเดินเข้าไปในป่าอย่างช้าๆ จากนั้นเขาก็พูดเพิ่มเติม “ในตอนนี้ ข้าคิดว่าข้าหาผู้คือครองที่ดีกว่านี้ให้เจ้าได้แล้ว เจ้าคิดว่าลูกศิษย์ของข้า ลอนเดลเป็นยังไงหล่ะ?”

 

ฟ่ออ แส้พยักหน้าก่อนที่จะส่ายหัวของมัน

 

จากนั้นไอมอนส์ก็ถอนหายใจ “เขานั้นเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดจริงๆ แต่ว่า หลังจากที่เขากลายเป็นผู้ถือครองอุปกรณ์ระดับเทพเจ้า อายุขัยของเขาก็จะเหลือเพียงแค่ครึ่งปี นั่นคงจะน่าเสียดาย ให้ข้าคิดหน่อยนะ…มุดดาฟี่เป็นไง?”

 

แส้ส่ายหัวของมันอีกครั้ง

 

“มุดดาฟี่ก็ไม่ได้งั้นหรอ…นี่มันยากนะเนี่ย ทำไมไม่ให้ข้าเลือกผู้อาสาสมัครมา แล้วเจ้ามาเลือกด้วยตัวเองล่ะ?”

 

ฟ่ออ แส้พยักหน้าเบาๆเป็นการเห็นด้วย

 

Advent of the Archmage

Advent of the Archmage

Type: Author: , ,
เรื่องย่อ ลิงค์เป็นอาร์จเมจที่เก่งที่สุดในทุกๆเซิร์ฟเวอร์ เขาเพิ่งจะโค้นล้มบอสที่แข็งแกร่งที่สุด,เจ้าแห่งความลึก โนโซม่า ด้วยปาร์ตี้ของเขา อย่างไรก็ตาม,แทนที่เขาจะกลับไปที่เมื่อง เขากลับถูกส่งตัวไปที่พื้นที่ลับด้วยพิกเซลCG มันให้ความรู้สึกเหมือนกับสูญญากาศ และภายในนั้นก็ได้มีเสียงที่ยิ่งใหญ่และมากด้วยอำนาจที่เรียกตัวเองว่าพระเจ้าแห่งแสงสว่างดังขึ้น “ลิงค์ เจ้าเต็มใจที่จะเป็นผู้ช่วยชีวิตที่จะดึงโลกแห่งฟิรูแมนออกจากความปั่นป่วนไหม?” ภารกิจที่ยิ่งใหญ่นี้มันอะไรกัน! ถ้ามันเป็นโลกจริง ลิงค์ คงจะปฏิเสธไปในทันที อย่างไรก็ตามเขาก็มีความแน่วแน่ที่จะเป็นฮีโร่ในเกมส์ “จัดไปเลย!” ลิงค์ ตอบอย่างมั่นใจ “ถ้างั้นก็ขอให้เจ้าโชคดี” และนั่นจะเป็นการเริ่มต้นการเดินทางที่เต็มไปด้วย เวทย์มนตร์,มิตรภาพ,การทรยศ,ความรัก และความสิ้นหวังของ ลิงค์ ในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปของฟิรุแมน Link was the top Archmage in the entire server. He had just defeated the strongest boss, the Lord of The Deep, Nozama with his party. However, instead of going back to town, he was transported to a secret location with pixelated CG. It sort of felt like a vacuum, and within it came a glorious and commanding voice that calls himself the God of Light. “Link, would you be willing to be the saviour who will pull the World of Firuman out from the churning abyss?” What a huge mission! If it was in the real world, Link would have rejected it immediately. However, he was bent on being the hero in game. “Bring it on!” Link answered confidently. “Then, best of luck.” And so began Link’s journey of magic, friendship, betrayal, love and despair in the ever changing World of Firuman.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset