ในจังหวะที่อาเซเลียยกเลิกสกิลศักดิ์สิทธ์ งูยักษ์ในอาณาจักรวิญญาณก็ได้หายไปในทันที
ลิงค์สังเกตุได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์และได้พาทุกคนกลับมายังอาณาจักรกายภาพ
เขาได้เห็นนานะที่ถูกฟาดอย่างรุนแรงนอนอยู่ในจุดที่เขาลงมา จากนั้นเขาก็เห็นอาเซเลียที่มีรอยทะลุตรงกลางกระโหลกนอนอยู่ที่พื้นไกลออกไปประมาณ 150 ฟุต
น่าแปลกที่ มันไม่มีแสงสีดำๆรอบตัวอาเซเลียเลยในคราวนี้ ออร่าสีดำที่ปกคลุมรอบตัวเธอมาตลอดในก่อนหน้านี้เองก็ได้หายไป บาดแผลที่หน้าผากของเธอเองก็ดูไม่ได้กำลังฟื้นตัวอยู่เช่นกัน เธอนอนอย่างไร้ชีวิตอยู่บนพื้นและดูเหมือนว่าคราวนี้เธอจะตายแล้วจริงๆ
อสรพิษทมิฬที่มักจะอยู่ข้างๆเธอเองก็ได้หายไปเช่นกัน
เฟลิน่าเองก็ตื่นขึ้นมาแล้วเช่นกัน หลังจากที่เธอเห็นฉากนี้ เธอก็พูดอย่างอ่อนแรง “มันมีตำนานอยู่ในกลุ่มชนเผ่ามังกรว่า อุปกรณ์ระดับเทพเจ้าแต่ละชิ้นนั้นมีจิตวิญญาณที่จะเลือกเจ้านายด้วยตัวมันเอง ถ้ามันคิดว่าเจ้านายคนปัจจุบันไม่เหมาะสม มันก็จะทิ้งพวกเขาไปโดยไม่ลังเลเลย”
จากนั้นคาร์โนสก็พูด “เธอจะบอกว่าอุปกรณ์ระดับเทพเจ้าได้สูญเสียความศรัทธาในตัวอาเซเลียหลังจากที่เธอแพ้ให้กับหุ่นเชิดเวทมนตร์อย่างงั้นหรอ?”
ดูเหมือนว่านี่จะเป็นเพียงคำอธิบายเดียวนะ
จากนั้นลิงค์ก็เดินไปหาซากของนานะ อุปกรณ์ระดับเทพเจ้านั้นมีพลังที่น่าสะพรึงกลัวจริงๆ ร่างกายของนานะกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างสมบูรณ์ และส่วนเดียวของเธอที่ยังไม่บุบสลายไปก็คือหัวของเธอ แม้กระทั่งส่วนนี้ก็ยังไม่สามารถหนีรอดได้อย่างไร้ร่องรอย มีรอยแตกมากมายอยู่บนหัวของเธอและดวงตาอันสดใสของเธอก็จ้องมาทางลิงค์อย่างไร้ชีวิต
“เธอช่วยพวกเราเอาไว้” แอนนี่เดินมาพร้อมกับสีหน้าอันเจ็บปวด
ลิงค์รู้สึกเสียใจและก็ขอบคุณจากก้นบึ้งของหัวใจในขณะที่เขาเก็บซากที่เหลืออยู่ของนานะใส่จี้ต่างมิติของเขา จากนั้นเขาก็หันมาหาพรรคพวกที่เหลือและพูด “ดูเหมือนว่าตอนนี้พวกเราจะปลอดภัยแล้ว แต่ว่า, พวกเราไม่สามารถอยู่ที่นี่นานๆได้ ออกจากที่นี่กันเถอะ”
ทุกคนนั้นบาดเจ็บหนักและช่วยเหลือซึ่งกันและกันตลอดทาง ลิงค์เองก็เหลือมานาอยู่ไม่มาก เขาเพียงแค่ร่ายเวทย์ไร้ร่องรอยเลเวล 4 เพื่อปกปิดร่องรอยของทุกคนก่อนที่พวกเขาจะค่อยๆเดินทางลงใต้อย่างช้าๆ
ไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นเลยตลอดทางของพวกเขา จนในที่สุดพวกเขาก็พบกับหน่วยลาดตระเวณจากMI3ในป่าในวันต่อมา พวกเขาทุกคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ข้อความปรากฏขึ้นที่อินเตอร์เฟสของลิงค์
ขั้นที่ 4 ของภารกิจหลบหนีจากป้อมโครงกระดูก: สำเร็จ
รางวัล1: 200 แต้มโอมนิ (จะได้ในอีก60วัน)
รางวัล2: อักขระวิญญาณ เลเวล 7 (จะได้ในอีก60วัน)
นี่เป็นข่าวดีสุดๆสำหรับลิงค์ นอกเหนือจากความจริงที่ว่าเขาต้องรอ60วันก่อนที่ของรางวัลของเขาจะถูกส่งมาให้
หน่วยลาดตระเวนได้นำทางเขาไปตลอดทาง และกลุ่มของพวกเขาก็ออกมาจากแบล็คฟอเรสได้ในวันต่อมา ป้อมปราการอันใหญ่โตได้รอต้อนรับพวกเขาอยู่ในตอนที่พวกเขาเดินออกมาจากป่า
พวกเขาได้มาถึงป้อมยอดภูเขาน้ำแข็ง
ในตอนที่ลิงค์มองไปที่สะพานแขวนที่กำลังลดลงมาที่ทางเข้าอย่างช้าๆ หัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยความสบายใจที่หนีมาจากสถานการณ์แบบนั้นได้โดยที่ยังมีชีวิตอยู่
เมื่อลิงค์หันไปมองที่คาร์โนส คาร์โนสก็รู้สึกได้ถึงการจ้องมองและเขาก็ยิ้มตอบกลับไป จากนั้นเขาก็หัวเราะและพูด “นักเวทย์ ท่านยังติดหนี้เรื่องดาบของข้าอยู่นะ”
ลิงค์ยิ้มก่อนที่จะพูด”ก่อนอื่นคุณจะต้องไปบอกกับพระราชาให้จัดการเรื่องค่าใช้จ่ายของคุณก่อนนะ ผมสามารถสร้างดาบที่เหมาะสมกับคุณได้ แต่ว่าราคามันน่าจะสูงกว่า 10,000 เหรียญทองอย่างแน่นอน”
จากนั้นคาร์โนสก็ยิ้มอย่างข่มขื่นและพูด “นั่นมันค่อนข้างแพงจริงๆนั่นแหล่ะ…แล้วถ้าข้าให้ชีวิตของข้าแลกกับดาบหล่ะเป็นไง?”
“ผมพร้อมจะรับมันได้ทุกวันเลยหล่ะ” ลิงค์ยิ้ม
จากนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็หัวเราะอย่างมีชีวิตชีวา
เฟลิน่าที่ยืนอยู่ข้างๆพวกเขาเองก็หันมาและพูด “ท่านลิงค์ ถ้าท่านมีเวลาท่านมาที่หุบเขามังกรสิ เรื่องของอุปกรณ์ระดับเทพเจ้านั้นยังไม่เสร็จสิ้น พวกเราต้องการข้อมูลของท่าน”
ลิงค์คิดอยู่แปปนึงก่อนที่จะตอบกลับ “เอาเป็นหนึ่งเดือนหลังจากนี้แล้วกันนะ ผมต้องการเวลาซักนิดในการพักผ่อนหลังจากที่กลับลงใต้”
เขานั้นกำลังนึกถึงเรื่องการซ่อมแซมนานะ หุ่นเชิดเวทมนตร์ตัวนี้นั้นแข็งแกร่งมากๆ มันจะน่าเสียดายมากถ้าไม่ซ่อมมัน
เฟลิน่าพยักหน้าตอบ เธอเองก็เกือบตายไปหลายรอบในภารกิจที่ป้อมโครงกระดูกนี้ แม้กระทั่งอาวุธกรงเล็บมังกรของเธอก็ถูกทำลายไม่มีชิ้นดี และเธอเองก็เหนื่อยมากๆจากภารกิจนี้และเธอคงไม่สามารถฟื้นฟูพลังได้เต็มที่ถ้าเกิดว่าเธอไม่พักผ่อนให้มากๆ
ในตอนนั้นเอง ในที่สุดสะพานแขวนก็ลงมาเสร็จ ด้านหลังของสะพาน ดยุคอาเบล และเจ้าหน้าที่ระดับสูงบางส่วน รวมถึงนักเวทย์มาร์โก้เองก็ได้ยืนรออยู่แล้ว เมื่อพวกเขาเห็นกลุ่มที่เดินทางกลับมา พวกเขาก็รีบเดินมาอย่างเร่งรีบ
ดยุคอาเบลรีบไปหากลุ่มที่กลับมาอย่างรวดเร็ว และใบหน้าของเขาก็อ่อนลงในตอนที่เขาเห็นลูกสาวของเขา จากนั้นเขาก็เดินไปหาลิงค์และโค้งคำนับด้วยความเคารพก่อนที่จะพูดออกมา “มาสเตอร์ ขอบคุณสำหรับความพยายามอย่างหนักของท่านครับ”
จากนั้นลิงค์ก็ทำความเคารพแบบนักเวทย์แล้วตอบกลับ”ผมเพียงแค่ทำหน้าที่ของผมครับ ท่านดยุค ผมมีรายงานอันน่าสนใจมากมายจากภารกิจนี้ด้วย ผมจะเขียนรายงานทางทหารให้อย่างละเอียดในเวลาไม่ช้าครับ”
“ได้โปรดเข้ามาเถอะครับ!” ดยุคอาเบลพูดอย่างตื่นเต้น นี่จะเป็นข้อมูลโดยตรงในเรื่องที่จะจัดการกับดาร์กเอลฟ์ ยิ่งไปกว่านั้น มันจะมาจากนักเวทย์ที่ฉลาดมากๆอีกด้วย มูลค่าของข้อมูลที่นำมาอ้างอิงนั้นคงจะสูงมากๆ!
เมื่อกลุ่มของพวกเขาเข้ามาในป้อม ภาพของนักดาบแห่งรุ่งอรุณได้ทำให้ผู้คนต่างส่งเสียงเชียร์และยิ้มออกมา
สำหรับนักรบมังกรแดง ไม่มีนักรบชาวมนุษย์คนไหนแสดงท่าทางรังเกียจหรือกลัวเธอในตอนที่เธอเดินผ่าน พวกเขาเพียงแค่จ้องไปที่เธอด้วยความสงสัย ตราบใดที่นักดาบแห่งรุ่งอรุณยังมีชีวิตอยู่ มันก็ไม่สำคัญว่าท้องฟ้าจะแยกออกเป็นสองซีก หรือการปรากฏตัวของนักรบที่แปลกประหลาด
เมื่อลิงค์มองภาพเหล่านี้ เขาก็ทำได้แต่ประทับใจในฐานะทางการทหารของคาร์โนส เขานั้นเป็นตัวแทนของเทพแห่งสงครามจริงๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมดยุคอาเบลถึงดึงดันที่จะส่งทีมช่วยเหลือไปแม้กระทั่งในสถานการณ์ที่ยากลำบากแบบนี้
เมื่อพวกเขามาถึงห้องโถงบัญชาการที่อยู่ใจกลางของป้อม ลิงค์ก็ไม่ได้ปล่อยให้เสียเวลาและรายงานทุกอย่างที่เขาพบเจอในภารกิจทางเหนือของเขาโดยละเอียด เขาอธิบายถึงเหตุการณ์กับพวกกูล ป้อมโครงกระดูก อุปกรณ์ระดับเทพเจ้าและผู้ใช้มัน ความประณีตของอาเซเลีย จากนั้นเขาก็แนะนำเฟลิน่าอย่างสั้นๆรวมเข้าไปในการรายงานทั้งหมดของเขา
ลิงค์ได้รายงานอย่างมีจุดประสงค์อย่างมาก รวมไปถึงการคาดคะเนความแข็งแกร่งของศัตรูทุกคนด้วย ในตอนที่เขาพูดจบ ทั่วทั้งห้องโถงบัญชาการก็ตกอยู่ในความเงียบ
ทุกคนนั้นได้ตกใจกับสองเรื่อง
เรื่องแรกคือ ในที่สุดพวกเขาก็รู้ว่าพวกดาร์กเอลฟ์ใช้วิธีอะไรในการสร้างสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวอย่างกูลขึ้นมา ใครจะไปคิดว่าพวกเขาได้รับการช่วยเหลือจากอุปกรณ์ระดับเทพเจ้าหล่ะ! แค่นี้ก็น่ากลัวมากพอแล้ว! ส่วนเรื่องที่สองก็คือ พวกเขาตกใจที่นักเวทย์ลิงค์สามารถช่วยเหลือคาร์โนสมาจากเงื้อมมือของอาเซเลียผู้ถือครองอุปกรณ์ระดับเทพเจ้าได้ พวกเขาไม่ได้เพียงแค่หนีจากการไร้ตามอันไม่ลดละของเธอเท่านั้นแต่พวกเขายังจัดการเธอโดยใช้ความช่วยเหลือจากหุ่นเชิดเวทมนตร์ของลิงค์อีกด้วย
นี่มันเทียบได้กับคนธรรมดาที่พยายามจะเอาชนะเทพเจ้าได้เลย ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าลิงค์ได้ยืนอยู่ต่อหน้าพวกเขาหล่ะก็ ก็คงไม่มีใครเชื่อมัน!
จากมุมมองนี้ อุปกรณ์ระดับเทพเจ้าก็ไม่ได้ดูน่ากลัวมากขนาดนั้น ยังไงซะ มันก็ได้พ่ายแพ้ไปแล้ว
หลังจากนั้นซักพัก ดยุคอาเบลก็พูด “มาสเตอร์ อ้างอิงจากที่ท่านพูด ตอนนี้ที่อยู่ของอุปกรณ์ระดับเทพเจ้ายังเป็นปริศนา ท่านคิดว่าสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นได้มากที่สุดคืออะไรหรอครับ?”
ถึงแม้ว่าคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าเขานั้นอายุยังไม่ถึง 20 ปีด้วยซ้ำ แต่ดยุคอาเบลก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเคารพ โดยที่ไม่ให้ดูถ่อมตัวมากเกินไป ซึ่งนี่เป็นเพราะว่าผลงานด้านการต่อสู้ของลิงค์นั้นโดดเด่นมากเกินกว่าที่จะมองข้าม
ลิงค์ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มาตลอดทางและได้มีการคาดการณ์แบบคร่าวๆเอาไว้ เขาพูด “ผมคิดว่าการหายไปของอุปกรณ์ระดับเทพเจ้านั้นคงจะแค่การชั่วคราวเท่านั้น อุปสรรคนั้นยังคงใหญ่อยู่ มันน่าจะเลือกผู้ถือครองคนที่ 2 หลังจากนี้ซักพัก และด้วยบทเรียนอันแสนเจ็บปวดนี้ ผู้ถือครองคนที่ 2 น่าจะต้องเป็นคนที่ฉลาดและมีประสบการณ์มากกว่านี้ มันคงจะน่ากลัวมากที่ต้องสู้กับดาร์กเอลฟ์แบบนั้น แบล็คฟอเรสในตอนนี้ไม่ปลอดภัยแล้ว ผมแนะนำว่าให้ยอมแพ้เรื่องป้อมบนยอดภูเขาน้ำแข็งนี่แล้วถอยไปที่ป้อมโอริด้าที่อยู่ทางทิศใต้จะดีกว่า”
เจ้าหน้าที่ระดับกลางคนหนึ่งรู้สึกไม่พอใจกับคำแนะนำของลิงค์ จากมุมมองของนักรบ การทำลายอุปกรณ์ระดับเทพเจ้าไปเลยนั้นเป็นหนทางเดียวที่จะกำจัดปัญหาได้อย่างสมบูรณ์ “แต่นี่มันไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาจากต้นเหตุนะครับ; พวกเราควรทำลาย-”
ก่อนที่เขาจะพูดจบประโยค ดยุคอาเบลก็จ้องไปที่เขาอย่างรวดเร็วก่อนที่จะพูดออกมา “เงียบไปจนกว่ามาสเตอร์จะพูดจบ!”
เจ้าหน้าที่คนนั้นหน้าซีด และเขาก็กลืนคำพูดของตัวเองลงไปในทันที
จากนั้นลิงค์ก็พูดต่อ “ผมอยากให้ทุกคนจำความจริงสองข้อนี้ไว้ หนึ่งคือ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะทำลายอุปกรณ์ระดับเทพเจ้า สองคือ มันเป็นไปไม่ได้ที่อุปกรณ์ระดับเทพเจ้านั้นจะอยู่ในโลกนี้ไปได้ตลอด มันใช้พลังงานของมันในทุกวินาทีที่มันอยู่ที่นี่ แม้กระทั่งตอนนี้ที่เราพูดคุยอยู่ก็ตาม”
พอเขาพูดมาถึงจุดนี้ เขาก็มองไปทั่วทั้งห้องโถงเพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนตั้งใจฟังคำพูดของเขาอย่างจริงจัง จากนั้นเขาก็พูดต่อ “อาณาจักรได้ทำการสร้างกำแพงเหล็กเอาไว้เพื่อป้องกันกับป้อมโอริด้าในฐานะจุดยุทธศาสตร์มานานกว่า 300 ปี มันแข็งแรงและทนทานมากๆ จากมุมมองของผม พวกเราจำเป็นต้องยื้อเวลาให้ได้ประมาณ 1 ปีก่อนที่อุปกรณ์ระดับเทพเจ้าจะถูกขับไล่ออกไปจากโลกแห่งฟิรุแมน และข้อได้เปรียบที่สุดของพวกดาร์กเอลฟ์ก็จะสลายไปโดยอัตโนมัติ ผมรู้สึกว่ากลยุทธ์นี้น่าจะปลอดภัยที่สุดในสถานการณ์ ณ ปัจจุบันนี้”
ทุกคนในห้องโถงต่างก็ตกอยู่ในห้วงความคิด
ลิงค์นั้นได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ากลยุทธ์ของเขานั้นเป็นทางเดียวที่ปลอดภัยที่สุดในตอนนี้ ไม่มีใครกล้าที่จะเรียกร้องชัยชนะเหนืออุปกรณ์ระดับเทพเจ้า ถ้าเกิดว่ามีใครซักคนทำผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ทั่วทั้งอาณาจักรนอร์ตันก็อาจจะตกลงสู่ห้วงลึกแห่งความน่ากลัวได้
มีเสียงนึงดังขึ้นมาทำลายความเงียบ นั่นก็คือคาร์โนส เขายืนขึ้นและพูด “ข้าได้เห็นพลังของอุปกรณ์ระดับเทพเจ้าด้วยตาของตัวเอง ดังนั้น ข้าจึงเห็นด้วยกับกลยุทธ์ของมาสเตอร์ลิงค์ ป้อมยอดภูเขาน้ำแข็งนั้นเป็นแค่ป้อมปราการชั่วคราว กำแพงป้องกันเวทมนตร์และระยะตรวจจับของการเฝ้าระวังนั้นก็ห่างชั้นกับที่เรามีในป้อมโอริด้ามาก มันคงจะเป็นการยากที่จะทำการป้องกันที่นี่”
จากนั้นแอนนี่ก็เสริมต่อ “ฉันเองก็คิดว่าการถอยนั้นเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเช่นกันค่ะ”
ทุกคนในห้องโถงนั้นต่างปรึกษากัน 10 นาทีต่อมา ดยุคอาเบลก็เคาะโต๊ะของเขาเบาๆเพื่อหยุดการปรึกษากันและพูดออกมา “ข้าจะพิจารณามันอย่างระมัดระวัง พวกเรามีทหาร 10,000 คนในป้อมยอดภูเขาน้ำแข็ง มันเป็นไปไม่ได้ที่จะสั่งถอยในทันที พวกเราจะต้องจัดให้ถอยเป็นกลุ่มๆ ยิ่งไปกว่านั้น การตัดสินสุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับพระราชา”
ถึงแม้ว่าเขาจะพูดว่าจะเอาเรื่องนี้ไปพิจารณา แต่ดยุคอาเบลก็เชื่อในวิธีนี้อย่างเต็มที่แล้ว เขานั้นไม่มีความกล้าที่จะไปต่อกรกับอุปกรณ์ระดับเทพเจ้า
ณ จุดนี้ การรายงานทางการทหารก็ได้จบลง และลิงค์ก็ได้ตามนักเวทย์มาร์โก้ไปที่หอคอยเวทมนตร์หลังจากที่เขาออกมาจากโถงประชุม
ระหว่างทาง นักเวทย์มาร์โก้ได้พูดขึ้น “มาสเตอร์ครับ พวกเราได้ศึกษาพวกกูลอย่างระมัดระวังแล้ว ธาตุเงินศักดิ์สิทธ์ที่ท่านนำมาด้วยนั้นมันดูมีผลกับพวกมันอย่างมาก แต่ว่า ผมรู้สึกว่ายังมีช่องว่างให้พวกเราปรับปรุงมันได้อีก”
ลิงค์พยักหน้าและพูด “ผมไม่ได้เก่งมากในเรื่องการแปรธาตุ แต่ผมจะอยู่ที่นี่อีก 2 วันก่อนที่ผมจะเดินทางไปที่สถาบันเวทมนตร์อีสโควฟ พวกเราสามารถพูดคุยถึงวิธีจัดการกับสิ่งมีชีวิตที่น่าเวทนาเหล่านี้ได้ในระหว่างนี้ “”
อสรพิษทมิฬนั้นมีเวทย์ศักดิ์สิทธิ์-ดูดกลืนวิญญาณ พวกกองทัพจะยังไม่ปลอดภัยแน่นอนต่อให้พวกเขาถอยไปที่ป้อมโอริด้าก็ตาม เขาจะต้องคิดหากลยุทธ์ที่จะจัดการกับเวทย์นี้กับจอมเวทย์ของสถาบันเวทมนตร์อีสโควฟก่อน
มาร์โก้มีความสุขและตอบกลับ “นี่คงจะสุดยอดไปเลยครับ”
…
2วันก่อนหน้านี้ ที่ทิศเหนือของแบล็คฟอเรส
ครึ่งชั่วโมงหลังจากที่พวกลิงค์ไป คนแก่ที่มีดวงตาสีขาวและผมสีขาวสวมผ้าคลุมสีดำก็ได้มาถึงสนามรบ
เขาคือนักเวทย์ไอมอนส์
เขามองไปที่ร่างของอาเซเลียและถอนหายใจ “คุณทำให้สตรีแห่งความมืดผิดหวังมาก อุปกรณ์ระดับเทพเจ้านั้นมีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับชะตากรรมของเผ่าพันธุ์เราเป็นอย่างมาก มันไม่ใช่อะไรที่คุณจะใช้เพื่อระบายความโกรธของคุณได้ โปรด ไปสู่สุขติเถิด”
จากนั้นเขาก็นั่งลงและปิดตาของอาเซเลียที่เปิดอยู่อย่างนุ่มนวล จากนั้นไอมอนส์ก็ลุกขึ้นและพูดไปทางป่ารอบๆ “ออกมาอสรพิษทมิฬ”
หลังจากที่มีเสียงใบไม้สีกัน งูยักษ์ก็ได้โผล่ออกมาจากป่า
ไอมอนส์ยื่นมือของเขาออกมา งูยักษ์กระโดดเข้าไปหาแขนของเขาก่อนที่จะแปลงเป็นแส้ จากนั้นไอมอนส์ก็ถือแส้นี้พร้อมกับเดินเข้าไปในป่าอย่างช้าๆ จากนั้นเขาก็พูดเพิ่มเติม “ในตอนนี้ ข้าคิดว่าข้าหาผู้คือครองที่ดีกว่านี้ให้เจ้าได้แล้ว เจ้าคิดว่าลูกศิษย์ของข้า ลอนเดลเป็นยังไงหล่ะ?”
ฟ่ออ แส้พยักหน้าก่อนที่จะส่ายหัวของมัน
จากนั้นไอมอนส์ก็ถอนหายใจ “เขานั้นเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดจริงๆ แต่ว่า หลังจากที่เขากลายเป็นผู้ถือครองอุปกรณ์ระดับเทพเจ้า อายุขัยของเขาก็จะเหลือเพียงแค่ครึ่งปี นั่นคงจะน่าเสียดาย ให้ข้าคิดหน่อยนะ…มุดดาฟี่เป็นไง?”
แส้ส่ายหัวของมันอีกครั้ง
“มุดดาฟี่ก็ไม่ได้งั้นหรอ…นี่มันยากนะเนี่ย ทำไมไม่ให้ข้าเลือกผู้อาสาสมัครมา แล้วเจ้ามาเลือกด้วยตัวเองล่ะ?”
ฟ่ออ แส้พยักหน้าเบาๆเป็นการเห็นด้วย