“ไอบ้าเอ้ย ทำไมเจ้าถึงหยุดข้า!”
โรมิลสันกระวนกระวายมากในตอนที่เขาตื่นขึ้นมา เขารีบพุ่งเข้าใส่ลิงค์และจับคอเสื้อของเขาพร้อมกับตะโกนใส่
แม้ว่าเขาจะไม่ใสใจกับความจริงที่ว่าลิงค์ห้ามไม่ให้เขาไปช่วยเหลือองค์หญิงมิลด้า แต่ลิงค์ก็ได้ใช้กำลังทำให้เขาสลบไป! คนเป็นนักเวทย์มาใช้วิธีการแบบนี้ได้ยังไงกัน!?
มันไม่น่าเชื่อเอาซะเลย! เขาเป็นคนที่บ้าและป่าเถื่อนมาก!
ลิงค์ปล่อยให้ไฮเอลฟ์คนนี้ตะโกนและอาละวาดอยู่ประมาณครึ่งนาที หลังจากที่มั่นใจว่าเขาใจเย็นลงแล้ว ลิงค์ก็ได้วางมือของเขาลงอย่างช่วยไม่ได้แล้วพูด “นายใจเย็นลงได้รึยัง? นายต้องเข้าใจนะว่าทุกวินาทีที่นายเสียไปนั้นก็คือการทำให้องค์หญิงมิลด้าเป็นอันตรายมากขึ้นด้วย”
ประโยคนี้เหมือนกับถังน้ำเย็นๆ มันล้างเอาความโกรธของโรมิลสันออกไปหมดในครั้งเดียว จากนั้นเขาก็หยิบหินเปื้อนเลือดที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาแล้วเดินไปที่ประตู ระหว่างที่เขาเดิน เขาก็หันกลับมาหาลิงค์และพูดอย่างเย็นชา “นักเวทย์ ข้าจะจำเจ้าไว้! เมื่อข้ากลับไปยังเกาะรุ่งอรุณ ข้าจะไปขอเข้าพบองค์ราชินี และข้าจะทำให้มั่นใจว่าเจ้าจะโดนลงบัญชีดำในฐานะเป็นบุคคลที่ชนเผ่าของข้าไม่ต้อนรับ!”
จากนั้นเขาก็เปิดประตูไม้ด้วยความโกรธ หลังจากที่เขาเดินออกจากบ้าน โรมิลสันก็หยุดแล้วจ้องไปที่ภาพที่อยู่เบื้องหน้าของเขาด้วยความหวาดกลัว
มีศพมากมายนอนกองอยู่บนพื้นในขณะที่ทหารรับจ้างกับผู้อยู่อาศัยได้ทำความสะอาดความวุ่นวายนี้อย่างเงียบๆ และเขาก็ยังเห็นบางคนกำลังร้องไห้เสียใจกับความสูญเสียด้วย, สถานที่บางแห่งกำลังไฟไหม้, บ้านไม้พังทลาย กลิ่นของเลือดสดๆนั้นเต็มไปทั่วชั้นบรรยากาศ นี่มันตรงกันข้ามกับที่รกร้างเฟิร์ดอันแสนสงบสุขที่โรมิลสันได้เห็นเมื่อไม่นานมานี้โดยสิ้นเชิง
“นี่ข้าหลับไปนานแค่ไหนกันเนี่ย?” โรมิลสันถามในขณะที่เขาจินตนาการถึงการต่อสู้อันดุเดือดที่เกิดขึ้น
“ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง” ลิงค์พูดในขณะที่เขาเดินมาหา
“ข้าเดาว่ามีผู้โจมตีหลายคนใช่มั้ย?”
“ไม่เยอะมากหรอก แค่ห้าสิบคนเอง แต่ว่า พวกมันแต่ละคนนั้นแข็งแกร่งมาก ถ้าเกิดว่าฉันไม่อยู่ที่นี่ ดินแดนของฉันก็คงกลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว” เสียงของลิงค์นั้นนิ่งมาก เขาดูเหมือนกับไม่ได้รับผลกระทบจากคำขู่ของโรมิลสันเมื่อก่อนหน้านี้เลย
โรมิลสันอดหันมาหานักเวทย์ชาวมนุษย์ที่อยู่ข้างๆเขาไม่ได้ ไม่มีเศษเสี้ยวของความร้อนรนหรือความโกรธบนใบหน้าของลิงค์เลย ปกติแล้ว ลอร์ดจะต้องโกรธและเศร้าเสียใจหลังจากที่ประสบกับความเจ็บปวดและความสูญเสียครั้งใหญ่แบบนี้ นี่เขายังใจเย็นอยู่ได้ยังไงกัน?
โรมิลสันนั้นถูกนักเวทย์ที่อยู่ตรงหน้าของเขาทำให้สับสน เขานั้นยังไม่อยากเข้าใจความคิดแปลกประหลาดของเขา โศกนาฎกรรมที่อยู่ตรงหน้าของเขานั้นทำลายความโกรธของเขาไปจนหมดในขณะที่เขากระซิบ “ข้าจะออกไปตามหาองค์หญิง”
“ฉันจะไปกับนายด้วย” ลิงค์อยู่ข้างๆเขา
เมื่อได้ยินคำพูดพวกนี้ ความโกรธที่เพิ่งหายไปของโรมิลสันก็ได้ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง เขาตะโกน “โอ้ ในที่สุดเจ้าก็สนใจที่จะช่วยองค์หญิงแล้วงั้นหรอ? พอมาคิดว่าองค์หญิงได้ให้หัวใจแห่งหุ่นเชิดกับเจ้าในรถม้าแล้ว มันก็ไม่เป็นอะไรนะที่ตัวเจ้าจะปฏิเสธที่จะช่วยองค์หญิง แต่เจ้ามาหยุดไม่ให้ข้าออกไปช่วยได้ยังไง? ช่างเป็นลอร์ดที่โหดร้ายและไร้หัวใจอะไรเช่นนี้!”
“ถ้านายไปคนเดียวนายตายแน่” ลิงค์เตือน
“งั้นข้าก็จะได้ตายโดยที่ไม่เสียใจในภายหลัง!” โรมิลสันตะโกน
เกรนซี่ทนไม่ได้กับการอาละวาดของโรมิลสันและตะโกนอย่างรุนแรง “เจ้าหนู มาสเตอร์ลิงค์ได้ทำในสิ่งที่ควรทำแล้ว คนที่ตัดสินใจจะออกไปก็คือตัวองค์หญิงเอง ในเมื่อเธอเป็นคนทำพลาด มันก็เป็นเรื่องปกติที่เธอจะต้องยอมรับผลที่จะตามมา”
“ฮึ ข้ารู้นะว่าพวกเจ้าวางแผนอะไรเอาไว้ พวกเจ้ากลัวที่จะมีส่วนรับผิดชอบในการตายขององค์หญิงและทิ้งให้ข้ามีชีวิตอยู่เพื่อที่จะเป็นพยานหน่ะสิ พวกมนุษย์นี่มันช่างเสแสร้งจริงๆ!” โรมิลสันตะโกนพร้อมกับเดินออกไปจากดินแดน
เมื่อโรมิลสันมาถึงพื้นที่เปิด แสงอันอบอุ่นก็ได้ปกคลุมคทาของเขาในตอนที่เขาอัญเชิญอาชาทมิฬออกมา จากนั้นเขาก็ขึ้นขี่ม้าและตรงไปทางประตูตะวันออกของค่าย
“ยังไงซะเขาก็ยังหนุ่มอยู่ ช่างหัวแข็งเสียจริง” เฟอร์ดินันด์ถอนหายใจ
มันไม่มีการตัดสินใจที่ถูกหรือผิดในสถานการณ์เช่นนี้ สิ่งเดียวที่สำคัญก็คือมุมมองที่แตกต่าง เฟอร์ดินันด์นั้นเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์และจากมุมมองของเขาแน่นอนว่าเขาจะสนับสนุนแนวทางของลิงค์ในเรื่องนี้ เขาคงจะทำแบบเดียวกันถ้าเกิดว่าเขาเจอเข้ากับสภาวะอึดอัดเช่นนี้
จากนั้นเกรนซี่ก็ถอนหายใจ “เขานั้นยังหนุ่มและหยิ่งทะนงจนเกินไป เขามีพรสวรรค์และความแข็งแกร่ง แต่ว่าเขาไม่ได้มองถึงภาพรวมเลย”
ในขณะที่โรมิลสันกำลังออกไปจากดินแดน ลิงค์ก็พูดขึ้นมา “โอเคครับ งั้นผมจะปล่อยให้ดินแดนแห่งนี้อยู่ภายใต้การดูแลของมาสเตอร์ทั้งสองนะครับ ผมจะตามเขาไปค้นหาองค์หญิงมิลด้า เซลีน เธออยู่กับพวกมาสเตอร์นะ”
ลิงค์รู้ว่าเขาต้องทำอะไรสักอย่างและจะไม่ไขว้เขวง่ายๆด้วยคำพูดอันรุนแรงของโรมิลสัน
ลิงค์นั้นไม่ได้สนใจในสิ่งที่โรมิลสันพูด; ยังไงซะนักเวทย์ไฮเอลฟ์ในไทม์ไลน์นี้ก็เหมือนกันหมด พวกเขานั้นมีความสุขกับความสงบสุขและความหรูหราในเกาะแห่งรุ่งอรุณ มานานกว่า 100 ปี คนรุ่นหนุ่มสาวนั้นยังไม่ค่อยเข้าใจในความโหดร้ายของโลกนี้เท่าไหร่นัก
“โอเค ดูแลตัวเองดีๆหล่ะ” เซลีนพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง เธอเองก็ไม่ได้โกรธโรมิลสัน ในสายตาของเธอนั้น ไฮเอลฟ์ก็เป็นแค่เด็กน้อยขี้หัวร้อนเท่านั้น
ลิงค์พยักหน้าและอัญเชิญเฟนเรียสายลมออกมาในทันที จากนั้นเขาก็ไล่ตามโรมิลสันออกไปข้างนอกเทือกเขามอดไหม้
เกรนซี่มองไปยังเส้นทางที่นักเวทย์ทั้งสองค่อยๆหายไปในความมืดและในที่สุดก็พูดขึ้นมา “หวังว่าโรมิลสันจะหยุดอาละวาดได้ในระหว่างทางนะ”
เฟอร์ดินันด์พยักหน้าแล้วพูดเสริม “พวกเขาทั้งคู่นั้นต่างก็เป็นนักเวทย์หนุ่มอัจฉริยะ แต่ว่า นิสัยของโรมิลสันนั้นแตกต่างจากลิงค์มาก เขาดูไม่น่าเชื่อถือเลย ช่างหน้าผิดหวังจริงๆ”
ทำไมมาสเตอร์ทั้งสองถึงไม่ได้สงสัยในตัวลิงค์ในตอนที่พวกเขาได้รับจดหมายและหินวิญญาณแห่งความมืดเลยสักนิดหล่ะ? นอกจากความจริงที่ว่ามันเป็นวิธีการใส่ร้ายอย่างเห็นได้ชัดแล้ว ความประพฤติตามปกติของลิงค์ก็เป็นเหตุผลที่สำคัญเช่นกัน
จากจุดเริ่มต้นที่เขารับมือกับการโจมตีของดาร์ริสด้วยความสุขุม จนไปถึงการเปิดโปงการทดลองเวทมนตร์แห่งความมืดของเบลและท้ายที่สุดก็ชัยชนะต่อปีศาจทราวิสอย่างสง่างามของเขา ลิงค์นั้นได้แสดงคุณสมบัติที่น่าชื่นชมออกมาจำนวนมาก
เขานั้นรอบคอบ ความรู้สึกไว มีเป้าหมาย และมีเหตุผล เขาไม่มีทางที่จะตัดสินหรือตัดสินใจอะไรซักอย่างโดยใช้เแค่ความรู้สึกเพียงอย่างเดียว
ในตอนที่อาจารย์ใหญ่แอนโทนี่ไม่เชื่อคำเตือนของลิงค์เรื่องการปรากฏตัวของทราวิส เขาก็ไม่ได้ทำการต่อต้านเลยแม้แต่นิดเดียว เขาเพียงแค่ใช้เวลาของเขาทั้งหมดไปกับการร่ำเรียนเวทมนตร์และในที่สุดก็ช่วยทั้งสถาบันเอาไว้ได้
มันคงจะเป็นการผิดพลาดถ้าบอกว่าลิงค์นั้นไม่เคยวิจัยเวทมนตร์แห่งความมืด ซึ่งมันจะถูกต้องกว่าหากบอกว่าลิงค์นั้นไม่มีทางปล่อยให้เขาถูกเปิดโปงด้วยวิธีการที่ไม่ระวังเช่นนี้ สรุปแล้วก็คือ ลิงค์นั้นเป็นชายหนุ่มที่สมควรได้รับความเชื่อถือจากพวกเขา
…
ประมาณ 600 ฟุตไกลออกไปจากเทือกเขามอดไหม้ เงามืดทั้งสองกำลังมองดูสถานการณ์ในค่ายจากเนินเขาเล็กๆ
“มันจบแล้ว” หนึ่งในพวกเขาพูด
เสียงของเขานั้นทุ้มต่ำ, เขาสวมเกราะหนังสีดำและมีมีดผูกอยู่กับต้นขาทั้งสองข้าง มีดพวกนี้ดูพิเศษมาก มันมีสีแดงเข้มหายากและถูกปกคลุมด้วยชั้นแสงสีแดงเพลิง พวกมันดูงดงามมาก
ดูจากอุปกรณ์ของเขา สามารถบอกได้เลยว่าเขาเป็นนักฆ่า
“เขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมมาก แผนการในครั้งนี้ของพวกเราล้มเหลวแล้วหล่ะ” อีกคนนึงพูดขึ้น คนๆนี้สวมผ้าคลุมฮู้ดและถือคทาอยู่ในมือของเขา-เขาเป็นนักเวทย์
แม้ว่าพวกเขาจะฆ่าคนไปมากมาย แต่พวกที่เขาฆ่าก็เป็นแค่ทหารรับจ้างตัวเล็กๆ เป้าหมายหลักของพวกเขานั้นถูกปกป้องอย่างดีและไม่ได้รับบาดเจ็บเลย การใส่ร้ายที่พวกเขาได้ทำไปตั้งแต่ตอนแรกเองก็ไม่มีความหมายเช่นกัน
“เขาเริ่มสร้างหอคอยเวทมนตร์ของเขาแล้ว ดูจากการดำเนินการในปัจจุบัน มันน่าจะแล้วเสร็จภายในหนึ่งเดือนนี้ และด้วยความสามารถในการตรวจจับของหอคอยเวทมนตร์ พวกเราน่าจะไม่มีโอกาสลอบโจมตีอีกแล้ว”
การลอบโจมตีคราวนี้ใช้ประโยชน์จากการที่เทือกเขามอดไหม้ ไม่มีหอคอยเวทมนตร์ ยังไงก็ตาม ตอนนี้ข้อเสียนี้กำลังจะได้รับการแก้ไขแล้ว หนทางเดียวที่จะจัดการกับลิงค์ได้หลังจากที่หอคอยเวทมนตร์สร้างเสร็จแล้วก็คือการใช้กำลัง
และนี่ก็เป็นผลลัพธ์ที่ร้ายแรง
ยังไงก็ตาม อยู่ๆนักเวทย์ผ้าคลุมดำก็ส่งเสียงแปลกๆออกมาและชี้ไปทางเทือกเขามอดไหม้ที่อยู่ไกลออกไปก่อนที่จะพูด “ดูสิ มีคนสองคนออกมาจากดินแดน มันคือนักเวทย์ที่หนีไปได้กับลิงค์”
นักฆ่าขยี้ตามองแล้วพยักหน้า จากนั้นเขาก็พูดขึ้น “เป็นพวกมันจริงๆด้วย จากทิศทางที่พวกมันไป…พวกมันจะต้องไปตามหาองค์หญิงไฮเอลฟ์แน่ๆ พวกเรามีโอกาสแล้ว!”
จากนั้นนักเวทย์ก็ส่ายหน้าและพูด “พวกเราเหลือนักฆ่าอยู่ประมาณ 13 คน ต่อให้รวมพวกเรา 2 คนเข้าไปแล้ว มันก็ทำให้พวกเรามีแค่ 15 คนที่แข็งแกร่งเท่านั้น มันอาจจะมากเกินพอที่จะจัดการไฮเอลฟ์ได้ แต่ว่า ลิงค์ยังเป็นตัวปัญหาอยู่ มันรู้วิธีการใช้เวทย์เคลื่อนย้ายแบบเป็นกลุ่ม ”
เวทย์เคลื่อนที่อย่างระเบิดพลังนั้นอาจจะไม่เพิ่มความสามารถทางการต่อสู้ของนักเวทย์ ยังไงก็ตาม มันเป็นเวทย์ที่มีประโยชน์มากในการใช้หนี ไม่เพียงแค่ลิงค์จะใช้เวทย์นี้ได้เท่านั้น แต่เขายังพาคนไปกับเขาได้ด้วย ทำให้เขาเป็นคนที่จัดการได้ยาก
ต่อให้พวกเขาส่งคน 100 คนไปลอบโจมตีเขา เขาก็สามารถหลบหนีจากสถานการณ์เช่นนั้นได้อย่างง่ายดาย
นี่เป็นเหตุผลที่ชัดเจนว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ได้พยายามจะฆ่าลิงค์ตั้งแต่แรกในตอนที่พวกเขามีนักฆ่า 60 กว่าคนอยู่ด้วย พวกเขาตัดสินใจที่จะป้ายความผิดที่พวกเขาก่อให้กับลิงค์ แต่แล้ว ดูเหมือนว่าพวกนักฆ่าที่ส่งไปยังเทือกเขามอดไหม้จะไม่สนใจคำเตือนและไปสู้กับลิงค์แบบตรงๆ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็เพียงพอแล้ว
ยังไงก็ตาม นักฆ่าคิดอีกแบบนึง เขาลุกขึ้นแล้วหัวเราะ “ภารกิจใส่ร้ายลิงค์ยังไม่ล้มเหลวดีหรอก ตราบใดที่พวกเราฆ่าองค์หญิงไฮเอลฟ์ได้ ไม่เพียงแค่พื้นที่รกร้างเฟิร์ดจะเป็นปัญหาเท่านั้น แต่อาณาจักรนอร์ตันก็เช่นกัน! ความสัมพันธ์ระหว่างไฮเอลฟ์กับมนุษย์ก็จะแตกระแหง ทำให้พวกเจ้าที่อยู่ทางเหนือได้รับแรงกดดันน้อยลง”
นักเวทย์พยักหน้า แต่เขาก็ยังลังเล จากนั้นเขาก็พูดขึ้น “นั่นก็อาจจะจริง แต่ว่าองค์หญิงไฮเอลฟ์นั้นเก่งเรื่องการซ่อนตัวมาก แล้วพวกเราจะหาเธอได้ยังไง?”
“เรื่องกล้วยๆ!” นักฆ่ายิ้มและพูด จากนั้นเขาก็ชี้ไปทางโรมิลสันและพูด “ดูสิ เจ้าไฮเอลฟ์นั่นไม่ได้ใช้ถนนหลักในตอนที่มันออกมาจากค่าย กลับกัน มันกลับตรงเข้าไปในป่า เจ้าคิดว่ามันหมายความว่ายังไงหล่ะ?”
นักเวทย์นั้นก็ฉลาดมากเช่นกัน เขาพูดประโยคต่อไปในทันที “มันสามารถพาองค์หญิงไฮเอลฟ์มาให้พวกเราได้สินะ!”
“ใช่ สังเกตจากทิศทางที่มันไปแล้ว มันน่าจะเป็นเส้นตรง นั่นก็หมายความว่ามันตามหาองค์หญิงโดยมีอะไรบางอย่างนำทางอยู่ คาดว่าเส้นทางนี้น่าจะพาพวกเราไปหาองค์หญิงไฮเอลฟ์ พวกเราสามารถไปก่อนพวกมันและฆ่าองค์หญิงได้ก่อน ถ้าเกิดพวกเรามีเวลาเหลือ พวกเราก็ยังสามารถวางแผนลอบโจมตีได้อีกครั้งด้วย บางทีครั้งนี้พวกเราอาจจะฆ่าไฮเอลฟ์ได้ก็ได้นะ”
นักฆ่ายิ่งภูมิใจในตัวเองมากขึ้นเมื่อเขาคิดถึงแผนนี้ ด้วยการใช้ความกระตือรือร้นของไฮเอลฟ์ในการตามหาองค์หญิง พวกเขาก็จะตามเส้นทางของไฮเอลฟ์และฆ่าองค์หญิงก่อน มันเป็นแผนการที่สมบูรณ์แบบ!
นักเวทย์เองก็ยกย่องตัวเองจากก้นบึ้งของหัวใจ
“แผนการนี้ดีจริงๆ มันคุ้มค่าที่จะลองนะ ถ้างั้นข้าขอให้เจ้าทำสำเร็จก็แล้วกัน”
นักฆ่าตกใจและพูด “เจ้าจะไม่เข้าร่วมแผนการด้วยงั้นเหรอ?”
“ข้าเหรอ?” นักเวทย์ยิ้มและพูด “แน่นอนว่าไม่อยู่แล้ว เหตุผลเดียวที่ข้าลงมาทางใต้ก็คือเอาของเหลวศักดิ์สิทธิ์มาให้เจ้า ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเพิ่งจะขึ้นเลเวล 6 และไม่ได้เชี่ยวชาญในเวทย์ต่อสู้ ข้าคงจะถ่วงเจ้าถ้าเกิดว่าข้าเข้าร่วมภารกิจด้วย”
จากนั้นนักฆ่าก็ยักไหล่ของเขาและพูด “โอเคถ้างั้น ดูการแสดงอันยอดเยี่ยมของข้าล่ะกันนะ!”