ลิงค์ไม่ได้คิดค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างหอคอยเวทมนตร์
หอคอยเวทมนตร์นั้นมีหอคอยหลักที่สูง 540 ฟุตและหอคอยรองอีก 3 แห่งซึ่งแต่ละแห่งนั้นมีความสูงมากกว่า 300 ฟุต หอคอยเวทมนตร์ทั้งสี่นั้นครอบคลุมพื้นที่กว่า 20 เอเคอร์ทำให้มันเป็นสิ่งปลูกสร้างขนาดยักษ์ในพื้นที่รกร้างเฟิร์ด
ในตอนที่ยืนอยู่ด้านล่างหอคอยเหล่านี้ ลิงค์กับเอเลียร์ดดูตัวเล็กมากๆ มันเหมือนกับว่าพวกเขาเป็นแค่มดที่อยู่ใต้เท้าของยักษ์
จากนั้นเอเลียร์ดก็พูดกับลิงค์อย่างตื่นเต้น “ตอนนี้ มันยังมีรูปแบบเวทมนตร์บางจุดในหอคอยที่ยังไม่เสร็จสิ้น แต่ว่า รูปแบบเวทมนตร์ตรวจจับนั้นทำงานได้แล้ว ระยะการตรวจสอบของมันคือ 40 ไมล์ ซึ่งกว้างกว่าหนามแห่งสวรรค์ประมาณ 50% และนั่นก็หมายความว่าที่รกร้างเฟิร์ดทั้งหมดตกอยู่ภายใต้การดูแลแล้ว บ่อธาตุภายในหอคอยเองก็เปิดใช้งานแล้วเหมือนกัน พวกมันทั้งหมดมีคุณภาพสูงและสนับสนุนการทดลองเวทย์จนถึงเลเวล 8 แล้วพวกเราก็ได้เว้นพื้นที่ไว้สำหรับการปรับปรุงในอนาคตด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นผลงานของท่านโรมิลสัน เขาได้ช่วยพวกเราเอาไว้เยอะเลย”
ลิงค์ยิ้มในตอนที่เขาฟัง เขาพึงพอใจกับผลลัพธ์ ด้วยความสำเร็จในการสร้างหอคอยเวทมนตร์ของตัวเอง ตอนนี้เขาก็เป็นนักเวทย์เต็มตัวที่ประสบความสำเร็จแล้ว
ทั้งสองคนเข้าไปในหอคอยเวทมนตร์ที่ซึ่งนักเวทย์คนอื่นๆอีกหลายคนกำลังยุ่งอยู่กับงานประจำวันของพวกเขา
เอเลียร์ดเดินนำหน้าเพื่อนำทางและแนะนำสถานที่ให้กับลิงค์
“นี่คือทางเข้าไปชั้นใต้ดินของหอคอยเวทมนตร์ มันมีวงแหวนธาตุดินเลเวล 8 ที่สามารถปรับปรุงได้อีกในอนาคต แล้วก็ดูนั่นสิ มันคือห้องโถงประชุมที่สามารถจุคนได้ถึง 1,000 คน ดังนั้นต่อให้นักเวทย์ทุกคนของอาณาจักรนอร์ตันมาที่นี่ พวกเราก็สามารถต้อนรับพวกเขาได้ทุกคน และนี่ก็คือห้องเสริมพลัง มันใหญ่โตมาก แต่ถึงกระนั้นพวกเราก็ยังไม่มีอุปกรณ์ที่เพียบพร้อม ต่อไปก็คือห้องสมุดที่สามารถเก็บหนังสือเวทมนตร์ได้อย่างน้อย 10,000 เล่ม แต่ก็แน่นอนว่า, พวกเรายังไม่ได้เอาหนังสือมาลงเลย” เอเลียร์ดอธิบาย
ลิงค์กวาดตามองทั่วสิ่งปลูกสร้างอย่างระมัดระวังและรู้สึกว่าหอคอยเวทมนตร์นี้มีสิ่งหนึ่งที่น่าชื่นชมมาก-เกือบทุกมุมของมันถูกเว้นไว้สำหรับการปรับปรุงในอนาคต
ซึ่งนั่นก็หมายความว่าลิงค์จะยิ่งแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก เขาสามารถปรับปรุงหอคอยเวทมนตร์เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของเขาได้ แทนที่จะสร้างหอใหม่ ดูเหมือนว่าทั้งมาสเตอร์เกรนซี่และมาสเตอร์เฟอร์ดินันด์จะมองโลกในแง่ดีสำหรับการพัฒนาในอนาคตของเขา
หลังจากเดินทัวร์กับเอเลียร์ด ลิงค์ก็รู้สึกพอใจ ยังไงก็ตาม เขายังคงกังวลอยู่เรื่องนึง “พวกเราไม่มีอุปกรณ์เสริมพลังหรืออุปกรณ์แปรธาตุเลย ยิ่งไปกว่านั้น ห้องสมุดของเราก็ยังว่างเปล่า พวกเราต้องการเวลาในการรวบรวมสิ่งของเหล่านี้”
หอคอยเวทมนตร์นั้นเปรียบได้กับสถาบันเวทมนตร์เล็กๆ และเมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งก่อสร้างทั่วไป ห้องเสริมพลัง, ห้องแปรธาตุ บ่อธาตุและห้องสมุดนั้นจะต้องเป็นอันดับหนึ่ง พื้นที่ทั้ง 4 แห่งนี้เป็นตัวชี้วัดว่าหอคอยเวทมนตร์โด่งดังขนาดไหน
ถ้าหอคอยเวทมนตร์ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกพวกนี้ให้กับเหล่านักเวทย์ฝึกหัด แล้วพวกเขาจะมาเรียนในที่แห่งนี้เพื่ออะไรหล่ะ? ยังไงซะพวกเขาก็ไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาเป็นการ์ด
“พวกเราสามารถใช้เหรียญทองซื้ออุปกรณ์เสริมพลังและอุปกรณ์แปรธาตุได้ และพวกเราก็สามารถซื้อนักเวทย์ได้ด้วยเหรียญทอง แต่ว่า หนังสือเวทมนตร์ระดับสูงจะมีสเน่ห์ดึงดูดพวกเขาทุกคน มันไม่ใช่บางสิ่งที่สามารถใช้แค่เหรียญทองซื้อได้ ”
หลังจากนั้นซักพัก ลิงค์ก็มีไอเดียผุดขึ้นมา เขาพูด “ฉันจะต้องเริ่มสะสมหนังสือเวทมนตร์แล้ว อันที่จริง ฉันมีอยู่หลายเล่มเลยในหัว ฉันจะคัดลอกมันให้ในเวลาว่างและจัดหมวดหมู่ให้พวกมันด้วย…นี่ต้องเป็นโปรเจคที่น่าเบื่อมากแน่ๆ”
การก่อสร้างหอคอยเวทมนตร์นั้นเป็นเพียงแค่การเริ่มต้น ถ้าลิงค์ต้องการให้หอคอยเวทมนตร์เติบโตและแข็งแกร่งขึ้น เขายังคงต้องทำการลงทุนต่ออีกมาก
หอคอยเวทมนตร์นั้นใหญ่โต พวกเขาใช้เวลาไปกว่าชั่วโมงก่อนที่พวกเขาจะทัวร์จบ เอเลียร์ดมองไปที่ลิงค์และถาม “นายพอใจกับมันรึเปล่า?”
จากนั้นลิงค์ก็พยักหน้าและพูด “ดีกว่าที่ฉันคาดเอาไว้ซะอีก”
“ปกติแล้ว ค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการสร้างหอคอยเวทมนตร์นั้นสูงมาก ราคาโดยประมาณของมันอยู่ที่ 200,000 เหรียญทอง และนี่ยังไม่รวมเงินที่ใช้ซื้อวัตถุดิบหายากนะ ถ้าพวกเรานับมันไปด้วย พวกเราก็คงจะหาตัวเลขที่แน่นอนไม่ได้ และถ้านายถามฉัน ฉันก็คงจะบอกได้เลยว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดของหอคอยเวทมนตร์แห่งนี้สูงกว่า 2 ล้านเหรียญทองอย่างแน่นอน ซึ่งนี่มันสูงกว่าค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างหนามแห่งสวรรค์ถึง 2 เท่าเลยซะอีก!”
เอเลียร์ดเป็นพยานในการก่อสร้างหอคอยเวทมนตร์แห่งนี้ เขาได้รับความรู้มามากมายในช่วงเวลานั้น เมื่อเขาพูดจบ เขาก็มองไปที่ลิงค์ ดูเหมือนว่าเขามีอะไรจะพูดแต่กลับเลือกที่จะเงียบ
ลิงค์นั้นคุ้นเคยกับการแสดงออกของเอเลียร์ดและพูด “ดูเหมือนว่านายจะชอบหอคอยเวทมนตร์แห่งนี้มากเลยนะ ทำไมนายถึงไม่อยู่เรียนเวทมนตร์ต่อที่นี่เลยหล่ะ?”
เอเลียร์ดยิ้มออกมาในทันทีและพูด “ลิงค์ นายรู้ใจฉันดีจริงๆ เอาสิ ฉันได้ตกหลุมรักสถานที่แห่งนี้เข้าให้แล้ว ไม่ใช่แค่หอคอยเวทมนตร์นี้เท่านั้นนะแต่เป็นทั่วทั้งที่รกร้างเฟิร์ดนี่เลย ฉันรู้สึกว่ามันให้พลังงานและทำให้ผู้คนมองโลกในแง่ดี”
ที่รกร้างเฟิร์ดดูเหมือนว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มันเจริญรุ่งเรืองขึ้นในทุกๆวัน สำหรับผู้คนที่มีความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ สถานที่แห่งนี้ก็เป็นเหมือนกับสวรรค์บนดินเลยทีเดียว
เอเลียร์ดเองก็เป็นหนึ่งในคนที่มีความทะเยอทะยานแบบนั้น
จากนั้นลิงค์ก็ถาม “มีนักเวทย์คนอื่นอีกมั้ยที่อยากจะอยู่ในหอคอยเวทมนตร์ของฉัน?”
จากนั้นเอเลียร์ดก็พยักหน้าและพูด “มีสิ นอกจากนักเวทย์ที่เพิ่งมาถึง อย่างน้อย 1 ใน 3 ของพวกเขาก็อยากจะอยู่ที่นี่นะ”
“นั่นถือว่าเป็นข่าวดีเลยนะเนี่ย ฉันต้อนรับพวกเขาเสมอ” ลิงค์ยิ้มและพูด มีบ่อธาตุอยู่ประมาณ 7 แห่งในหอคอยเวทมนตร์ พวกเขาสามารถใช้พวกมันได้ทั้งหมดตลอดวัน ยังไงซะ, จุดประสงค์ดั้งเดิมในการสร้างหอคอยเวทมนตร์ใหญ่ๆขึ้นมานั้นก็เพื่อดึงดูดนักเวทย์มายังที่รกร้างเฟิร์ดอยู่แล้ว
ในตอนนี้ เอเลียร์ดได้เบี่ยงประเด็นจากเรื่องหอคอยเวทมนตร์ไปยังเด็กหญิงที่เดินตามหลังลิงค์มาเงียบๆ จากนั้นเขาก็ถามด้วยความสงสัย “เด็กผู้หญิงคนนี้เป็นใครหรอ? ทำไมฉันถึงไม่เคยเห็นเธอแถวนี้เลย?”
“เธอมีชื่อว่านานะ” ลิงค์ยิ้มและพูด ตลอดทาง เอเลียร์ดได้เหลือบมองนานะอยู่หลายครั้ง และในที่สุดเขาก็แพ้ให้กับความสงสัยของตัวเอง
“สบายดีไหม นักเวทย์” นานะเดินไปข้างหน้าและพูด เสียงของเธอนั้นสดใสและละเอียดอ่อนในตอนที่ตอบเอเลียร์ดด้วยรอยยิ้มอันอ่อนเยาว์ของเธอ
เอเลียร์ดเกาหัวของเขาและถามลิงค์ด้วยความสับสน “ทำไมฉันถึงรู้สึกแปลกๆกับเธอนะ จะว่ายังไงดี? คือมันแค่รู้สึกแปลกมากๆหน่ะ เหมือนมีบางอย่างขาดหายไป”
ลิงค์ทำได้แค่หัวเราะให้กับความสับสนของเขาและพูด “นี่คือหุ่นเชิดเวทมนตร์ที่ฉันสร้างขึ้นเอง ผลของการดีดกลับของเวทมนตร์ของฉันได้หายไปเมื่อ 10 วันก่อน นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ฉันยุ่งตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมานี้”
“หุ่นเชิดเวทมนตร์หรอเนี่ย?” เอเลียร์ดไม่เชื่อหูของตัวเอง เขานั้นค่อนข้างมั่นใจว่าเด็กผู้หญิงที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของเขานั้นมีชีวิตจริงๆ แล้วอยู่ๆเธอจะไปเป็นหุ่นเชิดเวทมนตร์ได้ยังไงกันหล่ะ?
จากนั้นเขาก็เดินวนรอบนานะและในที่สุดก็พบส่วนที่ไม่ใช่มนุษย์ เขาถาม “นี่ผิวหนังของเธอทำมาจากโลหะงั้นหรอ?”
“ใช่ มันคือโลหะ เป็นอิริเดียมยืดหยุ่นที่ถูกทำขึ้นมาด้วยขั้นตอนพิเศษ โลหะมีค่ามากมายก็ถูกผสมลงไปในระหว่างนั้นเหมือนกันนะ เพื่อทำให้มันยืดหยุ่น นุ่ม และมีพื้นผิวที่แข็งแรง ดาบทั่วไปไม่สามารถทำให้มันเป็นรอยได้ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเกิดว่าเธอได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เธอยังสามารถรักษาตัวเองได้โดยอัตโนมัติโดยที่ไม่ต้องให้คนอื่นช่วยด้วย”
ลิงค์แนะนำนานะตามปกติ นี่เป็นแค่ส่วนน้อยจากเรื่องอื่นๆอีกมากมายที่นานะสามารถทำได้ด้วยร่างกายใหม่ของเธอ
มันไม่ได้เป็นการพูดเกินจริงเลยในเรื่องวัตถุดิบที่ใช้ นานะนั้นอาจจะอยู่ระดับเดียวกับหอคอยเวทมนตร์เลยก็ว่าได้ ยังไงก็ตาม ถ้าเกิดว่าเจาะลึกเข้าไปในความยากของการสร้างทั้งคู่แล้ว นานะนั้นคงชนะไปอย่างขาดลอย เธอเหนือกว่าหอคอยเวทมนตร์แทบทุกด้าน ดังนั้นทั้งสองสิ่งนี้จึงไม่ควรมาถูกจัดมาอยู่ในหมวดหมู่เดียวกัน
เอเลียร์ดยังคงมองอยู่ แต่หลังจากนั้นซักพัก เขาก็ยอมแพ้และพูด “มันประณีตมากเกินไป มันยังไม่ใช่แนวทางของฉัน เธอสามารถทำอะไรได้บ้างหล่ะ?”
“เธอเป็นนักรบที่สมบูรณ์แบบ” ลิงค์พูดด้วยความภาคภูมิใจ
“นักรบหรอ? เธอดูอ่อนโยนและเปราะบางมากเลยนะ เธอจะสามารถสู้ได้หรอ?” เอเลียร์ดไม่เชื่อเขา
“หึ เธอเก่งมากเลยหล่ะ” ลิงค์ยืนยัน
“โอเค เข้าใจแล้ว” เอเลียร์ดผายมืออกและพูด ยังไงก็ตามใครๆก็สามารถบอกได้ว่าสีหน้าของเขายังแสดงถึงความไม่เชื่อ
หลังจากนั้น ลิงค์ก็ปล่อยให้พวกนักเวทย์จัดการในส่วนสุดท้ายของหอคอยเวทมนตร์และออกไปที่เทือกเขามอดไหม้พร้อมกับนานะ
ลิงค์ไปหาเซลีนก่อนเป็นคนแรกและสั่งให้นานะคอยติดตามเธอ จากนั้นเขาก็เตรียมมุ่งหน้าไปหามาสเตอร์เกรนซี่และมาสเตอร์เฟอร์ดินันด์เพื่อคุยเรื่องกลยุทธ์ตอบโต้พร้อมกับข้อมูลที่สคินอร์สนำกลับมา
อาณาจักรเดลอนก้านั้นเป็นอาณาจักรที่ถูกก่อตั้งขึ้นมานานแล้ว แต่ที่รกร้างเฟิร์ดนั้นเพิ่งจะตั้งขึ้นมาเพียงไม่นานและเห็นได้ชัดว่าไม่แข็งแกร่งพอที่จะป้องกันการโจมตีที่จะมาถึง ลิงค์ต้องยืมพลังจากอาณาจักรนอร์ตันในการต่อสู้ด้วย
เมื่อเขาไปได้ครึ่งทาง เขาก็เห็นกิลเดิร์นรีบเดินมาหาอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าเขามีเรื่องสำคัญอยากจะพูด
จากนั้นลิงค์ก็หยุดเดิน
กิลเดิร์นมีสีหน้าจริงจังและทำความเคารพเมื่อมาถึงตัวลิงค์แล้วก็กระซิบ “นายท่าน กระผมเพิ่งได้รับข่าวร้ายมา”
จากนั้นลิงค์ก็ร่ายเวทย์กำแพงเสียง “ว่ามา”
กิลเดิร์นพยักหน้าและพูด “ดูเหมือนว่าหน่วยสอดแนมของพวกเราจะพบกับอัศวินอันเดธที่แข็งแกร่งมากๆในป่าทางตอนเหนือของแม่น้ำดำ หน่วยสอดแนมได้ตายไป 13 คนแล้วในวันนี้”
ลิงค์ขมวดคิ้วและถาม “แข็งแกร่งมากเลยหรอ?นายสามารถอธิบายให้ละเอียดกว่านี้ได้มั้ย?”
“หน่วยสอดแนมที่โชคดีหนีรอดมาได้บอกว่าอัศวินอันเดธพวกนี้มีพลังแห่งความมืดและน้ำแข็ง พวกมันแข็งแกร่งมากๆและไม่มีจุดอ่อนบนร่างกายเลย และพวกมันยังสามารถต่อสู้ได้แม้ว่าหัวจะหลุดไปแล้วแถมยังหยิบหัวกลับมาต่อคืนที่เดิมได้อีกด้วย ร่างกายของพวกมันเต็มไปด้วยน้ำกรดที่สามารถฆ่าใครก็ได้ที่ไปโดนมัน ออร่าต่อสู้ใช้กับพวกมันไม่ได้ หน่วยสอดแนมที่ถูกพวกมันฆ่าจะลุกขึ้นมาในอีก 10 นาทีและกลายเป็นนักรบอันเดธ…มันช่างน่ากลัวจริงๆ”
ลิงค์ขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่ากิลเดิร์นพูดเวอร์ไป ต่อให้พวกมันเป็นนักรบอันเดธ พวกมันก็ไม่น่ามีพลังในการต่อสู้ขนาดนั้น นักรบอันเดธประเภทนี้ไม่มีอยู่ในเกมด้วยซ้ำ
“แล้วได้ร่องรอยที่อยู่ของพวกมันรึเปล่า?”
กิลเดิร์นส่ายหัวและพูด “พวกมันมีทั้งหมด 35 ตัวและดูเหมือนจะทำภารกิจบางอย่างอยู่ พวกมันเคลื่อนที่เร็วมาก ตอนที่หน่วยสอดแนมไปเจอพวกมัน พวกมันก็ได้ขึ้นไปทางตะวันตกเฉียงเหนือของป่าเกอเวนท์แล้ว”
ในตอนที่กิลเดิร์นพูดจบ ลิงค์ก็เห็นข้อความจากระบบในเกม
ภารกิจ:สะกดรอย
สิ่งที่ต้องทำ: เข้าป่าเกอเวนท์และสะกดรอยตามกลุ่มอัศวินอันเดธ สืบหาจุดประสงค์ของภารกิจของพวกมัน
รางวัล: หนังสือเวทมนตร์ที่สูญหาย การรวมร่างของมิติเวลา
เวลาจำกัด: 8 ชั่วโมง ถ้าเกินกำหนดจะถือว่าล้มเหลว!
ดูเหมือนว่านี่จะเป็นภารกิจที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ยิ่งไปกว่านั้นรางวัลยังเป็นหนังสือเวทมนตร์ด้วย! ดูจากชื่อของหนังสือแล้ว หนังสือเวทมนตร์เล่มนี้น่าจะมีคุณภาพสูง ลิงค์ตื่นเต้นขึ้นมาในทันทีเพราะรางวัล ดูจากเวลาที่จำกัด ดูเหมือนว่ามันจะเป็นภารกิจที่สำคัญและอันตราย
จากนั้นลิงค์ก็รับภารกิจมาโดยไม่ลังเลและส่งคัมภีร์ที่มีข้อความของสคินอร์สให้กับกิลเดิร์น และพูดขึ้น “เอาสิ่งนี้ไปให้มาสเตอร์เกรนซี่ ให้เขาจัดการเรื่องในนี้”
“แล้วนายท่านหล่ะครับ?”
“ฉันจะไปหยุดอัศวินอันเดธพวกนี้เอง ฉันจะออกไปเดี๋ยวนี้เลย!”
หลังจากพูดจบ ลิงค์ก็ไปหาดอเรียสในทันที
ดูเหมือนว่าดอเรียสจะมีความสุขกับชีวิตมากเกินไปในช่วงนี้ เขาน้ำหนักขึ้น และมีเสือนภาอีกตัวที่มีขนาดครึ่งนึงของเขาอยู่ข้างๆด้วย บางทีนั่นอาจจะเป็นคู่ของเขาที่เขาพบตอนที่ออกไปเดินเล่น
เมื่อเห็นลิงค์ เขาก็ส่ายหัวและพูด “ลิงค์ ข้ารู้ว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นจากสีหน้าของเจ้า พวกเราจะไปที่ไหนกัน?”
“ตะวันตกเฉียงเหนือของป่าเกอแวนท์ ฉันจะไปสะกดรอยตามกลุ่มอัศวินอันเดธ”
“ใกล้ๆเองนี่” ดอเรียสย่อตัวลงเพื่อให้ลิงค์ขึ้นมาขี่ก่อนที่จะคำราม “ไปกันเถอะ ข้าสามารถไปถึงพวกมันได้ภายใน 2 ชั่วโมง”
เขากระโดดไปข้างหน้าและดูเหมือนว่าจะวิ่งเร็วกว่าเมื่อก่อน
เมื่อเห็นสีหน้าที่ตกใจของลิงค์ เขาก็คำรามด้วยความดูหมิ่นและอธิบาย “ก่อนหน้านี้ข้าถูกจับขังเอาไว้นานเกินไปเลยทำให้อ่อนแอ ตอนนี้ ข้าได้ฟื้นฟูพลังกลับมาเกือบหมดแล้ว ดังนั้นตอนนี้ข้าเกือบจะแข็งแกร่งเท่ากับช่วงที่ดีที่สุดของข้าในสมัยก่อนแล้ว”
“ช่วงที่ดีที่สุดหรอ? แล้วแกแข็งแกร่งแค่ไหนหล่ะ?” ลิงค์ถาม
“ข้ามีเลเวล 7 ในตอนที่อยู่ในช่วงที่ดีที่สุด หลังจากที่ข้าถูกขังในหอคอยอสุรา ข้าก็ค่อยๆอ่อนแอลงอย่างช้าๆ” ดอเรียสอธิบาย
“นั่นเป็นข่าวดีเลยนะ”
ดอเรียสวิ่งไปด้วยความเร็วสูงสุดตลอดเวลาและใช้เวลาเพียงแค่ 1 ชม.ในการมาถึงแยกระหว่างป่าเกอแวนท์และที่รกร้างเฟิร์ด เมื่อพวกเขามาถึง เขาก็ยกหัวของเขาขึ้นและดมกลิ่นก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าได้กลิ่นเหม็นเน่าของพวกนักรบอันเดธแล้ว!”