Advent of the Archmage – ตอนที่ 32: ประกายแสงอาทิตย์ ในโลกที่หนาวเหน็บและโหดร้าย (ส่วนที่ 1)

ผู้เฝ้าประตูคนนี้พูดตามสิ่งที่เขาเห็น

 

โชคดีที่ ลิงค์ ได้เตรียมใจมาแล้วว่าจะเป็นแบบนี้ มานาในปัจจุบันของเขาในตอนนี้มีแค่ 24.1 เพียงเท่านั้น ซึ่งมันเป็นตัวเลขที่ต่ำมากไม่แตกต่างไปจากค่าเฉลี่ยของนักเวทย์ฝึกหัดเลย มันต้องใช้ปาฏิหาริย์เท่านั้นในการที่เขาจะได้รับการยอมรับให้เข้าไปศึกษาในสถาบัน

 

แน่นอนว่าเขายังมีค่าโอมนิอยู่ 105 พ้อยท์ และเขาสามารถใช้มันทั้งหมดเพื่อเพิ่มมานาสูงสุดได้ แม้ว่าโรคมานาจะมีผลในการลดมานาถึง 90% แต่เมื่อแลกค่าโอมนิไป 1 พ้อยท์ก็จะสามารถเพิ่มมานาสูงสุดได้ 10 แต้ม ซึ่งเขาสามารถเพิ่มมานาสูงสุดให้เป็น129.1 ได้ และนั่นก็จะเทียบเท่ากับนักเวทย์เลเวล 2 ธรรมดาทั่วไปและเพียงพอสำหรับการเข้าเรียนในสถาบันเวทมนตร์

 

แต่นั่นคงเป็นเรื่องที่โง่มาก ใช่แล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะมีพลังเทียบเท่ากับนักเวทย์เลเวล 2 แต่ความรู้ของเขานั้นไม่ได้ไกล้เคียงเลย และถ้าเขาเข้าไปทั้งแบบนั้น เขาก็คงจะถูกให้ไปเรียนในห้องของนักเวทย์เลเวล2 ซึ่งชั้นเรียนนั้นไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับเขาเลย เพราะฉะนั้นการทำแบบนั้นมันจะไปมีประโยชน์อะไรหล่ะ?

 

จริงๆแล้ว ลิงค์ มาที่นี่เพื่อทดสอบดวงของตัวเอง เขารู้ว่าถ้าเขาถูกปฏิเสธเขาก็จะกลับไปที่โรงแรมและเรียนพื้นฐานเวทมนต์ด้วยตัวเองใหม่ และเขาก็จะมาลองสมัครอีกครั้ง เขาไม่ได้รู้สึกแย่ที่ถูกปฏิเสธ ดังนั้นเขาจึงตอบแทนความเห็นใจของ เอเลียร์ด ด้วยรอยยิ้ม เพื่อแสดงให้เห็นว่าเค้าไม่เป็นอะไร

 

อย่างไรก็ตามประสบการณ์ในครั้งนี้ได้สอนให้เขารู้ถึงบทเรียนอันมีค่า เขาคงไม่มีทางคาดเดาได้เลยว่าจะสามารถเข้าเรียนที่นี่ สถาบันเวทมนต์ระดับสูง อีสโควฟ ได้ด้วยการใช้วิทยานิพนธ์เพียงเท่านั้น ไม่เคยมีเรื่องแบบนั้นกล่าวไว้ในเกมส์ตอนที่อยู่บนโลก

 

ในความเป็นจริง ตอนที่อยู่ในเกมเมื่อคุณเลเวลถึงระดับนึงแล้วคุณสามารถจ่ายเงินจำนวนหนึ่งเพื่อเป็นนักเรียนของสถาบันเวทมนต์ระดับสูงได้

 

“จะให้เพื่อนของผมพิสูจน์ทักษะทางด้านเวทย์มนตร์ยังไงครับ?” เอเลียร์ดถาม

 

วินเซนต์ หัวเราะขณะที่มองดู เอเลียร์ด หัวจรดเท้า เขามองไปที่ชุดของชายหนุ่มอย่างรวดเร็วและหัวเราะเยาะ “ห่วงตัวเองก่อนดีกว่า เจ้าหนู! ค่าเรียนในสถาบันระดับสูงไม่ใช่ถูกๆนะรู้ไหม?”

 

วินเซนต์ มองเห็นวิถีชีวิตมานักต่อนักแล้วและสิ่งนี้ทำให้เขาสามารถตัดสินสภาพของคนๆนั้นได้อย่างง่ายดาย เขาสามารถมองเห็นความแตกต่างระหว่างคุณภาพของเสื้อผ้าของชายหนุ่มทั้งสองได้อย่างชัดเจน ชายหนุ่มธรรมดาคนนี้อาจสวมเสื้อคลุมสีเทาธรรมดาๆ แต่มันก็ทำมาจากขนกระรอกที่มีค่าซึ่งสูงกว่าเสื้อผ้าใหม่ ๆ ของเด็กหนุ่มหน้าสวยคนนี้ถึง10เท่า

 

จากการประเมินของเขา เขาแน่ใจว่าชายหนุ่มธรรมดาคนนี้ต้องเป็นชนชั้นสูงแน่ๆ แต่เพื่อนของเขากลับตรงกันข้ามไม่มีอะไรมากไปกว่าสามัญชนคนธรรมดา

 

เกี่ยวกับเรื่องเงินนั้น เอเลียร์ด ได้เตรียมมาล่วงหน้าแล้ว ก่อนที่จะเตรียมตัวสำหรับการเรียนเวทมนตร์เขาได้คิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงวิธีการหาเงินหลายๆวิธีที่เขาสามารถทำได้ โชคดีที่เขามีสมองดีๆขั้นหูของเขาอยู่ ทำให้เขาสามารถรวบรวมเงิน 200 เหรียญทองมาได้ – ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่แน่นอนจากสิ่งที่เขาได้ยินมาว่าจำเป็นสำหรับค่าเล่าเรียนของสถาบันแห่งนี้

 

“อ๋อ ท่านหมายถึงเงิน 200 เหรียญทองใช่ไหมครับ? อันนั้นผมเตรียมมาแล้วครับ” เอเลียร์ด พูดพลางหัวเราะไปด้วย

 

เด็กหนุ่มประหลาดใจ วินเซนต์ ส่ายหัวและหัวเราะ เขายกนิ้วขึ้นสองนิ้วและพูด “ไม่เธอเข้าใจผิดแล้วเด็กน้อย สำหรับเธอ 200 เหรียญทองมันไม่พอหรอก เพราะนั่นเป็นราคาสำหรับนักเรียนที่มาจากตระกูลขุนนาง สำหรับสามัญชนต้อง 300 เหรียญทอง โชคไม่ดีนะที่ปีนี้รับนักเรียนมาเป็นจำนวนมาก, ทำให้ไม่มีที่เหลือแล้วหล่ะ ถ้าเธอจะเข้าเรียนที่สถาบัน, เธอก็ต้องเป็นนักเรียนพิเศษ และนั่นเธอก็จะต้องจ่ายค่าจัดเตรียมพิเศษและค่าวัสดุพิเศษด้วย— และของพวกนี้, แน่นอนว่า, จะต้องเสียค่าใช้จ่าย   และด้วยความที่เป็นสามัญชนเธอจะไม่ได้รับสิทธิส่วนลด เพราะฉะนั้นโดยรวมแล้ว ค่าธรรมเนียมทั้งหมดที่เธอต้องจ่ายคือ 2,000 เหรียญทอง”

 

เอเลียร์ด ถึงกับตกตะลึงแล้วเขาก็ขมวดคิ้ว “นั่นมันเท่ากับ 10 เท่าของปกติเลยไม่ใช่หรอครับ! นี่มันบ้าไปแล้ว!”

 

คนสามัญชนซักกี่คนกันที่จะสามารถมีเงินถึง 2000 เหรียญทองได้!? มันน่าจะมีแค่พ่อค้ารวยๆของสมาพันธ์การค้าเสรีตอนเหนือเท่านั้นแหล่ะที่น่าจะมีเงินขนาดนั้นได้

 

นี่มันไม่ใช่อะไรมากไปกว่าการกีดกันไม่ให้สามัญชนเรียนรู้เวทมนต์!

 

ยังไงก็ตาม ลิงค์ รู้ว่าสถาบันไม่ได้พยายามกดดันพวกเขา เงินเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักเวทย์ สิ่งที่คนธรรมดาอาจมองว่าเป็นเงินก้อนใหญ่นั้นสามารถถูกใช้ไปอย่างรวดเร็วกับการซื้ออุปกรณ์ต่างๆ

 

ตัวอย่างเช่นคทานิวมูนที่เขามี แค่คทาอันนี้อันเดียวก็มีราคาประมาณ 1000 เหรียญทองแล้ว และถ้าเป็นคทาคริสตัลเพลิงละก็ ราคามันสามารถพุ่งไปถึง 3000 ทองได้อย่างง่ายๆเลยหล่ะ!”

 

เขาก็เคยพบกับสถานการณ์เช่นนี้ในเกมส์ตอนที่อยู่บนโลก คุณต้องใช้เงินทันทีหลังจากเลือกที่จะกลายเป็นนักเวทย์! เงินที่ต้องจ่ายสำหรับการเรียนเวทมนตร์เพียงอย่างเดียวก็มีราคาแพงกว่าอาชีพอื่นแล้ว แถมยังมีค่าอุปกรณ์อื่น ๆ ที่จำเป็นในการฝึกฝนเวทมนตร์อีก

 

จากมุมมองของ วินเซนต์ นั้น 2000 เหรียญทองไม่ใช่แค่เรื่องที่แต่งขึ้น แต่มันคือตัวเลขคร่าวๆที่ต้องใช้ในการเรียนเวทมนต์ แต่แน่นอนเขารู้ว่าการอธิบายเรื่องนี้ไปก็ไม่ได้ช่วยปิดบังการเรื่องกีดกันชนชั้นสามัญของสถาบันได้เลย

 

แต่ว่า เอเลียร์ด ไม่ได้คุ้นเคยกับโลกของนักเวทย์ นั่นเลยทำให้เขาโกรธ

 

สีหน้าของ วินเซนต์ ดูผ่อนคลายและไม่สะทกสะท้าน เขาเหยียดมือออกและเอนหลังลงนั่งแล้วพูดขึ้นมากระทันหัน “ฉันทำอะไรกับเรื่องนี้ไม่ได้หรอกนะ เพราะฉันไม่ใช่คนที่กำหนดราคา นี่เป็นคำสั่งจากผู้อาวุโสของสถาบัน ฉันเป็นแค่ผู้ส่งสารเท่านั้น”

 

อย่างไรก็ตาม เอเลียร์ด ยังคงมีเทคนิคอีกอย่างหนึ่งเขาดึงจดหมายออกมาจากแขนเสื้อของเขา “ผมมีจดหมายแนะนำจากท่านหญิง อลิซ”

 

วินเซนต์ เงยหน้าขึ้นมาและเห็นตราประทับขี้ผึ้งบนตัวอักษรและจำได้ว่าตรากุหลาบบานนั้นเป็นตราประทับของอาณาจักรนอร์ตันและมีเพียงท่านหญิงเท่านั้นที่จะมีมันได้

 

เขามองไปที่หน้าตาหล่อ ๆ ของ เอเลียร์ด แล้วหัวเราะ “โอ้นี่มันพรของผู้ที่เกิดมาหน้าตาดีชัดๆ!” เขาล้อเลียน “เธอถึงขั้นทำให้ขุนนางยอมเขียนจดหมายแนะนำมาให้ได้เลยหรอเนี่ย! ถ้าอย่างนั้น ตามคำสั่งของผู้อาวุโสของสถาบัน ด้วยจดหมายแนะนำจากชนชั้นสูง สามารถลดค่าธรรมเนียมลงได้500เหรียญทอง เท่ากับว่าตอนนี้เธอต้องจ่ายทั้งหมด 1500 เหรียญทอง!”

 

พอเห็นจดหมายฉบับนี้ ลิงค์ ก็เห็นแล้วว่าเด็กหนุ่มคนนี้จริงๆแล้วฉลาดขนาดไหน ไม่มีสามัญชนคนไหนหรอกที่สามารถหาเงิน 200 เหรียญทองมาได้ ต่อให้พวกเขาทำงานซ้ำไปซ้ำมาตลอดทั้งชีวิตของพวกเขา แต่, เด็กหนุ่มคนนี้ก็ยังหาวิธีที่จะได้รับเงินขนาดนี้มาได้ตั้งแต่อายุ 17 ปี แถมเขายังได้รับแม้กระทั่งจดหมายแนะนำจากท่านหญิงมาสนับสนุนอีก! ลิงค์ รู้ว่าเรื่องแบบนี้สามารถได้มาผ่านการเสียสละครั้งยิ่งใหญ่เท่านั้น

 

แต่ 1500 เหรียญทองก็ยังคงเป็นจำนวนเงินที่ไม่สามารถยอมรับได้สำหรับ เอเลียร์ด เขาไม่สามารถข่มความโกรธได้อีกต่อไปและสูญเสียความเยือกเย็นไปในที่สุด “นี่มันปล้นกันชัดๆ!” เขาตะโกนออกมาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ

 

วินเซนต์ ส่ายหัว “ข้ากำลังเตือนเจ้าอยู่นะเด็กน้อย โชคดีที่วันนี้ข้าอารมณ์ดี เพราะฉะนั้นข้าจะไม่ถือสาเรื่องความอวดดีของเจ้า” เขากล่าวด้วยความสงบจนน่ากลัว “แต่ถ้าเจ้าไปพูดแบบนี้กับนักเวทย์คนอื่นที่ไม่ให้อภัยคนอื่นง่ายๆเหมือนกับข้า ข้ามั่นใจได้เลยว่าเจ้าจะต้องเจ็บตัวแน่ๆ!”

 

พอรู้สึกได้ว่า เอเลียร์ด จะเถียงกับคนเฝ้าประตูต่อ ลิงค์ จึงรีบดึงแขนเขากลับมาอย่างรวดเร็ว

 

ตอนนี้พวกเขาไม่ใช่คนใหญ่คนโต ขณะที่สถาบันระดับสูงอีสโควฟเป็นสถาบันสอนเวทมนตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในอาณาจักรนอร์ตัน แถมผู้อาวุโสของสถาบันยังเป็นนักเวทย์เลเวล 7 อีกตะหาก การที่พวกเขาทำตัวไม่ดีที่นี่นั้นไม่ได้ทำให้พวกเขาได้ประโยชน์อะไรเลยแถมยังสร้างเจตคติแย่ๆให้กับสถาบันและผู้อาวุโสอีกด้วย

 

เอเลียร์ด เป็นสามัญชนและเขาก็ไม่มีเงินมากพอสำหรับค่าเล่าเรียน แม้ว่าอาจจะมีการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมกับสามัญชนอยู่บ้างในส่วนของสถาบันการศึกษา แต่เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นข้อเท็จจริงของชีวิต การตะโกนและการโต้เถียงนั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้

 

ลิงค์ กลายเป็นอาชเมจคนแรกในเซิร์ฟเวอร์เกมตอนที่อยู่บนโลกได้ก็เพราะว่าเขาสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้เป็นอย่างดี เขาไม่เคยบ่นหรือไม่พอใจกับใครและเขาก็จะไม่โจมตีอย่างไร้เหตุผล เมื่อใดก็ตามที่เขาต้องเผชิญหน้ากับปัญหาเขาก็จะสงบสติอารมณ์และรวบรวมสมาธิเพื่อพยายามแก้ปัญหาด้วยเหตุผลและหลักการ

 

แน่นอนว่านี่เป็นจุดแข็งของ ลิงค์ ที่ได้กลายเป็นอาชเมจคนแรก ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ในตอนที่เทพแห่งแสงได้ทิ้งเขาเข้าไว้ในโลกที่ไม่คุ้นเคย ไม่เพียงแค่ ลิงค์ จะสามารถหนีจากเมืองแกลดสโตนได้ แต่เขายังสามารถช่วยกอบกู้เมืองให้พ้นจากความพินาศได้อีกด้วย และตอนนี้เขาก็ยังคงมีจุดแข็งนั้นอยู่

 

ลิงค์ เข้าใจว่าเพื่อที่จะยกเลิกกฎที่ไม่เป็นธรรมจากสถาบันเวทมนต์ระดับสูงอีสโควฟนี้ เสียงไม่เห็นด้วยแค่บางส่วนไม่สามารถทำอะไรได้ การเปลี่ยนแปลงจริงๆนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกๆคนถูกบังคับให้สังเกตเห็นความไม่เป็นธรรมของกฎเพียงเท่านั้น

 

ด้วยการดึงเบาๆจาก ลิงค์ ทำให้ เอเลียร์ด ค่อยๆรู้สึกตัวขึ้นมาช้าๆ แต่ดวงตาของเขาก็แดงก่ำไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยได้รับประสบการณ์การปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมของสังคมมาก่อน ในความเป็นจริงภายใต้สถานการณ์ปกติเขาจะไม่สูญเสียการควบคุมอารมณ์ของเขาได้ง่ายๆ แต่เรื่องนี้มันแทงใจเขามากเกินไป เขาไม่ได้ดิ้นรนเพื่อมาเจอเรื่องแบบนี้ เขาทนทุกข์ทรมานกับความยากลำบากมามากมายเพื่อที่จะได้รับเงิน 200 เหรียญทองนี้มา

 

เพื่อหารายได้, เขาจึงยอมรับภารกิจที่อันตรายต่างๆนาๆ เพราะเขาไม่มีทักษะในการต่อสู้, เขาจึงต้องไปทำภารกิจสำรวจที่เป็นอันตรายซึ่งมีโอกาสรอดชีวิตเพียงแค่หนึ่งในสิบเท่านั้น

 

นอกเหนือจากภารกิจเหล่านี้เขายังทำธุรกิจทุกประเภทซึ่งมักจะถูกพวกอันธพาลและโจรขู่กรรโชกอยู่บ่อยๆ และเขายังจัดการเก็บออมเงินทุกๆเหรียญที่ได้มามาโดยตลอด

 

นับตั้งแต่ตอนที่เขาอายุสิบขวบ นอกจากการได้รับเชิญไปรับประทานอาหารกับเพื่อน ๆ เขาจะกินแค่ขนมปังข้าวสาลีสามมื้อต่อวันเท่านั้นและไม่มีอะไรอย่างอื่นอีก บางครั้งในตอนที่เขารู้สึกว่าเขาได้รับสารอาหารไม่เพียงพอเขาจะไปที่แม่น้ำในตอนกลางคืนและจับปลาตัวเล็ก ๆ กับกุ้งมากิน เขาทำได้แค่ตอนกลางคืนเท่านั้นเพราะตอนกลางวันเขาทำงานตลอดเวลา เขาสวมชุดเดียวกันเป็นเวลาสามปี แม้แต่ม้าแก่ๆที่เขาขี่มันก็ไม่ใช่ของเขา ความจริงแล้วมันเป็นของขวัญจากเพื่อนของเขา

 

ในตอนที่เขาได้ยินมาว่าสถาบันเวทมนต์ระดับสูงอีสโควฟมีอคติกับสามัญชน เขารู้ว่าเขาต้องหาจดหมายแนะนำจากขุนนางมาให้ได้ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดก็ตาม

 

ด้วยเหตุนี้เขาจึงกล้ำกลืนศักดิ์ศรีของตัวเองและนอนกับท่านหญิงที่ทั้งอ้วนและน่าเกลียดตลอดทั้งเดือน เขาทนทุกข์ทรมานจากประสบการณ์ที่น่าอับอายและต่ำต้อยทุกค่ำคืน กับศักดิ์ศรีของเขาที่ถูกทิ้งขว้างไป

 

เขาต้องทนทุกข์ทรมารจากนรกและการเสียสละทุกสิ่งอย่างเพื่อทำตามความฝันของเขาในการเป็นนักเวทย์ เพื่อให้แน่ใจว่าพรสวรรค์ตามธรรมชาติของเขาจะไม่สูญเปล่าและพิสูจน์ตัวเองว่าอยู่เหนือกว่าคนอื่นๆ

แต่ในตอนนี้ซึ่งเขามีเงินมากพอและได้รับจดหมายแนะนำมาในที่สุด, พร้อมทั้งมาแสดงตัวที่หน้าตาประตูของสถาบันด้วยความหวังที่เต็มเปี่ยม, ความเป็นจริงก็ได้จัดการระเบิดเข้าที่หน้าอกของเขาอีกครั้ง

 

คำพูดง่ายๆที่เปล่งออกมาอย่างชัดเจนได้ยกระดับเป้าหมายในการเข้าเรียนในสถานบันแห่งนี้ให้สูงขึ้นอย่างไม่สามารถไขว่คว้าได้ ในท้ายที่สุด, การทำงานหนักทั้งหมดของเขาก็ไม่ได้มีค่าอะไรเลย หรือว่าเขาควรจะเริ่มต้นใหม่และพยายามหาเงินอีกครั้งดี?

 

ในตอนที่เขาหาเงินได้ 1500 เหรียญนั้น เขาน่าจะอายุเกิน 20 ไปแล้ว และถ้าเขาไม่มีโชคเขาอาจจะตายในภารกิจก่อนที่จะรวบรวมเงินได้ครบซะอีก

 

ในอีกไม่กี่ปีหลังจากนี้ชีวิตของเขาจะมีความสำคัญหลังจากการฝึกเวทมนต์ เขาจะทิ้งทุกๆอย่างไปได้ยังไงกัน?

 

ในเวลานั้น เด็กหนุ่ม เอเลียร์ด ที่เต็มไปด้วยความโกรธ, ความเจ็บปวด, และความสิ้นหวัง ได้เงยหน้ามองความฝันที่อยู่เบื้องหน้าเขา ที่มีคูน้ำที่ไม่สามารถผ่านไปได้คอยขัดขวางเขาอยู่ สายตาของเขาเริ่มกลายเป็นสีแดงโดยไม่รู้ตัว

 

สามัญชนที่วิ่งไล่ตามความฝันของตัวเอง – จะต้องเจอความยากลำบากขนาดไหนถึงจะสามารถทำตามความฝันนี้ได้กัน? เอเลียร์ด กำมือแน่น เงยหน้าขึ้นและกลั้นน้ำตาของเขาเอาไว้ เขาจะไม่ทำท่าทีที่โง่เง่าต่อหน้าสุนัขเฝ้ายามแบบนี้

 

แต่ วินเซนท์ มองเขาออกมาตั้งนานแล้ว เขาส่ายหัวและหัวเราะในขณะที่พูดถ้อยคำที่เย็นชาออกมา “ให้ข้าแนะนำทางออกให้มั้ยล่ะเจ้าหนู? ทำไมเจ้าไม่ลองกลับไปหาท่านหญิง อลิซ และลองรับใช้เธอให้ดีๆหล่ะ? ใครจะรู้กันบางทีเธออาจจะจ่ายค่าธรรมเนียมของเจ้าให้หมดเลยก็ได้? ฮิฮิฮิ “

 

เอเลียร์ด โกรธจนตัวสั่น เรื่องนี้เป็นความอัปยศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเขา คำพูดของ วินเซนท์ ได้เสียดแทงจิตใจของเขาอย่างรุนแรง

 

ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มหัวใจของเขาเต้นแรงมากจนเหมือนกับว่ามันสามารถพุ่งออกจากลำคอได้ เขากำหมัดของเขาแน่นมีเพียงหนึ่งความคิดในหัวของเขา  ไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไงก็ตาม เขาจะอัดชายชราคนนี้ให้เละ

 

ในตอนที่ความโกรธของเขาถึงขีดสุด ใครบางคนก็ได้คว้าแขนของเขาเอาไว้ เขาพยายามที่จะสลัดออก แต่แขนของเขาก็ถูกจับเอาไว้แน่น “ปล่อยผมนะ!” เอลียร์ด ขอ

 

เสียงของ ลิงค์ ตัดผ่านหมอกที่ทำให้การตัดสินใจของเขาแย่ลง “เอเลียร์ด อย่าทำให้ตัวเองมีปัญหาสิ!”

 

เสียงนั้นเหมือนกับเอาน้ำเย็นๆมาสาดใส่หน้า เอเลียร์ด ค่อยๆดิ้นเบาลงๆเรื่อยๆ

 

เอเลียร์ด หันหน้าของเขาไปหาชายหนุ่มคนนั้นที่จ้องมองกลับมาหาเขาอย่างเงียบๆ  เขาส่ายหัวเบาๆ สายตาของ ลิงค์ ค่อยๆผ่อนคลายลงอย่างช้าๆ ถึงใบหน้าของเขาจะดูธรรมดาและราบเรียบ แต่ชายหนุ่มคนนี้ก็ได้สร้างจิตใจที่สามารถสงบจิตใจให้สงบได้ราวกับว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ที่สามารถกระตุ้นหรือรบกวนเขาได้เลย เป็นความสงบที่เหมือนกับทะเลสาบอันเงียบสงบแต่ก็แหลมคมดั่งมีด ฉากนี้จะฝังอยู่ในจิตใจของ เอเลียร์ด ตลอดไป

 

หลายปีต่อจากนี้เมื่อใดก็ตามที่เขารู้สึกโกรธ สงสัยหรือสิ้นหวังความทรงจำนี้จะปรากฏขึ้นอีกครั้งเพื่อเตือนให้เขารู้ว่านักเวทย์ที่แท้จริงควรจะแสดงออกในโลกที่เย็นชาและโหดร้ายใบนี้อย่างไรดี

Advent of the Archmage

Advent of the Archmage

Type: Author: , ,
เรื่องย่อ ลิงค์เป็นอาร์จเมจที่เก่งที่สุดในทุกๆเซิร์ฟเวอร์ เขาเพิ่งจะโค้นล้มบอสที่แข็งแกร่งที่สุด,เจ้าแห่งความลึก โนโซม่า ด้วยปาร์ตี้ของเขา อย่างไรก็ตาม,แทนที่เขาจะกลับไปที่เมื่อง เขากลับถูกส่งตัวไปที่พื้นที่ลับด้วยพิกเซลCG มันให้ความรู้สึกเหมือนกับสูญญากาศ และภายในนั้นก็ได้มีเสียงที่ยิ่งใหญ่และมากด้วยอำนาจที่เรียกตัวเองว่าพระเจ้าแห่งแสงสว่างดังขึ้น “ลิงค์ เจ้าเต็มใจที่จะเป็นผู้ช่วยชีวิตที่จะดึงโลกแห่งฟิรูแมนออกจากความปั่นป่วนไหม?” ภารกิจที่ยิ่งใหญ่นี้มันอะไรกัน! ถ้ามันเป็นโลกจริง ลิงค์ คงจะปฏิเสธไปในทันที อย่างไรก็ตามเขาก็มีความแน่วแน่ที่จะเป็นฮีโร่ในเกมส์ “จัดไปเลย!” ลิงค์ ตอบอย่างมั่นใจ “ถ้างั้นก็ขอให้เจ้าโชคดี” และนั่นจะเป็นการเริ่มต้นการเดินทางที่เต็มไปด้วย เวทย์มนตร์,มิตรภาพ,การทรยศ,ความรัก และความสิ้นหวังของ ลิงค์ ในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปของฟิรุแมน Link was the top Archmage in the entire server. He had just defeated the strongest boss, the Lord of The Deep, Nozama with his party. However, instead of going back to town, he was transported to a secret location with pixelated CG. It sort of felt like a vacuum, and within it came a glorious and commanding voice that calls himself the God of Light. “Link, would you be willing to be the saviour who will pull the World of Firuman out from the churning abyss?” What a huge mission! If it was in the real world, Link would have rejected it immediately. However, he was bent on being the hero in game. “Bring it on!” Link answered confidently. “Then, best of luck.” And so began Link’s journey of magic, friendship, betrayal, love and despair in the ever changing World of Firuman.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset