ลิงค์ กลับมาที่โรงแรมริเวอร์โควฟ แล้วโยนกองเงินประมาณ30เหรียญทองแดงให้กับพนักงานโรงแรม แล้วพนักงานโรงแรมก็จ้องไปที่เขาด้วยความตกใจ ลิงค์หัวเราะแล้วพูด “ขอขนมปังข้าวโอ๊ตทาเนย3ชิ้นกับนม1แก้ว ส่งไปที่ห้องของผมด้วย”
ตอนนี้เขามี 300 เหรียญทองในกระเป๋าและเขาสามารถซื้ออาหารดีๆกินได้ แต่มันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกินมากเกินไป ยังไงก็ตาม ตอนนี้ร่างกายของเขาไม่ต้องการอาหารจำนวนมากเพื่อการดำรงชีวิต แค่อาหารมื้อเล็กๆก็เพียงพอแล้ว
“ตอนนี้นายรวยแล้วเหรอ ลิงค์?” พนักงานโรงแรมแซว
ลิงค์ หัวเราะและไม่ได้อธิบายอะไร เขากลับไปที่ห้องใต้หลังคา ขณะที่รออาหารของเขามาเสิร์ฟ เขาก็นำกระดาษหนังแพะที่เขาเขียนวิทยานิพนธ์เอาไว้ออกมาจากจี้ห้อยคอ และจากนั้นด้วยนิสัยส่วนตัว เขาก็ตรวจหาข้อผิดพลาดของมัน
มันเป็นวิทยานิพนธ์ที่ค่อนข้างดีทีเดียว สิ่งที่เขาเขียนคือกระดาษธรรมดาที่ไม่ได้ละเว้นสิ่งสำคัญใดๆเลย ในส่วนที่แก้ไขก็ประกอบไปด้วยเหตุผลและความสง่างาม ทั้งหมดมันประกอบไปด้วยความสวยงามที่ไม่สามารถอธิบายได้
แม้แต่คนเขียนอย่าง ลิงค์ เองพออ่านสิ่งที่ตัวเองเขียนก็เกิดความไม่เชื่อขึ้นมา นี่ฉันเป็นคนเขียนมันจริงๆหรอ? หรือว่าเทพแห่งแสงยืมมือของฉันไปเขียนกันแน่?
นั่นก็อาจจะใช่ แต่ถึงอย่างนั้น ลิงค์ ก็ไม่นำมันมาใส่ใจ การเปรียบเทียบตัวเขากับสิ่งมีชีวิตระดับสูงคงมีแต่คนโง่เท่านั้นแหล่ะที่จะทำ
ไม่นานนัก อาหารก็ถูกส่งมาที่ห้องของเขา ลิงค์ รับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยและเขาก็รู้สึกกระปี้กระเปร่า หลังจากนั้นเขาก็นำกระดาษหนังแพะใบใหม่ที่เขาซื้อออกมาและเริ่มเขียนวิทยานิพนธ์ต่อ
จากความสำเร็จก่อนหน้านี้ที่อ่าวเสียงสะท้อนอาจจะเปลี่ยนความคิดของเขา ในตอนที่เขาเริ่มเขียนวิทยานิพนธ์ ลิงค์ พบไอเดียใหม่ๆมากมายหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็จมปรักอยู่กับการเขียน
ในคราวนี้ เขามีเงินมากเพียงพอแล้ว และไม่ต้องถูกความหิวโหยคอยรบกวนอีกแล้ว เขาสามารถใช้เวลาทั้งวันได้อย่างอิสระในการเขียนวิทยานิพนธ์และวิจัยเวทมนตร์ของเขา
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป ลิงค์ ได้พัฒนาเวทย์เลเวล 0 3 อย่าง:หนามพสุธา แสงสว่างและบึงโคลน
หลังจากพัฒนาเวทย์ทั้ง 3 นี้ ลิงค์ ก็ได้ตั้งชื่อให้ใหม่ว่า เกลียวหนาม,สายฟ้า และ บึงเหนียวหนืด เวทย์ทั้งสามนั้นใช้แค่ 1 แต้มมานา ขนาดของเวทมนตร์ได้ถูกลดลง แต่ว่าพลังงานของมันถูกบีบอัดให้มีพลังเทียบเท่ากับเวทย์เลเวล 1 ซึ่งพอมารวมกับความแม่นยำของ ลิงค์ เวทย์พวกนี้ก็จะแสดงถึงความแตกต่างของพลังอย่างมาก
ยังไงก็ตาม หลังจากพัฒนาเวทย์ทั้งสามนี้ ลิงค์ ก็หมดความสนใจในเวทย์เลเวล0 เวทย์ระดับนี้มันง่ายเกินไปสำหรับเขาแล้ว มันไม่ดูท้าทายกับเขาอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้เขาปรารถนาความรู้ทางเวทมนต์ที่อยู่ในระดับที่สูงมากกว่านี้
และใจของเขาก็อยากจะเข้าสถาบันอีสโควฟมากขึ้น
สิ่งที่เหลืออยู่มีแค่เพียงวิทยานิพนธ์ การตัดสินใจของ ลิงค์ แข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้า ถ้าเขาตัดสินใจที่จะทำอะไร เขาก็จะทำมันให้สำเร็จให้ได้ ดังนั้นเขาจึงเขียนวิทยานิพนธ์ต่อ และในเวลาว่างของเขา เขาก็จะเขียนจดหมายหา เอเลียร์ด, เดี๋ยวนี้ คำถามที่เขาถามกับ เอเลียร์ด ในจดหมายมันค่อยๆซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ
ตัว ลิงค์ เองไม่ได้สังเกตถึงสิ่งนี้ เขาไม่รู้ตัวว่าคำถามที่เขาถามมันเกินกว่าระดับของนักเวทย์ฝึกหัดแล้ว
ขณะที่ ลิงค์ จมอยู่กับงานเขียนวิทยานิพนธ์ของเขานั้น เอเลียร์ด ก็ได้รับจดหมายจาก ลิงค์ เขาได้แต่ส่ายหัวและสับสนหลังจากที่เขาอ่านมัน คำถามทั้งหมดที่ ลิงค์ ถามเขาไม่เข้าใจมันเลย ทั้งหมดล้วนเป็นปริศนาสำหรับเขา
ฉันยอมแพ้ ฉันจะไปถามครูที่ปรึกษา เอเลียร์ด กอปปี้คำถามลงในกระดาษหนังแพะ แล้วก็ปีนขึ้นไปบนบันไดวนของหอคอยเวทมนตร์จนไปถึงห้องโถงใหญ่ที่ชั้นบนสุดซึ่งเป็นที่ๆครูที่ปรึกษาอยู่
ครูที่ปรึกษาของเขา มอยร่า มีบุคลิคที่อ่อนโยนและสุภาพ เว้นแต่เวลาอยู่ในห้องเรียน ความจริงที่ว่าเธอไม่ชอบถูกรบกวนในเวลาว่างของเธอเป็นเรื่องที่รู้กันโดยทั่วไปในหมู่นักเรียนในหอคอยเวทมนตร์ แต่ว่ากฏนั้นใช้ไม่ได้กับ เอเลียร์ด
เขาสามารถไปหา มอยร่า ได้ทุกเวลาที่ต้องการ เพื่อถามคำถามเธอเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่เข้าใจหรือสงสัย ในตอนแรก เอเลีร์ยด รู้สึกไม่สบายใจ แต่หลังจากที่ มอยร่า ยืนกราน เขาก็ค่อยๆรู้สึกสบายใจขึ้นมา
เดี๋ยวนี้เขาจะตรงไปหา มอยร่า ทุกครั้งที่เขามีคำถาม และนั่นคือสิ่งที่เขาทำอยู่ในตอนนี้
เมื่อเขาไปถึงที่ประตู เขาเคาะมัน “อาจารย์ครับ ผมเข้าไปได้มั้ยครับ?” เขาพูดผ่านเครื่องส่งเสียงบนประตู
หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็ได้ยินเสียงคลิ้กเบาๆ รูนเวทมนตร์บนประตูส่องแสงจางๆและประตูก็เปิดโดยอัตโนมัติ
นี่แสดงให้เห็นว่าอาจารย์ของเขาอนุญาติให้เขาเข้าไปข้างใน
หลังจากเขาผลักประตูแล้วเดินเข้าไป ก็มีเสียงคลิ้กดังขึ้นอีกครั้งจากข้างหลังของเขาและประตูก็ปิดเองโดยอัตโนมัติ เอเลียร์ด ชินกับเรื่องนี้แล้ว
ด้านหลังประตูห้องมีกำแพงอยู่และบนกำแพงก็มีภาพสีสันสดใส กำแพงนี้ปิดกั้นวิวของห้องโถงที่อยู่ข้างหลังมันไว้อย่างสมบูรณ์ ด้านข้างของกำแพงทั้งสองด้านเป็นทางเดินที่เข้าไปในห้องโถงใหญ่ เมื่อ เอเลียร์ด เดินเข้ามาเขาก็พบตัวเองอยู่ในห้องโถงที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 50 ฟุต ตรงกลางมีเฟอร์นิเจอร์ที่หรูหราและพรมปูพื้นหนังอูฐที่ดูมีสเน่ห์ หน้าต่างกระจกล้อมรอบห้องโถงและกระจกหน้าต่างก็ถูกฝังด้วยผลึกล้ำค่า
แสงที่ส่องผ่านหน้าต่างทำให้ห้องโถงใหญ่ดูกว้างขวางและโปร่งสบาย ทัศนียภาพที่งดงามของอีสโควฟแสดงออกมาผ่านคริสตัลที่ฝังไว้ ชั้นวางหนังสือเรียงรายอยู่ตามผนังและเรียงรายไปด้วยแถวของหนังสือ ด้านหน้าหนึ่งในชั้นวางหนังสือมีนักเวทย์หญิงอายุประมาณ 30 ปีนั่งอ่านหนังสือเกี่ยวกับเวทมนตร์อยู่
เธอคืออาจารย์ที่ปรึกษาของเอเลียร์ด มอยร่า
มอยร่า เป็นนักเวทย์เลเวล 5 อายุ 35 ปี เธอเป็นนักเรียนที่คณบดีภาคภูมิใจและเป็นอัจฉริยะชั้นนำของสถาบันเวทมนตร์อีสโควฟ
หัวของเธอเต็มไปด้วยผมบลอนด์อันแวววาวและร่างกายของเธอก็ปกคลุมไปด้วยออร่าเวทมนตร์หนาแน่นราวกับว่าร่างกายของเธอเปล่งแสงได้ เธอสวมผ้าคลุมนักเวทย์สีน้ำเงินเข้มที่มีเส้นขอบสีเงินเธอนั่งอย่างสบายบนเก้าอี้และกำลังอ่านหนังสืออย่างเงียบๆ เธอดูสงบและผ่อนคลาย แสงแดดกระจายไปทั่วคริสตัลสะท้อนแสงระยิบระยับลงบนร่างกายที่ละเอียดอ่อนของ มอยร่า ทำให้เธอดูสง่างามอย่างไม่น่าเชื่อ
แต่ เอเลียร์ด ไม่ได้นึกถึงมันและไม่ไหวติงกับมันเลย ไม่มีอะไรอยู่ในใจของเขานอกจากเวทมนตร์และผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าเขาก็เป็นแค่อาจารย์ที่ปรึกษาและคนที่เขาเคารพเท่านั้น
“ท่านอาจารย์” เขาพูดอย่างสงบ
มอยร่า พยักหน้าแล้วเอาหนังสือที่อยู่บนมือวางไว้บนโต๊ะ ตาของเธอมองไปที่กระดาษหนังแพะที่อยู่ในมือ เอเลียร์ด และเธอก็ถามอย่างร่าเริง “คราวนี้มีคำถามอะไรอีกล่ะ?”
เธอสนใจนักเรียนคนนี้เป็นพิเศษเพราะเธอเห็นความขยันในตัวเขาเหมือนกับตัวเธอในอดีต
เอเลียร์ด เดินไปหาเธอและยื่นม้วนกระดาษให้
มอยร่า คลี่กระดาษหนังแพะและอ่านเนื้อหาอย่างระมัดระวัง แต่หลังจากที่อ่านไปตาของเธอก็หยุดชะงัก “เธอพัฒนาได้ดีมาก นี่เธอเก่งถึงขั้นนี้แล้วหรอเนี่ย?” เธอตั้งข้อสังเกตด้วยความประหลาดใจ
ด้วยความที่เป็นนักเวทย์เลเวล 5 เธอเห็นว่าคำถามพวกนี้ยากมากๆ สำหรับคนที่จะถามคำถามระดับนี้ได้ ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเวทมนตร์ของเขาต้องแน่นจริงๆ
ในม้วนกระดาษมีทั้งหมด 6 คำถาม หลังจากที่เธออ่านครั้งแรก เธอพบว่ามีคำถามที่เธอสามารถตอบได้เลยทันทีแค่2คำถาม อีก4 คำถามที่เหลือเธอต้องพิจารณามันอย่างระมัดระวังก่อน
“เป็นคำถามที่ยอดมาก!” มอยร่า ไม่สามารถหยุดอุทานได้
สำหรับนักเวทย์ระดับเธอ เธอไม่ได้กังวลมากนักว่านักเรียนของเธอจะขยันรึเปล่า เพราะถ้าพวกเขาไม่ขยันพวกเขาคงไม่ได้มาเป็นนักเรียนของเธอตั้งแต่แรก กลับกันเธอจะให้ความสนใจกับนักเรียนที่ตั้งคำถามที่ยอดเยี่ยม
คนที่จะตั้งคำถามยากๆแบบนี้ได้จะต้องศึกษาเกี่ยวกับหัวข้อนั้นอย่างจริงจังและผ่านการพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว ถึงจะตั้งคำถามระดับสูงแบบนี้ได้ คำถามที่อยู่ในม้วนกระดาษนั้นเหนือกว่าความคาดหวังของเธอ พวกเขาไม่เพียง แต่เข้าใกล้ปัญหาด้วยมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์เท่านั้น แต่ยังมีระดับของจิตวิญญาณที่ยากต่อการอธิบายอีกด้วย
เธอรู้สึกภูมิใจมากๆที่ เอเลียร์ด ถามคำถามแบบนี้ได้
เอเลียร์ด เขิน นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่อาจารย์ชมเขา สวรรค์รู้ว่าคำถามพวกนี้ไม่ใช่ของเขา เขาเพิ่งเรียนเวทมนต์มาแค่ 1 เดือนเท่านั้นและเขาก็ไม่เข้าใจอะไรซักอย่างเลยในม้วนกระดาษนี้
เอเลียร์ด ไม่ได้อธิบายเกี่ยวกับตัวเองในครั้งที่แล้ว แต่ครั้งนี้เขากลัวว่าเขาต้องทำมันเพราะการเข้าใจผิดมันหนักกว่าครั้งที่แล้ว ถ้ามันนานมากไปกว่านี้อาจจะสร้างปัญหาให้กับเขาได้
เขาคิดประโยคในหัวของเขา เขาพูด “อาจารย์ครับ คือว่าคำถามพวกนี้ ไม่ใช่คำถามของผมครับ”
“หืมม?” มอยร่า ไม่ได้เปลี่ยนโทนเสียงของเธอ เธอเงยจากกระดาษมามองหน้านักเรียนที่หล่อเหลาของเธอ “ถ้างั้นเป็นของใครกันหล่ะ?”
“เขาเป็นเพื่อนของผม เขาอายุ 17 ปีเท่ากับผม เขาพยายามจะเข้าสถาบันนี้ด้วยเหมือนกัน แต่ทักษะทางเวทมนตร์ของเขาต่ำเกินไป เขาก็เลยกลับไปพัฒนามันอยู่ ผม..ที่ผมสามารถจ่ายเงินค่าเทอมได้ก็เพราะเขา เขาช่วยผมเอาไว้มากเลยครับ”
“อธิบายทุกอย่างให้ฉันฟังซะ บอกมาให้หมดอย่าให้เหลือล่ะ” ความสนใจของ มอยร่า ถึงจุดสูงสุด
เอเลียร์ด ต้องพบกับดวงตาสีฟ้าที่ทะลุทะลวงของอาจารย์ของเขา ดวงตานั้นเหมือนจะมองเห็นทุกความลับ ทำให้เขาไม่กล้าที่จะโกหก แล้วเขาก็เล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่เขาเจอกับ ลิงค์ ให้ มอยร่า ฟัง รวมถึงเรื่องจดหมายด้วย
มอยร่า ฟังอย่างระมัดระวัง บางครั้งเขาจะให้ เอเลียร์ด หยุดเพื่อถามคำถาม จากนั้นเธอถอนหายใจและพูดออกมา “งั้นตอนนี้เขาก็อยู่ที่ริเวอร์โควฟสินะ แล้วก็กำลังเขียนวิทยานิพนธ์เพื่อยืนยันความเข้าใจในเวทย์มนตร์ของเขาอยู่ ใช่ไหม?”
“ถูกต้องแล้วครับ อาจารย์”
“เธอรู้รึเปล่าว่าวิทยานิพนธ์ของเขาเกี่ยวกับอะไร?” มอยร่า ถามอีกครั้ง
เอเลียร์ด พยักหน้า “ลิงค์ คุยกับผมนิดหน่อย เขาบอกผมว่าเขาพยายามที่จะอธิบายว่าทำไมหินถึงตกลงมาที่เดิมในที่ๆโยนมันขึ้นไป..ตอบตามตรง ผมคิดเกี่ยวกับปัญหานี้ในช่วงนี้แต่ว่าผมไม่รู้เลยว่าจะอธิบายมันยังไง”
หลังจากที่เธอได้ยิน เธอก็ตกใจทันที เธอพูดวนเกี่ยวกับสิ่งที่ เอเลียร์ด พูดคำต่อคำ “ทำไมหินต้องตกลงมาที่พื้นเสมอ? ทำไมมันต้องตกลงมาที่พื้น? เป็นคำถามที่แปลกมาก…ไม่เคยมีใครถามคำถามแบบนี้มาก่อนเลย ทำไมกันนะ?”
เธอพยายามใช้ความรู้ที่เธอมีอธิบายคำถามนี้ แต่หลังจากนั้นครู่นึงเธอก็ยอมแพ้ ความรู้ของเธอไม่เพียงพอที่จะอธิบายเหตุการณ์เช่นนี้ได้
หลังจากนั้นสักพัก เธอก็ถอนหายใจ “คำถามนี้หายากและยอดเยี่ยมจริงๆ ถ้าเขาเข้าใจคำถามนี้จริงๆ ความเข้าใจทางด้านเวทมนตร์ของเขาจะต้องถูกยอมรับแน่ๆ”
เธอเริ่มสนใจในตัวเด็กหนุ่มที่ชื่อ ลิงค์ มากๆ
เธอเอาม้วนกระดาษหนังแพะวางไว้บนโต๊ะแล้วพูด “คำถามพวกนี้เป็นกรณีพิเศษ ฉันคิดว่าฉันต้องใช้เวลาคิดเกี่ยวกับมันซักพัก ถ้างั้นฉันจะให้คำตอบในวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน”
“ขอบคุณมากครับท่านอาจารย์…คุณไม่โกรธผมในเรื่องที่ผมทำหรอครับ?” เอเลียร์ด ถามด้วยความสงสัย
“ทำไมฉันต้องโกรธด้วยหล่ะ?” มอยร่า ยิ่ม “เธอเป็นเด็กที่ซื่อสัตย์ เธอควรภูมิใจกับมันนะ”
เอเลียร์ด ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แต่คำถามเกี่ยวกับการเข้าเรียนของ ลิงค์ ยังคงแขวนอยู่เหนือศีรษะของเขา เขาก็เลยถามออกมา “ถ้าคำถามในวิทยานิพนธ์สามารถพิสูจน์ความเข้าใจในเวทมนต์ของเพื่อนผมได้ เขาจะสามารถเข้าสถาบันเลยได้เลยใช่ไหมครับ?”
มอยร่า คิดอย่างระมัดระวังเกี่ยวกับคำถามนี้ “กฎก็ต้องเป็นกฎ เขายังคงต้องส่งวิทยานิพนธ์ของเขา ให้เขาทำวิทยานิพนธ์ให้เสร็จแล้วส่งมาให้ฉัน แล้วฉันจะเอาไปปรึกษากับคณบดีให้ ฉันคิดว่าเขาคงจะเห็นด้วยกับฉัน”
“ขอบคุณมากครับ!” เอเลียร์ด รู้สึกกระปรี้กระเปร่า ครูคนนี้เป็นนักเรียนระดับทอปของคณบดีดังนั้นคำพูดของเธอสามารถยืนยันได้ว่า ลิงค์ ไม่จำเป็นต้องแก้ไขปัญหาในวิทยานิพนธ์ของเขา ตราบเท่าที่เขายังทำเอกสารที่สอดคล้องกันและส่งมันเขาก็จะได้รับการยอมรับในสถาบันการศึกษา
“ไม่เป็นไร” มอยร่า ยิ้ม เธอพบว่า เอเลียร์ด เป็นนักเรียนที่น่าประทับใจไม่เพียงเพราะความสามารถทางเวทมนตร์ของเขา แต่เพราะความซื่อสัตย์ของเขาด้วย
หลังจากพิจารณาสักพัก มอยร่า ก็จับชั้นหนังสือชั้นหนึ่งที่อยู่ข้างหลังเธอแล้วมีหนังสือเล่มหนึ่งลอยเข้ามาในมือเธอ “เพื่อนของเธอเป็นเด็กหนุ่มที่น่าประทับใจมาก ฉันคิดว่าหนังสือเล่มนี้น่าจะช่วยเขาได้มากเลยนะ เธอต้องแนบมันไปพร้อมกับจดหมายของเธอด้วย หนังสือเวทมนตร์เล่มนี้ราคาแพงมาก เราไม่สามารถเสี่ยงให้มันเสียหายหรือหายไปได้ ดังนั้นเธอต้องนำมันไปส่งด้วยตัวเธอเอง แล้วก็เขาได้รับอนุญาตให้อ่านมันได้แค่วันเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นหนึ่งวันเธอต้องไปนำมันกลับมาให้ฉันด้วย”
“ไม่มีปัญหาครับ!” เอเลียร์ด พูดอย่างดีอกดีใจ