เรื่องที่ฟู่เกาหยุนชื่นชอบการบรรเลงพิณนั้นเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้กันดี เพราะงั้นหากเหล่าผู้ติดตามอยากจะประจบก็ทำได้ไม่อยาก เพียงแค่ขอให้ฟู่เกาหยุนบรรเลงพิณสักสองสามเพลง ใบหน้าของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มแล้ว
แต่ทว่าครั้งนี้นั้นต่างออกไป
ตั้งแต่ตอนที่ฟู่เกาหยุนต้องการพัฒนาทักษะดนตรีของหลิงฮัน ท่วงทำนองของเขาก็ได้เพี้ยนตามหลิงฮันไปด้วย จนไม่อยากดีดพิณอีก
เพราะงั้นตอนนี้การประจบขอให้เขาบรรเลงพิณนั้น นอกจากจะไม่ทำให้เขาพึงพอใจแล้ว ยังเปรียบเสมือนการตบหน้าเขาอย่างจัง
“ใช่แล้วนายน้อยหยุน บรรเลงบทเพลงให้พวกเราฟังสักสองสามทำนองสิ” คนอื่นๆเริ่มส่งเสียงเอะอะ
พวกเขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าฟู่เกาหยุนถูกเงามืดกัดกินจิตใจอยู่ เพราะงั้นเหล่าผู้ติดตามทุกคนจึงได้โห่ร้องยุยงให้เขาบรรเลงเพลง
ฟู่เกาหยุนไม่อาจปฏิเสธคำขอจากผู้ติดตามมากมายเหล่านี้ได้ เขาจึงนำพิณออกมาอย่างไม่มีทางเลือกและพยายามทำใจให้สงบนิ่งมากที่สุด หลายวันที่ผ่านมา เขาขัดเกลาจิตใจจนนำท่วงทำนองของตนเองกลับมาได้แล้วและพยายามไม่นึกถึงหน้าหลิงฮัน
เขาปิดตาและขยับนิ้วดีดสายพิณ พริบตาเดียวท่วงทำนองที่งดงามราวกับดอกไม้ในฤดูใบไม่ผลิก็ถูกบรรเลงออกมา
คนอื่นๆทุกคนพยักหน้าขึ้นลงด้วยความเคลิบเคลิ้มไปกับเสียงเพลง
แต่ทางด้านหลิงฮัน เขากลับอ้าปากหาวด้วยความเบื่อหน่าย เขาไม่ใช่พวกมีอารมณ์สุนทรีย์แม้แต่น้อย เพราะงั้นการฟังเสียงท่วงทำนองเพลงจึงเป็นอะไรที่เสียเวลามาก เขาแสยะยิ้มมองไปยังจักรพรรดินีและสตรีนกอมตะราวกับนึกแผนสนุกๆออก
หลิงฮันยื่นมือออกไปเคาะแก้วน้ำเป็นจังหวะ
ถึงแม้เสียงเคาะจะเบาบางมาก แต่ด้วยการรับรู้ของนิรันดร์ระดับโลกียนิพพาน มีรึที่คนอื่นๆจะไม่ได้ยิน? แม้ทุกคนจะสงสัยว่าหลิงฮันทำอะไร แต่ก็เลือกที่จะไม่สนใจเพราะยังไงเสียงก็ไม่ได้ดังอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าฟู่เกาหยุนนั้นต่างออกไป ใบหน้าของเขากลายเป็นบูดบึ้งอย่างถึงที่สุด
เสียงบรรลุพิณของเขาเปลี่ยนไปทันที แถมยังรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง
อย่าไปสนใจ! อย่าไปสนใจ! อย่าไปสนใจ!
เขารีบกล่าวกับตัวเองในใจ แต่ยิ่งกล่าวเท่าไหร่ เสียงพิณของเขาก็ยิ่งเปลี่ยนไป
คนอื่นๆชะงักด้วยความประหลาดใจและหันมองหน้ากัน นี่นายน้อยหยุนกำลังบรรลุทำนองอะไรอยู่กัน?
“พอกันที!” ฟู่เกาหยุนโยนพิณในมือทิ้ง
ใบหน้าของทุกคนแสดงออกถึงความรู้สึกกระอักกระอ่วนราวกับอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป
“ฮ่าๆๆๆ!” หลิงฮันหัวเราะสนุกสนาน เขาจงใจแกล้งฟู่เกาหยุนอยู่แล้ว เพราะงั้นจึงกล้าที่จะหัวเราะออกมา
สำหรับหลิงฮันแล้ว ฟู่เกาหยุนไม่อาจทำอะไรได้นอกจากส่ายหัว
“กำลังสนุกอะไรกันอยู่รึไง?” ชายหนุ่มคนหนึ่งก้าวเดินเข้าที่พักมาด้วยขาที่กระโผลกกระเผลกไปมา
“พี่ชายเฉิง!” ใครหลายคนทักทายชายหนุ่มทันที
คนผู้นี้มีชื่อว่าเฉิงจง ตระกูลเฉิงนั้นเป็นหนึ่งในขุมอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดภายใต้การปกครองของตระกูลฟู่ ด้วยเหตุนี้การสนับสนุนจากเฉิงจงจึงมีความจำเป็นต่อฟู่เกาหยุนเป็นอย่างมาก จนต้องยอมไว้หน้าอีกฝ่าย
“เฉิงจง เกิดอะไรขึ้นรึ เหตุใดเจ้าถึงเดินเช่นนั้น?” ฟู่เกาหยุนไต่ถามด้วยท่าทีเป็นกันเอง
เฉิงจงส่ายหัวและกล่าว “ข้าถูกสุนัขตัวหนึ่งกัด… อย่าได้เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก!”
ว่าไงนะ?
ใครบางคนที่กำลังดื่มชาอยู่เกือบจะสำลักออกมา
เฉิงจงมีพลังบ่มเพาะอยู่ที่สี่นิรันดร์ขั้นกลาง ในกลุ่มผู้ติดตามของฟู่เกาหยุนเขาคือตัวตนที่ทรงพลังที่สุด จะบอกพวกเขาว่าจอมยุทธที่แข็งแกร่งขนาดนี้ถูกสุนัขกัดงั้นรึ? เรื่องนี้ไม่ว่าใครได้ยินก็ต้องหัวเราะ
หลิงฮันเผยท่าทีประหลาดใจ เหตุใดเรื่องนี้มันฟังดูแล้วช่างคุ้นหูนัก?
“เป็นไปได้อย่างไรกัน?” ฟู่เกาหยุนเองก็ตกตะลึง แม้ตัวเขาจะรู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างตลกนัก แต่เขาก็ต้องฝืนกลั้นไม่หัวเราะออกมา “ด้วยพลังของเจ้า เป็นไปได้ด้วยรึที่จะถูกสุนัขกัด?”
เฉิงจงถอนหายใจ “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น ในขณะที่ข้ากำลังมาที่นี่ ระหว่างทางข้าบังเอิญพบเจอฟู่จ้งเถิงกำลังเดินสภาพมอซอ ข้าเลยเยาะเย้ยหมอนั่นไปว่า ‘สุนัขบัดซบเช่นเจ้าไปบาดเจ็บอะไรมา?’ หลังจากนั้นจู่ๆสุนัขที่ไม่รู้ที่มาที่ไปก็ปรากฏตัวออกมาและกัดเข้าที่ก้นของข้า!”
ทุกคนชะงักแข็งค้างไร้คำพูด เจ้าถูกกัดง่ายๆแบบนั้นน่ะรึ?
เจ้าเป็นถึงนิรันดร์สี่นิพพานเชียวนะ!
เมื่อได้ยินที่อีกฝ่ายเล่า หลิงฮันก็มั่นใจเลยว่านี่ต้องเป็นฝีมือของสุนัขตัวดำไม่ผิดแน่
“เมื่อใดกันที่สัตว์อสูรเช่นนั้นปรากฏตัวที่เมืองหลีเทียน?” ฟู่เกาหยุนรู้สึกประหลาดใจ “ปรมาจารย์คนไหนเพิ่งจับสัตว์อสูรมาเลี้ยงรึเปล่า มันถึงได้ยังไม่เชื่องและเต็มไปด้วยสัญชาตญาณสัตว์ป่า?”
“ไม่ใช่แบบนั้นแน่!” เฉิงจงส่ายหัว “สุนัขที่กัดข้านั้นสวมใส่กางเกงในโลหะแวววาว ที่สะท้อนแสงส่องประกายแยงตา!”
พรวด ใครบางคนทนไม่ไหวและสำลักน้ำชาออกมาในที่สุด
“ยังไงก็ตาม เจ้ามานั่งก่อนดีกว่า” ฟู่เกาหยุนกล่าว
“ไม่นั่ง! ยังไงข้าก็ไม่นั่ง!” เฉิงจงรีบส่ายมือ ก้นของเขาในตอนนี้เจ็บปวดทรมานจนแม้แต่จะนั่งก็ยังทำไม่ได้
ทุกคนแอบหัวเราะในใจ เรื่องราวแบบนี้ไม่ว่าใครได้ยินก็ต้องรูัสึกตลก คงจะมีแค่คนโดนเท่านั้นที่โศกเศร้า
“วันนี้ที่้เรียกทุกคนมาที่นี่ นอกจากอยากให้ทุกคนได้มาพูดคุยกันแล้วก็ยังมีธุระอื่นอีกเรื่อง” ฟู่เกาหยุนปรบมือเพื่อเป็นสัญญาณให้ทุกคนเงียบ “ใกล้จะถึงเวลาที่เขตแดนลี้ลับเฉียนหลง(มังกรเร้นลับ)จะเปิดออกแล้ว วันนี้พวกเราจะมากำหนดกันว่าใครบ้างที่จะได้รับสิทธิให้เข้าสู่เขตแดนลี้ลับ”
เมื่อได้ยินคำว่าเขตแดนลี้ลับเฉียนหลง แววตาของทุกคนก็ส่องประกายทันที
เขตแดนลี้ลับแห่งนี้ในยุคบรรพกาลเคยเป็นที่ตั้งของขุมอำนาจที่ทรงพลังมาก่อน ในอดีตหลังจากที่มีการค้นพบเขตแดนลี้ลับแห่งนี้และพบเจอว่าด้านในมีชิ้นส่วนของแร่โลหะนิรันดร์ซ่อนอยู่นั้น ขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ถึงสามแห่งก็ถูกดึงดูดและทำการต่อสู้แย่งชิงกัน
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ภายในเขตแดนลี้ลับเฉียนหลงก็ไม่พบเจอสมบัติล้ำค่าอีกต่อไป
เพียงแต่ว่าสำหรับตระกูลฟู่แล้ว เขตแดนลี้ลับเฉียนหลงถือว่าเป็นแหล่งทรัพยากรที่สำคัญมาก นั่นเพราะว่าภายในเขตแดนลี้ลับแห่งนี้มีบางสิ่งเรียกว่าศิลาโลหิตมังกร ซึ่งสามารถช่วยขัดเกลาพลังบ่มเพาะของจอมยุทธระดับโลกียนิพพานได้อย่างน่าอัศจรรย์ แถมยังช่วยเสริมรากฐานของระดับแบ่งแยกวิญญาณให้มั่นคงได้อีกด้วย
ในบางครั้ง ทักษะที่หายสาปสูญบางทักษะก็สามารถพบเจอได้ภายในเขตแดนลี้ลับ
เนื่องจากว่าเขตแดนลี้ลับเฉียนหลงเคยเกิดการปะทะที่รุนแรงมาก่อน ภายในนั้นจึงอัดแน่นไปด้วยออร่าอันทรงพลัง มีเพียงทุกๆสามสิบล้านปีที่ภูเขาไฟภายในเขตแดนลี้ลับจะระเบิดเท่านั้น ออร่าที่ว่าถึงจะถูกสะกดเอาไว้ชั่วคราว ทำให้สามารถเข้าไปด้านในได้
เพียงแต่ว่าการจะเข้าไปในเขตแดนลี้ลับเฉียนหลงโดยไม่ตายนั้น สิ่งหนึ่งที่จำเป็นอย่างมากเลยคือชุดที่ทำจากเศษโลหิตศิลามังกร ซึ่งมีอยู่น้อยนิดและเกิดการสึกกร่อนเนื่องจากกาลเวลาที่ผ่านมานานกว่าเขตแดนลี้ลับจะเปิดออกในแต่ละครั้ง
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ จำนวนของคนที่จะเข้าสู่เขตแดนลี้ลับเฉียนหลงได้จึงมีจำกัด