หลิงฮันเคยปะทะกับเซียนหยู่สื่อเหยียนมาก่อน
ซึ่งเจตจำนงของอีกฝ่ายได้ส่งผลกระทบทำให้เขาสัมผัสถึงแก่นแท้แห่งดาบได้อย่างเรือนราง แต่การที่เท้าของเขาจะข้ามไปให้ถึงแก่นแท้แห่งดาบได้นั้นบงาทีอาจจะเป็นอีกไม่กี่วัน ไม่กี่ปี บางทีอาจจะเป็นร้อยปีหรือไม่อาจจะสามารถก้าวไปถึงได้ในช่วงชีวิตนี้เลย
กลิ่นอายของราชันเห็บน่าสะพรึงกลัวมาก มันอาจเทียบได้กับกลิ่นอายของราชันซากศพสิบห้าตา ถ้าปะทะกันซึ่งๆหน้าหลิงฮันคงจะถูกมันสังหารนับร้อยครั้ง แต่นี่เป็นเพียงกลิ่นอายที่หลงเหลือไว้ของระดับทลายมิติเท่านั้น
‘ต้องก้าวผ่านขีดจำกัดและบรรลุแก่นแท้แห่งดาบ!’ หลิงฮันกล่าวในใจ
‘อั่ก’ ปากของเขาสำลักโลหิตออกมา ภายใต้แรงกดดันของตัวตนระดับทลายมิติเขาจะมีสภาพปกติได้อย่างไร?
แม้แต่จอมยุทธระดับสวรรค์ก็ไม่อาจต้านทานกลิ่นอายของตัวตนระดับทลายมิติได้เป็นเวลานาน
‘แกร่ก แกร่ก แกร่ก’ กระดูกในร่างของหลิงฮันแตกหักและร่างกายเริ่มบิดเบี้ยวเป็นรูปทรงที่แปลกประหลาด
เขากำลังจะตาย!
หลิงฮันสัมผัสได้ถึงภัยอันตราย เขารีบใช้งานหยดวารีอมตะทันที ภายในพริบตาร่างของเขาก็คืนสภาพกลับมาเหมือนเดิม เพียงแต่ว่ากลิ่นอายของตัวตนระดับทลายมิติรอบด้านก็ยังไม่หายไป
ผ่านไปไม่นานอำนาจของหยดวารีอมตะก็สิ้นสุดลง ร่างของเขาจึงเริ่มแหลกสลายอีกครั้ง
นี่เขายังไม่สามารถรู้แจ้งถึงแก่นแท้แห่งดาบได้อีก?
หลิงฮันเริ่มทำใจให้สงบ เมื่อครู่เขารีบร้อนเกินไป! วิถีแห่งวรยุทธไม่มีสิ่งใดสามารถเร่งเร้าได้ โดยเฉพาะภายใต้แรงกดดันของตัวตนระดับทลายมิติเช่นนี้
หลิงฮันสงบจิตและเลิกคิดถึงแก่นแท้แห่งดาบ เขามุ่งมั่นไปยังการต่อต้านแรงกดดันของตัวตนระดับทลายมิติเท่านั้น
‘แกรก แกรก’ บาดแผลมากมายบนร่างของเขาปริแตกจนโลหิตไหลทะลัก
‘ตุบ ตุบ ตุบ’ หลิงฮันเดินหน้าด้วยฝีเท้าที่มั่นคง
โลหิตและเหงื่อของเขาไหลไม่หยุด แต่แววตาและจิตใจของเขายังคงร้อนแรงและเต็มไปด้วยความมั่นใจ ไม่รู้ว่าเขาจะสามารถก้าวสู่แก่นแท้แห่งดาบได้รึไม่ แต่ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำคือการต่อต้านแรงกดดันของกลิ่นอายระดับทลายมิติ
หลิงฮันเดินไปด้านหน้า เขาเริ่มเข้าใกล้ศิลาโลหิตมังกรขึ้นเรื่อยๆ
‘แปะ’ ในที่สุดเขาก็เดินเข้าใกล้จนสัมผัสศิลาได้แล้ว
ความรู้สึกยินดีเกิดขึ้นในจิตใจของเขา แต่ในตอนนั้นเอง หลิงฮันก็รู้สึกราวกับว่าตัวเขาได้ปลดโซ่บ่วงที่รัดขีดจำกัดของเขาเอาไว้ ความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้และเจตจำนพแห่งดาบนับไม่ถ้วนทะลักผ่านเข้ามาในจิตใจของเขา
แก่นแท้แห่งดาบ!
เขาชะงักไปชั่วขณะก่อนจะกลับมามีสติอีกครั้ง
ในก้าวสุดท้ายของการต่อต้านแรงกดดัน เขาสามารถบรรลุถึงแก่งแท้แห่งดาบได้
เมื่อรู้แจ้งถึงแก่นแท้แห่งดาบแล้ว การเคลื่อนไหวในแรงกดดันของเขาก็ไม่ถูกจำกัดอีกต่อไป จิตใจและวิญญาณของเขานั้นรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่ราวกับปลาที่หลุดออกจากแห เขายื่นมือออกไปคว้าศิลาโลหิตมังกรและเก็บเข้าไปในหอคอยทมิฬ
ได้มาแล้ว!
เขาหันหลังและเริ่มเดินออกจากพื้นที่ที่มีแรงกดดัน
ตอนนี้เขาไม่รู้สึกถึงความยากลำบากในการเดินอีกต่อไป เมื่อมีแก่นแท้แห่งดาบเป็นสิ่งคุ้มกัน จิตวิญญาณของเขาก็มั่นคงยิ่งขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นกลิ่นอายของตัวตนระดับทลายมิติก็ยังทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดอยู่ดี เพราะอย่างไรหลิงฮันก็เพิ่งบรรลุเพียงแก่นแท้แห่งดาบขั้นต้น
ผ่านไปไม่นานเขาก็เดินออกมาจากพื้นที่แรงกดดัน กายาเพชรทำงานทันที ทั้งกระดูกและผิวหนังที่ปริแตกของเขาถูกฟื้นฟูในพริบตา เขานำชุดใหม่จากหอคอยทมิฬมาเปลี่ยนทำให้ดูราวกับว่าไม่มีความเสียหายใดๆเกิดขึ้นกับเขาแม้แต่น้อย
“มอบศิลาโลหิตมังกรมาแล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!” ทันใดนั้นเองเขาก็เห็นชายหนุ่มห้าคนและสตรีเดินออกมาจากซอกหินสีแดงและมองมาที่เขาด้วยสายตากระหาย
ไม่น่าเชื่อว่าหลิงฮันจะไม่รู้สึกตัว!
หลิงฮันชะงักในใจ ก่อนหน้านี้เขาเพ่งสมาธิทั้งหมดไปกับการรู้แจ้งแก่งแท้แห่งดาบ ดังนั้นเขาจึงเมินเฉยต่อสภาพแวดล้อมโดยรอบไปโดยสิ้นเชิงและไม่รู้สึกถึงตัวตนของคนห้าคน
ถ้าเกิดทั้งห้าคนนี้ดันเป็นฉือชิ่วเหรินล่ะก็ เขาจะไม่ถูกลอบโจมตีไปแล้วรึ?
เมื่อเห็นว่าหลิงฮันไม่สนใจ คนทั้งห้าคนก็กลายเป็นโกรธเกรี้ยว
ชายหนุ่มสวมชุดคลุมเดินออกมาและคำราม “เผ่ามนุษย์ ข้ากำลังพูดอยู่กับเจ้านะ!”
หลิงฮันเลิกครุ่นคิดและกล่าว “ศิลาโลหิตมันกรคือผลเก็บเกี่ยวของข้า ทำไมข้าต้องมอบให้เจ้าด้วย? ถ้าพวกเจ้าต้องการก็ไปหาเอง ตอนนี้ข้ากำลังอารมณ์ดี เจ้าอย่ามาทำลายบรรยากาศของข้าดีกว่า”
“ฮ่าๆๆๆ!” รุ่นเยาว์ผู้นั้นหัวเราะ “ช่างน่าขัน ข้าไม่นึกเลยว่าเผ่ามนุษย์จะกล้าพูดอะไรเช่นนี้ออกมา! เจ้ารู้รึไม่ว่าข้าเป็นใคร?”
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “แน่นอนว่าข้ารู้”
หลิงฮันชี้ไปที่พวกเขาแต่ละคน “เจ้าคือแมว เจ้าคือสุนัข เจ้าคือวัว เจ้าคือหมู ส่วนเขาคือแกะ”
รุ่นเยาว์ผู้นั้นทนไม่ไหวและคำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราด “ข้าคือโม่หยวนหมิง อัจฉริยะของตระกูลโม่แห่งมหาสมุทรตะวันตก!”
“โอ้ เจ้าชื่อโม่หยวนหมิงนี่เอง ข้าคิดว่าเจ้าเป็นสุนัขเสียอีก” หลิงฮันพยักหน้า
รุ่นเยาว์ชุดม่วงอีกคนเค้นเสียงเย็นชาและกล่าว “ไม่ต้องมัวเสียเวลาพูดแล้ว สังหารเขาและนำศิลาโลหิตมังกรมา”
“ขอรับพี่ใหญ่เชิ่งซิน!” รุ่นเยาว์อีกสี่คนกล่าวตอบอย่างเชื่อฟัง
ถึงแม้รุ่นเยาว์ทั้งห้าจะเป็นอัจริยะแห่งยุคของตระกูลโม่ แต่ไม่มีใครสามารถทัดเทียมกับโม่เชิ่งซินได้ เพราะโม่เชิ่งซินคืออัจฉริยะในรอบพันปีหรือบางทีอาจจะหมื่นปีด้วยซ้ำของตระกูลโม่ สายเลือดของเขาบริสุทธเป็นอย่างมาก มีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะบรรลุระดับทลายมิติก่อนช่วงอายุห้าสิบปี
โม่หยวนหมิงและอีกสามคนลงมือเขยิบมาโอบล้อมหลิงฮันรอบด้าน มีเพียงโม่เชิ่งซินเท่านั้นที่พาดมือยืนอย่างนิ่งเฉย
สำหรับเผ่าใต้สมุทรที่มีความยภาคภูมิใจในเกียรติสูง การจัดการเผ่ามนุษย์คนเดียวพร้อมกับสี่คนนั้นถือเป็นเรื่องที่นับว่าเกินไปแล้ว เพราะอย่างไรกลิ่นอายของหลิงฮันก็เป็นแค่จอมยุทธระดับก้าวสู่เทวาเท่านั้น ซึ่งรุ่นเยาว์สี่คนมีคนหนึ่งที่เป็นถึงจอมยุทธระดับสวรรค์ขั้นต่ำ
“นี่คือโอกาสสุดท้าย มอบศิลาโลหิตมังกรมาไม่เช่นนั้น…”
“ตาย!”