เหอเฟิงจ้องเข้าไปในนัยน์ตาดำลึกของชูฮัน “นายก็เป็นถึงพลเอกอยู่แล้ว ค่ายเขี้ยวหมาป่าก็เป็นของนาย แค่นี้นายก็มีอำนาจสูงสุดอยู่ในมืออยู่แล้ว” “ไม่” ความทะเยอทะยานฉายชัดในแววตาของชูฮัน “ถ้าฉันยอมร่วมมือด้วย ทีมหลงยาและฮูหยาและกัปตันทั้งหมดจะต้องรับคำสั่งจากฉัน”
แววตาของเหอเฟิงพลันแข็งกร้าวขึ้นมาทันที เขาจ้องชูฮันเขม็ง หัวใจเต้นรัวราวกับจะระเบิดออกมา หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เหอเฟิงก็สามารถระงับอารมณ์โกรธและเอ่ยต่อ “พลเอกชูฮัน…ไม่คิดว่าคำขอนี่มันเกินไปหน่อยเหรอ? ไม่ว่าจะหลงยาหรือฮูหยา พวกเขาก็ไม่มีวันรับคำสั่งจากใครทั้งนั้น ถึงแม้จะเป็นโลกาวินาศและค่ายซางจิงจะออกภารกิจออกมา มันก็ต้องได้ความยินยอมจากเจ้าหน้าระดับสูงถึงห้าคนก่อน กว่าพวกเขาจะยอมรับปฏิบัติภารกิจ”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมนายต้องให้สมาชิกทั้งสองทีมปลอมตัวแอบลอบเข้ามาในค่ายฉันด้วย? ถ้าไม่เชื่อฟังคำฟังฉัน ฉันจะแสดงพลังให้เห็นเอง เผื่อพวกเขาจะได้ไปเจอบรรพบุรุษกันเร็วขึ้น” ชูฮันไม่รู้สึกอะไรกับคำข่มขู่ของเหอเฟิงเลย เขาไม่แม้แต่จะสนใจด้วยซ้ำ “ถ้าทำไม่ได้ งั้นก็ออกไปจากค่ายของฉันเดี๋ยวนี้!”
เหอเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกและพยายามถอยให้ชูฮัน “ถ้าเป็นอย่างนั้น การร่วมมือกันถือเป็นตกลง แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่กัปตันของหลงยาจะยอมเชื่อฟังนาย แต่ฉันสามารถมอบอำนาจให้นายเทียบเท่ากับฉันได้ ตราบเท่าที่คนออกคำสั่งคือทั้งฉันและนาย”
ทันใดนั้นชูฮันก็โพล่งบางอย่างขึ้นมา “ทีมหลงยา?”
ทีมหลงยา…กัปตันของทีมหลงยา
แววตาของเหอเฟิงพลันหมองลง “เขาทำงานให้ฉัน”
น่าทึ่ง…คราวนี้ชูฮันรู้สึกชื่นชมอยู่ในอก
โดยไม่คาดคิด กัปตันทีมหลงยาพ่ายแพ้ต่อกัปตันทีมฮูหยา ทั้งๆที่ทีมฮูหยานั้นมีพลังน้อยกว่ากัปตันทีมหลงยาระดับหนึ่ง นี่เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของชูฮัน เขามั่นใจว่าเรื่องนี้ไม่มีใครในซางจิงรู้เรื่องอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่าในยุคศิวิไลซ์ ทีมหลงยาถือเป็นทีมระดับพระกาฬ ที่สุดของที่สุด เป็นทีมอันดับหนึ่งของจีน เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จะต้องถูกฝังจมดินให้ลึกที่สุดอย่างแน่นอนเพื่อรักษาหน้าตาของกองทัพเอาไว้
อีกครั้งที่เหอเฟิงเงียบต่อหน้าชูฮัน เขาไม่อยากจะเสวนากับผู้ชายตรงหน้าเขาอีกต่อไป เขาจึงยืนขึ้นและเอ่ย “เพราะงั้น ร่วมมือกันอย่างแฮปปี้ทั้งสองฝ่าย”
ชูฮันโบกมือ “อย่าดีกว่า เดี๋ยวนายจะมือหักเอา”
พละกำลังของเหอเฟิงนั้นมีไม่เท่าเขาและจิตใจก็ไม่ได้เข้มแข็งเหมือนเขา ครั้งนี้ทั้งๆที่เหอเฟิงวางแผนเดินหมากทุกอย่างมาทั้งหมดแล้วก็ยังโดนชูฮันอ่านกินจนหมด เพราะงั้นมันจะเหลืออะไรที่เหอเฟิงจะไม่แพ้ชูฮันอีก?
เหอเฟิงสูดหายใจเข้าลึก มองหน้าชูฮัน จากนั้นก็จากไปด้วยหัวใจสลายต่อความพ่ายแพ้ของตัวเอง
ไม่นานหลังจากเหอเฟิงจากไป ชูฮันที่กำลังเฝ้าดูการต่อสู้ภายในเมืองด้านล่างห่างออกไปเวลานานแล้ว จู่ๆเขาก็เหยียดมือและหยิบแผ่นกระดาษออกมาจากกระเป๋า ในตอนนั้นแววตาของชูฮันดิ่งลึกและจริงจัง
นี่คือสิ่งที่เขาเจอใต้หมอนของเขาเมื่อสองวันก่อน มันผ่านพ้นคนที่แกร่งที่สุดในกองทัพอย่างซูเฟิง ผ่านการเฝ้าระวังที่ฝึกฝนมาอย่างยาวนานของตัวเขา ผ่านหวังไคซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้…มันมาถึงเขา
ในแผ่นกระดาษมีข้อความเขียนอยู่…ป่ายหวีเยอเจอกับตระกูลป่าย และถูกตระกูลป่ายพาตัวไป
มันไม่มีรอยหรือลายเซ็นอะไร แต่ชูฮันจำที่มาของกระดาษแผ่นนี้ได้ตั้งแต่แวบแรกที่เห็น ลายมือที่คุ้นเคยและเป็นลายมืออันเดิมกับที่เคยนำพาเขาไปที่คฤหาสน์ของเหย่โม่
เสี่ยวเมิงชี ยัยเด็กประสาทนั่น!
และมันก็เป็นเพราะข้อความนี้ที่ทำให้ชูฮันตัดสินใจร่วมมือกับเหอเฟิง ไม่อย่างนั้นเขาไม่มีทางยอมแน่ๆ
ป่ายหวีเนอในชาติที่แล้วไม่ได้ติดต่อกับตระกูลป่ายรวดเร็วแบบนี้ แต่โลกนี้กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างมากเพราะการกลับชาติมาเกิดของเขา
———
ณ ค่ายผู้รอดชีวิตหนานตู้
หัวล้านทั้งสามคนที่ถูกจับไปขังไว้ในคุกกำลังนั่งอยู่ในมุมห้องและไล่นับมดไปเรื่อยๆเพื่อฆ่าเวลา พวกเขาถูกล้อมรอบไว้ด้วยลูกกรงไม่ต่างอะไรกับสัตว? พวกเขาเหมือนไก่ เป็ด ห่านที่ถูกขังไว้ในกรงรอเวลาเชือด
มันมีกรงอื่นอยู่รอบๆ ขังนักโทษไว้มากมาย เสียงดังเซ็งแซ่ เสียงความรุนแรง ความวุ่นวายที่ดังขึ้นต่อเนื่องไม่หยุด ทุกๆวันมันมีการสู้กันเกิดขึ้นและทุกๆวันมีคนต้องเสียชีวิตลง ผนังห้องที่ปกคลุมด้วยความมืดเต็มไปด้วยเลือดที่แห้งกรังติดผนังทับถมกันหลายชั้น กลิ่นเลือดคลุ้งไปทั่ว
กรงที่เหอซาง เสี่ยติง และกวังโถว ถูกขังไว้นั่นตั้งอยู่ในจุดที่เรียกได้ว่าเงียบสงบที่สุดในคุกแห่งนี้ก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่ถูกกลั่นแกล้งหรือโดนคำพูดถากถางจากคนอื่นๆ ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อภาพลักษณ์ของพวกเขาโดดเด่นแบบนี้
“ฮัลโหล?” มีหน้าหนึ่งปรากฏขึ้นตรงกรงฝั่งตรงข้าม ใบหน้าเจ้าเล่ห์จับจ้องมาที่ทั้งสามคนอย่างล้อเลียนและเอ่ยคำพูดดูถูกขึ้นมา “พระสามองค์ไม่มีน้ำดื่มวะ ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่มีน้ำอาบด้วยตัวนี่เหม็นหึ่ง!”
เสี่ยติงและหวังโถวที่นั่งอยู่มุมกรงฝั่งซ้ายและขวาไม่ได้พูดอะไร เหอซางเป็นคนที่ต้องอยู่ตรงกลางเพื่อคอยหยุดการทะเลาะของทั้งสองคน เขาจำเป็นต้องนั่งกั่นกลางพร้อมกับหน้าผากที่เต็มไปด้วยรอยย่นอย่างตึงเครียดพร้อมกับใช้ความคิดอย่างหนักในหัว
ความจริงแล้วเสี่ยติงและกวังโถวเป็นคนที่แข็งแกร่งในด้านของพละกำลัง แต่เมื่อตอนที่พวกเขาถูกจับ อีกฝ่ายมีจำนวนคนมากกว่า อีกทั้งค่ายหนานตู้เป็นค่ายที่ใหญ่ที่สุดในทางใต้และก็ยังเป็นหนึ่งในสามค่ายที่ใหญ่ที่สุดในจีน คนที่ลุมตะบอนพวกเขามีจำนวนไม่ใช่น้อย เพราะงั้นพวกเขาจึงต้านทานไม่ไหว
ส่วนเหอซางเอง ตัวเขานั้นไม่ได้นำอุปกรณ์อะไรมา เพราะอย่างนั้นเขาถึงกลายเป็นคนน่าสิ้นหวังที่ทำอะไรไม่ได้เลย
“แม่มึงสิ! ตายซะไอ้เ*ย!” ชายที่อยู่ในกรงฝั่งตรงกันข้ามเดือดดาลขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเขาเห็นว่าทั้งสามคนไม่ตอบโต้อะไรเลย “กูพูดกับพวกมึงอยู่นะ มึงคิดว่าวิเศษนักเหรอ? ไอ้พวกโง่หัวล้านวัดเซ้าหลินสามตัว ถุย!” เหอซางไม่ตอบกลับ เสี่ยติงเริ่มโกรธแต่เมื่อเขาเห็นว่าเหอซางไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองแถมยังเพิกเฉยคำพูดของอีกฝ่ายเขาจึงนิ่ง ส่วนกวังโถวเขาทำเพียงแค่จ้องหน้าผู้ชายตรงข้ามจากนั้นก็ก้มศีรษะลงเหมือนเดิม
พวกเขาถูกขังอยู่ที่นี่มาสองวันแล้ว ไม่มีหนทางที่จะออกไปได้เลย พวกเขาไม่ได้กินอะไรเลย มันยังดีซะกว่าถ้าจะอดอาหารตายไปให้มันจบๆ!
ขณะที่ทั้งสามคนโดนผู้ชายอีกฝั่งตะคอกด่ากราดใส่ มันก็ส่งผลให้ผู้คนในคุกเริ่มคลั่งและส่งเสียงตามขึ้นมาเรื่อยๆ ทันใดนั้นเองมันก็มีเสียงฝีเท้าวิ่งกรูมุ่งหน้าเข้ามา
“นั่นมันท่านหลิวซินนี่นา!” เสียงของเจ้าหน้าที่เฝ้าคุกที่ทำตัวเหมือนหมาคอยเลียประจบคนมีอำนาจ “อ่อ! ทำไมคนอย่างท่านถึงมาทำอะไรในที่สกปรกแบบนี้ล่ะครับ?”
“ไม่มีอะไร” น้ำเสียงของหลิวซินเรียบนิ่งแผ่วๆ มีเพียงแค่เสียงฝีเท้าของเขาที่ดังก้องไปทั่วทั้งคุก “ฉันแค่มารับบางคนแล้วก็จะไป”
“ครับท่าน แต่ท่านหลิวซินครับ ท่านควรระวังเพราะที่นี่มันสกปรกมาก ท่านมาหาใครกันครับ? ให้ผมหาให้มั้ยครับ?” เจ้าหน้าที่ที่ทำตัวเหมือนหมาเดินตามติดหลิวซินไม่ห่าง หลิวซินที่เดินเข้ามาในคุกก็พยักหน้าโดยไม่ได้พูดอะไร
หลิวซินที่เดินเข้ามาด้านในคุกโดยไม่เปลี่ยนจังหวะฝีเท้าเลย แม้จะสัมผัสกลิ่นเหม็นเน่าในคุกมืดแต่คิ้วของเขากลับไม่กระตุกเลยสักนิด เขาเดินมุ่งตรงไปตามทางเดิน เหล่าคนในคุกที่เห็นบางคนก็รีบหลบสายตาหนีด้วยความหวาดกลัวทันที