Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย – ตอนที่ 592 สร้างความวุ่นวาย

พ้ะ!

 

จู่ๆก็มีเชือกพาดเข้ากับกำแพงสูงของค่ายเจียนอี๋ ชูฮันที่วิ่งมาด้วยความเร็วเต็มที่ดีดตัวไต่เชือกปีนขึ้นกำแพงข้ามเข้าไปภายในค่ายอย่างง่ายดาย ทหารเฝ้ายามที่เฝ้าอยู่บนกำแพงและเผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลียได้ยินเพียงแค่เสียงบางอย่างเบาๆเท่านั้นและสะดุ้งตื่น หากก็ไม่เห็นอะไรนอกจากความว่างเปล่า

 

“ฝันงั้นเหรอ?” นายทหารเฝ้ายามหาวและไม่คิดสนใจเสียงเมื่อครู่อีก เขาได้ยืนเฝ้ายามติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายคืนแล้วและไม่เคยเจอความผิดปกติใดๆเลย เพราะฉะนั้นครั้งนี้เขาจึงคิดว่าเสียงที่เขาได้ยินน่าจะเป็นการเข้าใจผิดเฉยๆ

 

ในเวลานั้น ชูฮันก็เดินจากจุดนั้นไปไกลกว่าสิบเมตรแล้ว เขามุ่งหน้าไปจุดที่เหล่าผู้รอดชีวิตของค่ายเจียนอี๋อาศัยอยู่

 

การฝึกครั้งนี้ไม่ใช่การร่วมมือระหว่างสองทีมอย่างกุ้งเสือดำและความลับของพระเจ้าอีกต่อไป แต่มันเป็นการแยกทั้งสามทีม ทุกทีมต้องพึ่งตัวเอง สำหรับเนื้อหาของการฝึกในครั้งนี้ สำหรับชูฮันนั้นเขาคิดว่ามันง่ายๆไม่มีอะไรซับซ้อน แต่สำหรับมุมมองของหวังไค มันคิดว่าเป็นอะไรที่น่าหวาดเสียวอย่างมาก

 

ภารกิจนี้มีสองข้อกำหนด หนึ่งคือขโมยตราของพลโทหลูอี๋ ผู้นำสูงสุดของค่ายเจียนอี่มาให้ได้อย่างเงียบๆ ข้อสองคือไม่ว่าทีมไหนจะขโมยมาได้ ทุกคน ทั้งสามทีมจะต้องออกจากค่ายเจียนอี๋โดยไม่ถูกจับได้ และไปเจอกันที่จุดนัดพบในป่า

 

บทลงโทษสำหรับการภารกิจล้มเหลวของทีมกุ้งเสือดำและความลับของพระเจ้าในการฝึกครั้งที่แล้ว ทำให้พวกเขามีภารกิจเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งข้อนอกเหนือจากทีมนักฆ่าขนนก ทีมกุ้งเสือดำและความลับของพระเจ้าจะต้องเข้าไปสร้างความวุ่นวายภายในค่ายเจียนอี๋และหนีออกมาโดยไม่ให้ถูกจับได้

 

ครั้งนี้ ชูฮันมีข้อจำกัดมากมาย พวกเขาห้ามบาดเจ็บและห้ามถูกค้นพบ ระดับของความวุ่นวายต้องมากกว่า 70% ของเจ้าหน้าที่ในค่ายเจียนอี๋

 

ข้อสุดท้ายเป็นประเด็นที่ยากมากที่จะทำได้ ดังนั้นครั้งนี้ชูฮันจึงจะลงมือด้วยตัวเองและพาพวกเขาไปทำภารกิจต่อให้สำเร็จ

 

นอกเหนือจากการที่ต้องขโมยตราตำแหน่งพลโทของหลูอี๋แล้ว จุดประสงค์พื้นฐานที่สุดของการสร้างวุ่นวายทั้งหมดนี้คือเพื่อสร้างความขัดแย้งภายในที่ไม่สามารถลบออกได้ภายในค่ายเจียนอี๋ เพื่อที่ค่ายเจียนอี๋จะสามารถสลายตัวได้ง่าย

 

มันจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเอาชนะค่ายเจียนอี๋ให้ได้สำหรับชูฮัน การสร้างชื่อเสียงด้วยสงครามกลางภูเขามันยังเพียงพอ เมื่อหลูอี๋รู้ตัวอีกที มันก็จะกลายเป็นสุนัขรับใช้ของชูฮันไปแล้ว ชูฮันไม่ได้ต้องการเพียงแค่ให้หลูอี๋ก้มหัวให้เขาเท่านั้น แต่เขาต้องการให้หลูอี๋สั่งให้ทหารและกองกำลังทั้งหมดภายใต้หลูอี๋ทำงานให้เขาเมื่อถึงเวลาร้องขอด้วย

 

นี้เป็นเรื่องที่ยากที่จะทำสำเร็จ เมืองอันลูนั้นมีขนาดกว้างใหญ่มากจนยากที่จะควบคุมได้หมดทุกพื้นที่ มันยังมีเมืองย่อย เมืองเล็กเมืองน้อยมากมาย มันไม่เพียงพอที่จะพึ่งพาเพียงแค่ค่ายเขี้ยวหมาป่าสำหรับการดูแลและปกครองทั้งหมด ดังนั้นมันจึงจำเป็นที่ชูฮันจะต้องก่อตั้งค่ายลูกโซ่ขึ้น

 

เพราะฉะนั้นสำหรับการมาค่ายเจียนอี๋ในครั้งนี้ แม้ว่าจุดประสงค์หลักนั้นจะเป็นเพื่อการฝึกสำหรับทั้งสามทีม แต่มันก็เป็นการเริ่มต้นแผนการครอบครองของชูฮันไปด้วย

 

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ทั้งสองทีมอย่างทีมนักฆ่าขนนกและกุ้งเสือดำที่ถูกค่ายเจียนอี๋พาเข้ามาและได้รับการปรนนิบัตรอย่างดีมากมาย ก็เริ่มรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป

 

“ฉันโดนขัง?” เสี่ยวเคินมองไปที่จำนวนผู้คนด้านนอก จำนวนเจ้าหน้าที่และการป้องกันอย่างแน่หนาทำให้เขาขมวดคิ้ว

 

“ฝันงั้นเหรอ?”

 

“มีการรบกวนเล็กน้อยเมื่อตอนช่วงอาหารค่ำ” จางโบฮั่นพูด เธอหยิบแอปเปิ้ลในชามผลไม้ขึ้นมา “การดูแลนั้นดีมากๆ และผลไม้พวกนี้ก็คาดว่าน่าจะมีไว้สำหรับแค่มนุษย์สายพันธุ์ใหม่เท่านั้น”

 

“การจลาจลที่เกิดขึ้นจะต้องเป็นฝีมือของทีมความลับของพระเจ้าแน่ๆ” เสี่ยวเคินไม่ได้อยากจะด่วนสรุป “คนอื่นๆไม่มีความสามารถที่จะทำแบบนี้ได้แน่ พวกเขาสามารถซ้อนเร้นจุดประสงค์ไว้หลังความวุ่นวายได้อย่างแบบสมบูรณ์แบบ”

 

“เราต้องหาวิธีออกไปให้ได้ ไม่อย่างนั้นภารกิจของเราจะไม่มีทางสำเร็จ” สมาชิกคนอื่นในทีมกุ้งเสือดำเองก็ร่วมหารือด้วย

 

“สถานการณ์ของเราก็ไม่ได้ต่างไปจากทีมนักฆ่าขนนก แล้วเรายังมีภารกิจสร้างความวุ่นวายเพิ่มมาอีก เราไม่สามารถมาเสียเวลาที่นี้ได้”

 

“คำถามคือเราจะออกไปได้อย่างไร? เราหวังพึ่งหัวหน้าชูฮันไม่ได้เหรอ?”

 

“ไม่ได้! หัวหน้าชูฮันให้เรามาที่นี่เพื่อทำการฝึก แล้วถ้าเราไม่ทุ่มและลงแรงด้วยความสามารถของเราเอง แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร?”

 

“ถ้างั้น เราก็เดินฝ่าออกไปกันเลยมั้ย?”

 

เมื่อสมาชิกคนหนึ่งพูดแบบนี้ขึ้นมา บรรยากาศก็เงียบสนิททันที สายตาของทุกคนจับจ้องมาที่คนพูด

 

“จี๊ด!” จู่ๆมันก็มีแปลกๆดังขึ้นเหนือหัวพวกเขา

 

สมาชิกของทีมกุ้งเสือดำทุกคนตกใจมาก แต่หลังจากเงยหน้าขึ้นมาพวกเขาก็ต้องตะลึงค้าง มันมีหนูตัวเล็กกระจิดริดหากท่าทางดูคลั่ง มีลูกบอลกระดาษคาบอยู่ในปาก ตาของมันสีดำสนิท ท่าทางไม่ได้ดูเป็นมิตรเท่าไหร่

 

“ซอมบี้หนู?!” จางโบฮั่นแหกปาก มือหนึ่งคว้าเข้าไปที่อาวุธของตัวเองทันที

 

“นัยน์ตามันไม่ได้เป็นสีขาว นี่เป็นหนูธรรมดา” เสี่ยวเคินหัวเราะเยาะ

 

“ไม่ พวกสัตว์บ้าคลั่งจะตัวใหญ่มาก แต่หนูนี่ตัวเล็กมาก มันใช่ซอมบี้กลายพันธุ์หรือเปล่า?”

 

“ฉันเชื่อใจพวกแก แต่นี้พวกแกไม่ความรู้อะไรเลยเหรอไง? เห็นได้ชัดเลยว่านี้มันหนูที่ยังไม่โตเต็มวัย!”

 

ประเด็นที่กำลังพูดคุยกันอยู่ ทำให้สมาชิกของทีมกุ้งเสือเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมจู่ๆถึงมีหนูมาปรากฏตัวตรงนี้ ต้องเป็นฝีมือของพรสวรรค์ที่มีความสามารถในการสื่อสารกับสัตว์อย่างหลูปิงเซ่อนั้นเอง พวกเขาคุ้นเคยกับความสามารถของหลูปิงเซ่อดี อีกอย่างทีมกุ้งเสือดำและความลับของพระเจ้าจะต้องร่วมมือกันเพื่อภารกิจให้สำเร็จก่อนจะไปทำภารกิจต่อไปได้ ดังนั้นหลูปิงเซ่อจึงจำเป็นต้องหาทางติดต่อทีมกุ้งเสือดำ เพราะถึงอย่างไรท่านชูฮันก็พูดไว้ชัดเจนว่าในการจะสร้างความวุ่นวายตามภารกิจที่มอบหายให้ ทีมกุ้งเสือดำและความลับของพระเจ้าจะต้องร่วมมือทำด้วยกันให้สำเร็จ

 

เจ้าหนูเลียปากของมันและทิ้งลูกบอลกระดาษในปากมันลงใส่คนข้างล่าง จากนั้นมันก็เลียเขี้ยวแหลมของตัวเองอีกรอบก็จะหายตัวไปทันที

 

“หลูปิงเซ่อ มันไม่ปล่อยแม้แต่หนูให้รอดสายตาไปได้ แต่การเคลื่อนไหวครั้นี้ก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องมาก จำนวนของหนูมักจะมีอย่างโดดเด่นเสมอ ความคิดดีมากที่เลือกมันใช้งาน!” เสี่ยวเคินพูดกับตัวเองและก้มหยิบลูกบอลกระดาษที่พื้น

 

เหล่าสมาชิกของทีมกุ้งเสือดำก็พยักหน้าตามอย่างเห็นด้วยกันหมด หลูปิงเซ่อใช้สัตว์เพื่อนำส่งข้อความมาให้พวกเขา มันไม่ใช่เรื่องไร้สาระอย่างแน่นอน

 

แต่ขณะที่ทุกคนกำลังชมหลูปิงเซ่อกันอยู่ในใจ—-

 

“แม่ง!” เสี่ยวเคินแหกปากร้องอย่างโกรธจัด เขาขยำกระดาษในมือและขว้างทิ้งอย่างแรง

“ไอ้เวร ดูเอาเองละกัน!”

 

จางโบฮั่นหยิบขึ้นมาก่อน และอ่านทันทีด้วยความสงสัย

“ฮ่าฮ่า พวกแกโดนขังสินะ? มาสิ มา ขอร้องฉัน!”

 

“นี่มัน…” หลังจากอ่านจบ จางโบฮั่นก็อารมณ์เปลี่ยนทันที หน้าของเธอเขียวอย่างโกรธจัด “ไอ้หลูปิงเซ่อ!”

 

สมาชิกที่เหลือของทีมกุ้งเสือดำต่างพูดอะไรไม่ออก

 

“มันไร้สาระจริงๆ…”

 

“นี่มันใช้โอกาสที่มีเพื่อที่จะมาทำเรื่องไร้สาระแบบนี้เนี่ยนะ?”

 

“มันไม่สมเหตุผลสักนิด มันไปเรียนรู้มาจากไหน? ฉันไม่คิดว่าหลูปิงเซ่อจะทำแบบนี้!”

 

“ฉันคิดว่าเขาน่าจะเรียนรู้มาจากหัวหน้าชูฮัน เวลาที่หัวหน้าชูฮันปฏิบัติกับคนที่หัวหน้าไม่ถูกชะตาด้วย เขาก็จะเป็นประมาณนี้…”

 

ในขณะที่ทุกคนเงียบกริยอย่างหมดคำพูด และรู้สึกไร้อำนาจ—-

 

“จี๊ด!” หนูกลับมาอีกครั้ง มีกระดาษอีกแผ่นคาบอยู่ในปากของมัน

 

 

Apocalypse Meltdown

Apocalypse Meltdown

มันเป็นโลกที่ซอมบี้และมนุษย์อาศัยอยู่ด้วยความสิ้นหวัง สนามแม่เหล็กของโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงและทุกอย่างได้ย้อนกลับมายังจุดเริ่มต้น วันหนึ่ง วีรบุรุษของพวกเรา…ชูฮัน ได้เดินทางย้อนเวลากลับมาสิบปีก่อนโดยไม่รู้ตัว เขาได้ย้อนกลับมาก่อนจุดจบของโลกจะเริ่มต้นขึ้น (โลกาวินาศ) เขาถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยเสียงดังในหอพักในมหาวิทยาลัยหมิงชิว ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาได้กลับชาติมาเกิดใหม่ ชูฮันต่อสู้กับเหล่าซอมบี้นับสิบๆตัวก่อนจะมุ่งหน้าไปที่ลานจอดรถเพื่อขโมยรถยนต์เมอร์ซิเดซ-เบนซ์G55ออกมา เขาตัดสินใจที่จะตามหาพ่อแม่และพี่น้องของเขาด้วยG55คันนี้ ซึ่งนี้เป็นสิ่งที่เขาเสียใจที่ไม่ได้ทำในชาติที่แล้ว ระหว่างทางชูฮันได้พบปะกับคนกลุ่มหนึ่งที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นมีคนที่ติดอันดับ 20 ของโลกาวินาศรวมอยู่ด้วย…เฉินช่าวเย่ พวกเขาพบกับซอมบี้จำนวนมากระหว่างทางบนทางหลวง ซึ่งชูฮันได้ใช้รถ G55 พุ่งชนเหล่าซอมบี้จนเละ และในตอนนั้นเอง ชูฮันถึงตระหนักได้ว่าทั้งหมดนี้คือระบบล่มสลาย และเขาสามารถได้คะแนนจากการฆ่าซอมบี้ทั้งหลาย ซึ่งเขาสามารถเอาคะแนนพวกนี้ไปแลกเปลี่ยนเป็นความสามารถพิเศษอะไรก็ได้ และในตอนนั้นเอง การเดินทางของชูฮันก็ได้เริ่มต้นขึ้นไปพร้อมๆกับระบบล่มสลาย นี่เป็นเรื่องราวของระบบล่มสลาย โดยมีเขา…ชูฮัน เป็นคนดำเนินเรื่องราว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset