เล่ม 10 ตอนที่ 7 : หายนะของเผ่าแกลกิ้น (3)
สภาพตอนนี้เกิดเสียงร้องครางดังทั่วทั้งบริเวณ แมลงสาบบางตัวก็มีของเหลวไหลออกจากแขนและขา บางตัวก็กำลังอาเจียนออก ช่างเป็นโรคร้ายที่น่าหวาดหวั่นสำหรับชาวแกลกิ้น และเรื่องนี้ก็ทำเอาลาริเอ็ตเต้หน้าซีดเผือด เธอหลบอยู่หลังอาร์คด้วยอาการหวาดกลัว เมื่อเขาเดินถึงภายในแคมป์ แกลกิ้นจึงร้องไห้ออกทั้งน้ำตา
“ปู่ทวด ย่าทวด ปู่ ป้า ลุง พี่น้องทั้งหลาย…!”
แมลงสาบทุกตัวล้วนเป็นเครือญาติของรีด ใช่แล้ว แมลงสาบมักออกลูกทีละจำนวนมาก
“โอ้ ลูกชายข้า!”
รีดวิ่งเข้าหาครอบครัว
“พะ-พ่อ เจ็บนะ”
“โอ้? ไม่ต้องกังวลไป เชื่อมั่นในบิดาเจ้า ข้าพบเจอคนที่จะช่วยเหลือพวกเราได้แล้ว คนเหล่านี้จะต้องทำให้พวกเราอาการดีขึ้นแน่นอน”
อาร์คมองรีดด้วยสีหน้าโง่งมไม่รู้จะแสดงออกอย่างไร
…อีกฝ่ายมีภรรยาและลูกแล้ว? จะยังไงก็ตาม ภรรยาของรีด… ก็เป็นแมลงสาบอยู่ดี เธอกำลังลุกขึ้นยืน
“ดะ-ได้โปรด กับข้าล้วนไม่เป็นไร แต่ลูกของข้า…”
“พูดอะไรน่ะ? เธอก็อย่ายอมแพ้สิ!”
รีดวิ่งเข้าหาขณะสวมกอดเธอเอาไว้
“ชีวิตล้วนมีค่าหากอยู่ต่อได้จงอยู่ อย่าได้คิดยอมแพ้จนถึงท้ายที่สุด!”
“ที่รัก…”
อา ช่างเป็นภาพฉากดราม่ายิ่งนัก หากนักแสดงที่เห็นในสายตาไม่ใช่แมลงสาบน่ะนะ
‘ในความเป็นจริง เราฆ่าแมลงสาบยกครัวแทบทุกวัน และพวกมันก็เพิ่มจำนวนขึ้นทุกวัน… เอาเถอะ มันไม่เกี่ยวกันหรอก แต่ว่า…’
อาร์คกำลังคิดว่านี่คือภารกิจอย่างหนึ่ง
“อย่าได้ห่วงครับ ไม่ช้าต้องสุขภาพกลับคืนเป็นดีแน่นอน”
“โอ้ อาร์ค อาร์ค! ได้โปรดเถอะ”
รีดคุกเข่าขณะร้องขอต่ออาร์ค
“จะยังไงนี่ก็ภารกิจของผมนี่นะ”
อาร์คหันมองลาริเอ็ตเต้อย่างรวดเร็วระหว่างพูดคุย ที่จริง งานครั้งนี้ไม่มีอะไรที่อาร์คทำได้ด้วยซ้ำ อาร์คทำได้เพียงแค่ใช้ทักษะเยียวยาก็เท่านั้น แต่ทักษะเยียวยาก็ทำได้เพียงแค่ปฐมพยาบาลขั้นต้น มันเป็นไปได้แค่ว่าจะยืดชีวิตเอาไว้แต่ไม่อาจรักษาอาการเจ็บป่วย อีกทางหนึ่ง อัศวินพิสุทธิ์มีความสามารถ ‘รักษาโรค’ ซึ่งเป็นเวทมนตร์โดยตรงเอาไว้รักษาอาการเจ็บป่วย ลาริเอ็ตเต้ดูหวาดกลัวเล็กน้อยก่อนที่จะยื่นมือออกไปร่ายคาถา
“เทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ ได้โปรดปัดเป่าอาการเจ็บป่วยภายในร่าง รักษาโรคภัย!”
ร่างกายของแมลงสาบเริ่มถูกปกคลุมอยู่ภายในแสงสว่างสีขาว
‘หึหึหึ เรียบร้อย จะได้รางวัลอะไรกันนะ?’
อาร์คกำลังยินดีภายใน ขณะนั้นรีดพลันกระดิกเสาสัญญาณบนศีรษะขณะกล่าวว่า
“อะไรกัน? ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยนี่”
“ใช่ครับ โรค… หือ? ว่าอะไรนะ?”
“ดูด้วยตาของเจ้า ข้าไม่ทราบว่าเจ้าทำอะไร แต่มันไม่ได้ผล”
แมลงสาบเพศหญิงยังคงไม่มีอาการดีขึ้นแต่อย่างใด ร่างกายยังคงเป็นเช่นเดิม ไม่มีสัญญาณเลยว่าสุขภาพจะฟื้นคืนกลับ ลาริเอ็ตเต้ก็เผยอาการสับสนเช่นกัน
“มะ-มันน่าจะสำเร็จนี่นา… หรือนี่เป็นคำสาป? ถอนคำสาป!”
แต่ผลลัพธ์ยังคงเดิม เธอพยายามใช้ทั้ง รักษาโรค ถอนคำสาป กระทั่งบัพทั้งหลายแต่แล้วก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกัน อาการคล้ายยิ่งแย่ลงขณะพวกเขาเริ่มหอบหายใจ อาร์คเริ่มตึงเครียดขณะพยายามใช้ทักษะเยียวยา
“พละกำลังของท่านยังคงมี ชาวแกลกิ้นแห่งโลกใต้พิภพจะจบสิ้นโดยง่ายเช่นนี้หรือ? ท่านไม่อาจล้มลงในสถานที่เช่นนี้เพียงเพราะโรคภัยได้!”
‘เยียวยา’ ส่งผล สีหน้าของชาวแมลงสาบคล้ายดูดีขึ้นมาบ้าง เมื่อลาริเอ็ตเต้ใช้เวทมนตร์ฟื้นฟูในสภาพนี้ พลังชีวิตของพวกเขาที่หล่นลงเหลือก้นหลอดพลันเพิ่มพูนขึ้น ทว่าก็ได้เพียงเท่านั้น ด้วยการผสมผสานของทักษะเยียวยาและเวทมนตร์ฟื้นฟูทำได้เพียงแค่ชะลอโรคภัยแต่ไม่อาจทำอะไรมากกว่านั้นได้
‘นี่เรื่องบ้าอะไรเนี่ย? พวกนี้ป่วย แต่แล้วทำไมการใช้ทักษะรักษาโรคถึงไม่ได้ผลล่ะ?’
ผ่านไปพักหนึ่ง อาร์คและลาริเอ็ตเต้เริ่มเดินไปรอบสถานที่ตั้งแคมป์และฟื้นฟูพลังชีวิตโดยทักษะเยียวยากับเวทมนตร์ฟื้นฟู ทว่าความเป็นจริงที่ชาวแมลงสาบยังคงเจ็บป่วยนั้นไม่อาจหลุดพ้น พวกเขามีจำนวนมากเกินไป กว่าจะช่วยฟื้นฟูพลังชีวิตให้ชาวแมลงสาบครบก็ผ่านไปแล้วหนึ่งชั่วโมง สถานการณ์วิกฤตคงสภาพอยู่ได้พักหนึ่ง ถ้าหากอาร์คใช้ทักษะเยียวยาย้ำอยู่เรื่อย ๆ แบบนั้นพวกเขาก็ไม่น่าจะตาย แต่นั่นเป็นวิธีแก้ปัญหาชั่วคราวเท่านั้นเอง
“เอายังไงดีคะ?”
ลาริเอ็ตเต้เริ่มกวาดตามอง เธอส่ายศีรษะให้ขณะถอนหายใจ
“บางทีอาจเป็นเพราะทักษะของฉันแค่ขั้นต้น ทักษะอย่าง รักษาโรค และ ถอนคำสาป ไม่ใช่อะไรที่ใช้บ่อยครั้ง แถมตอนนี้ก็ไม่มีแต้มทักษะเหลืออยู่แล้วด้วย…”
เธอเบนสายตามองอาร์ค อาร์คก็คิดไม่ออกว่าควรทำอย่างไรดี ถ้าหากเขาใช้ทักษะเยียวยา แบบนั้นก็จะพอช่วยคงสภาพอาการป่วยไปได้พักหนึ่ง แต่เขาไม่อาจอยู่ที่นี่เพื่อคอยยื้อชีวิตชาวแมลงสาบไปตลอดกาลได้ กระทั่งว่าเขาอยู่จนกระทั่งทักษะรักษาโรคของลาริเอ็ตเต้เลื่อนขึ้นเป็นขั้นกลาง ก็ไม่ใช่ว่ามันจะกลายเป็นการลงทุนด้านเวลาสำหรับภารกิจนี้มากเกินไปหรือ
‘คงต้องยอมปล่อยภารกิจนี้ไปแล้ว’
อาร์คถอนหายใจขณะส่ายศีรษะให้
“ผมต้องขออภัย แต่พวกเราทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
“อา อาร์ค! ได้โปรดอย่าเพิ่ง อีกนิดเดียว อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น! มันต้องมีหนทางอยู่ เจ้าเข้าใจใช่ไหม? ข้าไม่มีเวลาพอจะไปขอให้คนอื่นช่วยเหลือแล้ว หากเจ้ายอมแพ้ ครอบครัวของข้าทั้งหมดจะตาย จะอะไรก็ได้ ข้าจะทำให้เจ้า แต่ได้โปรดอย่าเพิ่งยอมแพ้!”
รีดร่ำร้องออกมาขณะขอร้อง ทางด้านอาร์คก็พยายามทุกอย่างแล้ว และเขาเองก็คิดอยากสำเร็จภารกิจเช่นกัน แต่ไม่ใช่ว่าเขาเพิ่งเสียเวลาหลักชั่วโมงไปกับการเยียวยาหรือไร? แต่แล้วตอนนี้จะให้เขาทำอะไรได้อีก? อาร์คเริ่มรำคาญขณะร้องบอกออกมา
“พอเถอะครับ ไม่เห็นเหรอว่ามันไม่มีทางแก้ปัญหาได้?”
และขณะนั้นเอง
เขารู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาทั่วทั้งร่างกายขณะนั่งลง
‘อะไรกัน? ความรู้สึกนี้มัน…?’
มันเป็นความรู้สึกที่อาร์คบอกไม่ถูก ทำไมเขาถึงรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาขนาดนี้กัน? ขณะอาร์คมองรีด เขาพลันนึกย้อนไปถึงความทรงจำวูบหนึ่ง เขาตระหนักได้แล้วว่าทำไมถึงรู้สึกไม่สบายใจ มันเป็นเพราะเขานึกย้อนถึงเหตุการณ์ในอดีต!
[พวกเราทำอย่างสุดความสามารถแล้วครับ]
[ไม่มีอะไรที่พวกเราทำได้มากกว่านี้แล้ว]
[ทางที่ดีเตรียมใจไว้กรณีที่ไม่ดีขึ้นด้วย]
เสียงนี้ฟาดดังเหมือนฟ้าคำรามร้องลั่นในศีรษะของเขา ถูกต้อง ถ้อยคำเหล่านี้เป็นอาร์คเคยได้ยินจากปากของคนอื่นมาก่อน หมอที่บอกกล่าวถึงอาการแม่ของเขาครั้งยังรักษาตัวในห้องไอซียู มันก็เหมือนครั้งนี้ พวกเขาต่างบอกกล่าวคำเหล่านั้นออกมา ใบหน้าของพวกเขาไม่มีทีท่าของความเสียใจหรือเวทนาขณะมองและบอกกล่าวกับอาร์ค สิ่งที่พวกเขาต้องการคือเงิน อื่นใดล้วนไม่ใช่ความรับผิดชอบ… พวกเขาดูไปคล้ายกับไม่สนใจเรื่องราวขณะพูดกล่าวคำเหล่านั้นถึงความเป็นความตายอย่างง่ายดาย
หมอพวกนั้นจะเคยคิดบ้างไหมว่าคำพูดเหล่านั้นเคยทำให้อาร์คสิ้นหวังเพียงใด? ความสิ้นหวังที่เคยเกิดมันก็จะคงอยู่ตลอดไป เปรียบดั่งมีดเย็นเยียบที่พร้อมทิ่มแทงหัวใจของเขา เขารู้สึกว่าบางครั้งกลับต้องตื่นขึ้นจากฝันร้ายจากเหตุการณ์ครั้งนั้น เมื่อแม่อาการดีขึ้น เขาจึงลืมเลือนไปว่าเหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิด แต่แล้วตอนนี้มันกลับลุกโชนขึ้นภายในใจของเขาอีกครั้งหนึ่ง
‘แต่ว่าตอนนี้…’
เป็นเขาเองที่กำลังพูดกล่าวด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเช่นเดียวกันกับหมอเหล่านั้น ดวงตาของเขาเผยซึ่งความไม่แยแสต่อชีวิตของชาวแกลกิ้น มีเพียงความรู้สึกเสียดายต่อภารกิจเท่านั้นที่ไม่อาจทำสำเร็จ เขาเพียงพูดกล่าวออกไปอย่างง่ายดายถึงเรื่องความตายยกครอบครัวต่อหน้ารีด
อาร์คกลายเป็นจมปรักกับความย้อนแย้งในตัวเอง ไม่ว่าจะในเกมหรือว่าเป็นจริง มันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว
‘สิ่งสำคัญคือ… เรารู้ถึงความเจ็บปวดเช่นนี้ดี… ไม่เท่านั้น เรายังกล้าพูดถ้อยคำเหล่านั้นออกไปอีก เป็นเราเอง ไม่ใช่ใครอื่น…’
ขณะนั้นเอง ลาริเอ็ตเต้ได้พูดกล่าวกับรีดด้วยเสียงที่เจือปนมาพร้อมน้ำตา
“ท่านก็ทราบ อาร์คนิมพยายามที่สุดแล้ว แต่พวกเราทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้”
อาร์คพลันขัดคำขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เบายิ่ง
“มันยังไม่จบ…”
“คะ? อาร์คนิม?”
“ผม… ยังไม่ได้พยายามให้ถึงที่สุด”
“พูดเรื่องอะไรกันคะ?”
อาร์คคุกเข่าลงด้านข้างรีดขณะยื่นมือออกไป
“ถูกต้องแล้ว คุณพูดได้ถูกต้องแล้วครับรีด เป็นผมยังไม่พยายามให้ถึงที่สุดเอง กล่าวตามตรง ผมไม่อาจให้คำมั่นสัญญาได้ว่าจะรักษาโรคร้ายนี้ได้หรือไม่ ผมไม่ทราบว่าผมจะทำได้ดีแค่ไหน แต่ผมสัญญา ผมจะไม่ยอมท้อถอย พวกเราจะร่วมมือกัน”
ถูกต้อง ถ้อยคำเหล่านี้แหละ! พวกมันเป็นถ้อยคำที่อาร์คอยากได้ยินตอนที่อยู่หน้าห้องไอซียู ความเสี่ยงอันตราย เขาต้องเตรียมใจเผื่อไว้… อาร์คไม่คิดอยากได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นเลยสักนิด
เขายืนอยู่หน้าประตูห้องไอซียูตลอดทั้งคืนเพื่อรอคอยเสียงหนึ่ง… เขาเพียงแค่อยากได้ยินถ้อยคำที่กล่าวออกจากใจ จะใครก็ได้ กระทั่งว่าไม่ใช่ศัลยแพทย์ จะเป็นคนที่กำลังฝึกหัดงานหรืออะไรก็ได้ เขาเพียงแค่อยากให้ใครสักคนสนใจแม่เขาบ้าง ถ้าหากเป็นแบบนั้น… อาร์คคงไม่คิดว่าโรงพยาบาลเป็นสถานที่สำหรับสูบเงินทองอย่างแน่นอน
“อา แต่ว่า อาร์คนิมคะ…”
อาร์คตอบรับด้วยน้ำเสียงมาดมั่น
“ผมต้องขออภัย ผมทราบดีว่าลาริเอ็ตเต้นิมไม่สบายใจ แต่ผมจะไม่ทอดทิ้งพวกเขา ผมจะจับมือพวกเขาต่อไปกระทั่งว่ากลายเป็นร่างไร้วิญญาณแล้วก็ตาม”
ลาริเอ็ตเต้กลายเป็นงงงันกับท่าทีเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ของอาร์ค ทว่าเธอกลับเผยรอยยิ้มให้หลังผ่านการคิดครู่หนึ่งและพยักหน้ารับคำ
“แล้วฉัน… ต้องทำอะไรบ้างคะ?”
“แม้จะไม่ได้ผล แต่ก็ใช้การรักษาโรคต่อไปครับ ถ้าหากเป็นความจริงที่ทักษะรักษาโรคอยู่ในระดับต่ำเกินไป งั้นก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเพิ่มศักยภาพมันให้สูงขึ้น ผมจะคอยใช้ทักษะเยียวยาต่อไปขณะสืบหาถึงวิธีการอื่น”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
ด้วยเหตุนี้ การต่อสู้กับโรคร้ายอันแสนทรหดจึงเริ่มต้นขึ้น