ตอนที่ 350 : ส่งเงินมา! (3)
‘โห? แบบนี้ก็ได้ด้วยเหรอเนี่ย?’
ก็เหมือนกับทักษะอื่น ทักษะข่มขู่ไม่ได้เพิ่มขึ้นอีกเลยตั้งแต่ที่มีแต้ม 299 หน่วย ตอนขั้นกลางนั้นสามารถเลื่อนขึ้นได้ง่ายดาย แต่การจะเป็นขั้นสูงต้องผ่านเหตุการณ์หรือกระบวนการพิเศษเสียก่อน การข่มขู่เพื่อบีบบังคับให้ฝ่ายตรงข้ามเห็นด้วยนั้นก็ช่วยเพิ่มแต้มให้ไม่น้อย เพราะเหตุการณ์ข่มขู่คณะผู้อาวุโสเผ่าบารัน ทักษะข่มขู่ของเขาจึงเลื่อนขึ้นเป็นขั้นสูง อีกทั้งยังได้รับโบนัสเป็นค่าสถานะความดึงดูด นับว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว
ถึงตอนนี้ จัสติสแมนและกลุ่มทัณฑ์บนคล้ายเพิ่งตระหนักถึงความตั้งใจของอาร์คได้
“อาร์ค พวกเรารู้ว่านายเป็นคนจิตใจดี เพราะงั้นหยุดเรื่องราวตรงนี้ก่อน”
“ใช่ พวกเขาเพียงแค่ทดสอบเราเท่านั้น”
“ตอนนี้พวกเขาพร้อมช่วยอย่างเต็มที่แล้ว”
“เข้าใจแล้วครับ”
อาร์คเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่มลง แต่เขายังไม่ลืมเลือนเอ่ยคําพูดส่งท้ายให้เหล่าผู้อาวุโส
“ผมขอดูให้เห็นกับตาก่อนก็แล้วกัน”
ด้วยเหตุนี้ การประชุมจึงดําเนินต่อไปได้หลังอาร์คเผยความจริงใจ(?)เข้าเกลี้ยกล่อม มือสังหารต่างรายล้อมผู้อาวุโสขณะการประชุมดําเนินไป ชาวบารันและสมาคมแห่งความมืดตอนนี้ได้ก่อตั้งขึ้นเป็นทัพพันธมิตร อาร์คเข้ารับหน้าที่ผู้บัญชาการ แน่นอนว่าเขาตัดสินใจใช้ระบบเสียงข้างมากก็จริง แต่อาร์คที่แสดงความโหดเหี้ยมไปก่อนหน้านี้ก็ไม่ต่างจากเขาเป็นทรราชผู้เผด็จการแต่อย่างใด
“ผมเข้าใจสถานการณ์ของทั้งสองฝั่งเป็นอย่างดี เพราะงั้นผมจะรับหน้าที่บัญชาการกองทหารในตอนนี้ให้”
“รับทราบ!”
“เหมือนที่พวกผู้อาวุโสกล่าวไว้ก่อนหน้า พวกเราไม่มีความได้เปรียบแต่อย่างใดหากปะทะกับพวกนาคูจักในสภาพตอนนี้ เผ่านาคูจักจะเข้ายึดครองพื้นที่ทางตะวันออกก็ปล่อยให้พวกมันยึดไป พวกเราตอนนี้ต้องเสริมความแกร่ง”
“รับทราบ!”
“โอ้ ก่อนหน้านั้น ผมต้องไปพักสักหน่อย…”
“รับทราบ!”
พลังอํานาจบัญชาการของอาร์คในเต็นท์ตอนนี้ไม่ต่างจากฮิตเลอร์แต่อย่างใด พวกเขาล้วนเห็นดีเห็นงามกับอาร์คไปทั้งหมด กระทั่งว่าอาร์คเสนอให้นําเอามูลสัตว์มาเป็นอาหารเย็นพวกเขาก็คงเห็นดีเห็นงามไปด้วย
‘หึหึหึ นี่ก็ผลของการข่มขู่ขั้นสินะ? แต่เราก็ควรต้องมีขอบเขต’
“เพื่อให้การติดต่อระหว่างเผ่าเป็นไปอย่างสะดวก ผู้อาวุโสควรอยู่ที่นี่จนกว่าการต่อสู้จะจบลง แม้ผู้อาวุโสอยู่แนวหน้าจะช่วยให้ขวัญกําลังใจเพิ่มขึ้น แต่ไม่ต้องห่วง ต่อให้อยู่ที่นี่พวกเขาก็ยังคิดปกป้องพวกผู้อาวุโสด้วยชีวิตอยู่ดี”
ใบหน้าของพวกผู้อาวุโสดํามืดเพราะคําพูดของอาร์ค นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องอยู่ที่นี่เป็นตัวประกันจนกว่าการต่อสู้จะจบลง แชมบาร่าและกลุ่มทัณฑ์บนต่างเงียบปากขณะอาร์คกระจายงาน อาร์คคล้ายนึกขึ้นได้ก่อนจะส่งข้อความหาแชมบาร่าผ่านเสียงกระซิบ
[หึหึหึ วิเศษไปเลยใช่ไหม? จงนับถือฉันเสียสิ]
[เอ่อ… ฉันไม่ขอพูดอะไรแล้วกัน]
ด้วยเหตุนี้ ชาวบารันจึงเร่งเตรียมการตามที่อาร์คสั่งอย่างเห็นดีงามด้วยทุกประการ
***
ฮยอนอูกําลังมองแพทย์ผู้ให้การรักษาด้วยสีหน้ากังวล แม่ของเขาได้รับการตรวจร่างกายเมื่อสามวันก่อน ผู้ป่วยที่มีอาการซับซ้อนอย่างแม่ของเขาต้องได้รับการตรวจร่างกายทุกสองเดือน เป็นเพราะการสอบถามอาการผู้ป่วยนั้นวินิจฉัยอาการได้อย่างจํากัด ผู้ป่วยที่กําลังพักฟื้นอยู่ในห้องไอซียู บ่อยครั้งจะมีปัญหาภายในจนต้องได้รับการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ ถ้าหากมีอาการอะไรจะได้มีการปรับเปลี่ยนวิธีการรักษาอย่างทันท่วงที หรือไม่ก็ต้องเข้ารับการผ่าตัดอีกครั้ง
“โชคยังดี นี่ก็ผ่านมาแล้วหนึ่งปี…”
ตั้งแต่สองหรือสามปีก่อน สุขภาพของแม่เขานั้นก็ดีขึ้นอย่างกะทันหันจนผิดหูผิดตา มันอาจเป็นสัญญาณบางอย่าง เขาอดคิดเช่นนั้นไม่ได้จริง ๆ ทุกครั้งที่ฮยอนอูมารับผลการตรวจร่างกาย เขาก็อดไม่ได้ที่เผยความกังวลออก
“ไม่เป็นไร ทุกวันนี้อาการของแม่ดีขึ้นมากแล้ว มันต้องดีขึ้น”
ฮยอนอูทาบมือกับหน้าอกขณะผ่อนลมหายใจและภาวนาไปด้วย
“ผู้ป่วยหมายเลข 809 คุณปาร์คโซมี…”
คุณหมอพูดเสียงเบาขณะอ่านรายงานที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ หากเทียบกับครั้งก่อนหน้าถือว่าอ่านนานกว่า หรือผลจะออกมามีอะไรที่แย่ลง? ฮยอนอูจ้องมองหน้าจอนั้นด้วยความว้าวุ่นใจ อย่างไรแล้วเขาไม่อาจเข้าใจศัพท์แสงทางการแพทย์ได้ คุณหมอจึงต้องอ่านและใช้วิธีการพูดคุยโดยให้ผู้ป่วยหรือญาติเข้าใจโดยง่าย ‘เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย’ คําพวกนี้คล้ายทําให้คนไข้เข้าใจได้ง่ายดายยิ่งกว่าสิ่งใด
“ฮยอนอูชี่?”
ฮยอนอูคล้ายโดนรบกวนขณะเคร่งเครียดกับความคิดตัวเอง คุณหมอหันเก้าอี้กลับมามองหน้าฮยอนอู
“ครับ?”
ฮยอนอูตอบรับด้วยความตึงเครียด แต่แล้วคุณหมอกลับยิ้มให้
“ดูจากผลการตรวจ แม่ของคุณอาการดีขึ้นรวดเร็วมาก”
“จะ-จริงเหรอครับ?”
“ใช่ครับ หลังตรวจสอบประวัติย้อนหลังหกเดือน ผมคิดว่าคุณแม่ของคุณเข้าช่วงฟื้นตัวแล้ว ผลการเอ็กซเรย์ MRI หรือว่าผลเลือด ทุกอย่างล้วนปกติ อาจจะเร็วเกินไปที่จะบอกว่าหายดีแล้ว แต่เท่านี้นับว่าเป็นความหวังได้มากเลยทีเดียวครับ”
“ขอบคุณครับ ขอบคุณมากครับ!”
ฮยอนอูคว้ามือคุณหมอเอาไว้ขณะโค้งกายให้ คล้ายดอกไม้ไฟปะทุขึ้นกลางความคิดที่ดํามืดมาตลอดช่วงหลายปี นี่ก็ห้าปีแล้ว…และกําลังจะเข้าสู่ปีที่หก เขายังจดจําได้ดีถึงวันแรกที่พบแม่นอนอยู่ในห้องไอซียู แม่ของเขาไม่อาจกระทั่งกระดิกนิ้วด้วยตัวเองได้ กระทั่งกระพริบตาส่งสัญญาณอะไรก็ไม่อาจ ฮยอนอูไม่เคยคิดเลยว่าแม่จะอาการดีขึ้นถึงขนาดนี้ได้ เขาแทบขอบคุณทุกสรรพสิ่งที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ ตั้งแต่หกปีก่อน มันคล้ายเป็นช่วงเวลาไม่นานนัก แต่กลับยาวนานอย่างเหลือเชื่อ กี่ครั้งที่เขาต้องสิ้นหวังและเจ็บปวดในช่วงเวลาเหล่านั้นที่ผ่านมา?
แต่ตอนนี้คุณหมอออกปากเองว่ามีความหวังค่อนข้างเด่นชัด ตามปกติแล้วฮยอนอูจะไม่ค่อยชอบหมอเหล่านี้สักเท่าไหร่ แต่สําหรับโรงพยาบาล หมอก็เหมือนกับพระเจ้า คําพูดของหมอที่จะบอกต่อคนไข้หรือญาติไม่ต่างอะไรกับการบอกให้ไปสวรรค์หรือนรก เมื่อหมอกล่าวคําไปแนวทางที่ดีฮยอนอูก็รู้สึกไม่ต่างอะไรกับได้ขึ้นสวรรค์ หมอในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับพระพุทธเจ้าหรือพระเจ้าเลยด้วยซ้ำ
“ทั้งหมดนี้ก็เพราะคนไข้และญาติแหละนะครับ”
ฮยอนอูรู้สึกดีขึ้นมากเมื่อได้รับผลการรักษาที่ค่อนข้างดีเยี่ยมเช่นนี้ ดังนั้นแล้วคุณหมอจึงกล่าวเสียงกระจ่างให้กําลังใจ
“คิดว่าอีกไม่นานคุณแม่ของคุณน่าจะได้ย้ายไปเป็นผู้ป่วยนอกได้แล้วนะครับ”
“ผู้ป่วยนอก?”
“ใช่ครับ อาการพวกเรายังคงต้องดูกันต่อไป และถ้าหากผลการตรวจในอีกสองเดือนถัดไปออกมาดี แบบนั้นทางเราจะได้ทําเรื่องย้ายให้เป็นผู้ป่วยนอกได้ อันที่จริงการอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดเป็นเรื่องดี แต่หากใช้เวลารักษาพยาบาลนานเกินไปก็อาจจะทําให้ท้อถอยได้ การเปลี่ยนสภาพแวดล้อมนั้นบ่อยครั้งก็ช่วยเหลือคนไข้ได้มากกว่าที่คิด ผมหวังว่าคุณปาร์คโซมีจะคิดเห็นเช่นเดียวกัน”
“คุณแม่ของคุณเองก็คิดช่วยลดภาระค่ารักษาพยาบาลครับ เพราะงั้นแล้วหมอเลยอยากแนะนําให้เธอย้ายเป็นผู้ป่วยนอกจะดีกว่า”
ถ้าหากแม่ของเขาอาการดีขึ้นสม่ำเสมอในการตรวจร่างกายครั้งถัดไปในอีกสองเดือน แบบนั้นจะสามารถย้ายไปเป็นผู้ป่วยนอกได้ ฮยอนอูรู้สึกคล้ายภายในศีรษะเต็มไปด้วยอารมณ์ความยินดี เขาจะได้ใช้ชีวิตกับแม่อีกครั้งหนึ่ง! นานแค่ไหนกันที่เขารอคอยโอกาสนี้? ฮยอนอูออกไปจากห้องทํางานของคุณหมอด้วยความเริงร่า
“แม่ ฟังผมอยู่หรือเปล่า? อีกสองเดือนจะได้ย้ายไปเป็นผู้ป่วยนอกแล้วนะครับ”
“ใช่จ้ะ แม่เพิ่งได้ยินเมื่อกี้เอง”
แม่ของเขาหัวเราะออกขณะชี้ไปยังนางพยาบาลที่กําลังถือเข็มฉีดยา
“ถ้าเป็นแบบนั้น…”
ฮยอนอูรู้สึกคล้ายหัวใจเต้นถี่รัวเพราะคําพูดของแม่
“พูดอะไรกันครับ? ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วสิ แม้แต่คุณหมอยังค่อนข้างมั่นใจมากเลยนะครับ หรือแม่คิดว่าอยู่โรงพยาบาลดีกว่าอยู่กับผมกัน?”
“โธ่ลูก อย่าพูดแบบนั้นสิ”
“อย่าคิดว่าแม่อ่อนแอสิครับ ไม่งั้นผมโกรธจริง ๆ นะ”
ฮยอนอูทําตัวคล้ายกลับไปเป็นเด็กอายุสามขวบ เขาที่สามารถต่อสู้กับอันธพาลและเกลี้ยกล่อมเอ็นพีซีในนิวเวิลด์ด้วยความหยาบกระด้าง ตอนนี้ฮยอนอูทําตัวคล้ายเด็กขี้อ้อนต่อหน้าแม่ของตนเอง ไม่สิ ไม่ใช่แค่คล้าย แต่เขาคิดอยากเรียกเวลาที่สูญไปกลับคืน
“ก็ได้ แม่เข้าใจแล้วจ้ะ”
แม่ของเขาหัวเราะและพยักหน้ารับรู้ หน้าอกของฮยอนอูแทบกระเพื่อมเพราะแรงสูดหายใจขณะที่แม่หัวเราะอย่างเริงร่า พลังงานความสุขตอนนี้คล้ายล้นทะลักจนแทบจะระเบิดออกมาได้! มันเหมือนกับหัวใจของเขาพร้อมที่จะระเบิดออกได้ทุกเมื่อเลยทีเดียว
“อะไรดีนะ? แม่ครับ อยากได้อะไรบ้างไหม? ไม่สิ ผม หมายถึงก่อนจะได้เป็นผู้ป่วยนอกแม่ต้องการอะไรไหมครับ? ใช่ เสื้อผ้าใหม่! เสื้อผ้า ไว้ผมจะไปซื้อมาให้แม่ลองใส่ดูนะครับ”
“เดี๋ยวสิลูก… ที่บ้านก็ยังมีเสื้อเก่าอยู่หลายตัวนี่นา”
“เสื้อผ้าพวกนั้นมันตกยุคแล้วครับแม่”
“ไม่เป็นไรหรอก เห็นแม่เป็นคนใส่ใจแฟชั่นขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“เพราะงั้นแหละผมถึงอยากซื้อไงครับ”
ฮยอนอูคล้ายโดนความเศร้าภายในจุกอยู่ในลําคอ แม่ของเขาเข้ารับการรักษาพยาบาลมานานมาก อาศัยอยู่ในห้องห้องหนึ่งมาหลายปี เขาจึงไปอาศัยอยู่ที่อพาร์ท เม้นท์หนึ่งห้องนอนเพราะไม่อยากสิ้นเปลือง ดังนั้นแล้ว เขาจึงขายของใช้ไม่จําเป็นแทบทั้งหมดหรือไม่ก็บริจาค และตอนที่ฮยอนอูกําลังจัดการเคลียร์เสื้อผ้าของแม่ เขาพลันตระหนักขึ้นมาได้
“พวกนี้คือเสื้อผ้าของแม่?”
พวกมันดูคุ้นเคยแต่ก็เหมือนเขาไม่เคยเห็นพวกมัน… ฮยอนอูเริ่มสนใจเสื้อผ้าที่แม่ใส่ เพราะแม่ของเขา…ไม่เคยใส่ใจเลยว่าจะใส่เสื้อผ้าอะไรหรือว่าต้องกินอะไร… ส่วนใหญ่แล้วมักจะให้ฮยอนอูแทบทั้งหมด ขณะนั้นเองน้ำตาของเขาจึงหลั่งออกขณะมองเสื้อของแม่ พวกมันคือเสื้อที่แม่ซื้อจากตลาด มีรอยเย็บและปะอยู่หลายแห่งแทนที่จะซื้อใหม่เพราะขาดหลายที่ เขาควรเดินตามรอยเท้านี้ เสื้อผ้าของพ่อเขาก็เช่นเดียวกัน สีค่อนข้างซีดจางคล้ายใช้งานมาแล้วนับสิบปี
..พ่อแม่ของเขาสวมใส่เสื้อผ้าเช่นนี้ แต่เขากลับให้บุตรชายสวมใส่กางเกงยีนส์ราคาแพง แถมยังถามแทบทุกเดือนว่าอยากได้เสื้อผ้าอะไรใหม่บ้างไหม ในขณะที่พวกเขาสวมใส่แต่เสื้อผ้าเช่นนี้ตลอดมา เขาไม่เคยทราบเลย แม้จะบอกว่ารัก แต่เขากลับไม่เคยตระหนักเลยว่าความรักที่พ่อกับแม่มี ให้เขาจนกระทั่งถึงอายุสิบแปดนั้นมากเพียงใด ลูกชายนิสัยเสียของพวกเขาคนนี้กลับไม่เคยสนใจสิ่งล้ำค่าใกล้ตัวเลย จนกระทั่งอายุสิบแปด ไม่สิ เขาไม่เคยคิดทําความเข้าใจเลยต่างหาก
เราจะไม่ทําพลาดแบบเดิมอีก