ตอนที่ 1963 มหาลักษณ์ไร้รูป ขุ่นมัวดั่งหนึ่ง
ไอแรกกำเนิดอบอวล ฟ้าดินแห่งนี้เงียบเชียบไร้เสียง
พลังมหามรรคอุบัติขึ้นตรงหน้าหลินสวินช้าๆ ประหนึ่งความขุ่นมัวแรกกำเนิด ไม่อาจบ่งบอกลักษณะได้ กฎเกณฑ์พร่ามัวถักทอกันอยู่ในนั้น แผ่วลอยไหลเวียน
บางคราวควบรวมเป็นเตาหลอม มีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่บรรจุหมื่นมรรค มีอานุภาพกำราบอดีตปัจจุบันและอนาคต
บางคราวแปรสภาพเป็นหุบเหว ความลึกของมันไร้สิ้นสุด ความใหญ่ของมันเหลือประมาณ ประหนึ่งกลืนกินห้วงอากาศสิบทิศไปสิ้น
บางครั้งปรากฏการณ์ประหลาดทั้งหมดก็กลับคืนสู่ความขุ่นมัวอีกครั้ง
มรรควิถีทั้งตัวหลินสวินก็วิวัฒน์เป็นวงจรเช่นนี้ หล่อหลอมและควบรวมอย่างต่อเนื่อง…
เขตแดนมรรค เป็นเขตแดนที่ควบรวมขึ้นด้วยมรรคที่ตนเองครอบครอง เปรียบดั่งโลกใบหนึ่ง เพราะคุณลักษณะแตกต่างกัน อานุภาพที่มีจึงไม่เหมือนกัน
โดยทั่วไปแล้ว มรรควิถียิ่งล้ำลึก คุณลักษณะของเขตแดนมรรคที่จะควบรวมได้ก็จะยิ่งสูง อานุภาพที่มีก็ยิ่งแข็งแกร่ง
เพียงแต่คิดจะควบรวมเขตแดนมรรคที่คุณลักษณะเรียกได้ว่าหายากในโลก นอกจากมรรควิถีล้ำลึกแล้ว ยังต้องมีความแน่วแน่ มีจิตวิญญาณและสติปัญญาอันยิ่งใหญ่ด้วย จำต้องทุ่มเลือดเนื้อไม่สิ้นมาปรับปรุงให้สมบูรณ์
นอกจากนี้ ยังจำเป็นต้องมีจุดเปลี่ยน!
ดังเช่นหลินสวิน ตั้งแต่บรรลุระดับมกุฎราชันอริยะขั้นต้น ก็ควบรวมต้นแบบเขตแดนมรรคออกมาได้แล้ว
แต่กระทั่งตอนนี้ผ่านมาหลายปี เขามีพลังปราณระดับมกุฎราชันอริยะขั้นปลายแล้ว แต่จะหลอมเขตแดนมรรคขั้นสมบูรณ์สูงสุดได้ ยังขาดจุดเปลี่ยนครั้งหนึ่งดังเดิม!
อีกไม่กี่วันก็จะเริ่มเดินทางไปเขตต้องห้ามเซียนโบราณแล้ว ถึงตอนนั้นอันตรายและการห้ำหั่นที่ต้องเผชิญจะต้องน่ากลัวอย่างไม่อาจจินตนาการได้
เรื่องนี้ทำให้หลินสวินเกิดความกดดันขึ้นในใจเช่นกัน
แต่ถ้าพัฒนาเขตแดนมรรคถึงขั้นสมบูรณ์สูงสุดแล้ว ตอนที่เข้าไปในเขตต้องห้ามเซียนโบราณ ก็เท่ากับมีรากฐานพลังในการรักษาชีวิตตัวเองเพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วดุจสายน้ำ
หลินสวินดำดิ่งกับการอนุมานมรรควิถีของตนโดยสมบูรณ์ การหยั่งรู้และใจความที่ได้รับในช่วงหลังจากบรรลุระดับมกุฎราชันอริยะทั้งหมดล้วนผุดขึ้นในใจ ดั่งน้ำพุอันใสกระจ่าง
หลายปีมานี้เขาศึกษาคัมภีร์ร้อยสมุนไพรทั่วหล้า จึงได้รู้นัยน์เร้นลับมหามรรคที่สรรพสิ่งในใต้หล้ามี…
เขาหยั่งรู้คัมภีร์มหามรรคหวงถิง หยั่งถึงสุดยอดความลับที่มีอยู่ในอวัยวะตันห้า…
คัมภีร์มรรคที่เขาครอบครอง ต่างหลอมรวมเข้าไปในมรรควิถีของตนในระหว่างที่ฝึกปราณโดยไม่รู้ตัวมานานแล้ว
อย่างคัมภีร์กลืนกินไร้สิ้นสุด มรดกจากเจ้าแห่งมรรคาสวรรค์ คัมภีร์เก้ากระถางสยบหล้าที่มาจากเผ่าจักรพรรดิตระกูลอวี่ คัมภีร์มหาครรภ์จุติที่อริยสงฆ์ตู้จี้กับนางพญาหงส์ทมิฬสร้างขึ้น คัมภีร์กระบี่ไท่เสวียนที่มาจากจักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียน…
นอกจากนี้ การกรำศึกและเข่นฆ่านับไม่ถ้วนที่ประสบมาในหลายปีมานี้ ใจความและประสบการณ์ที่หล่อหลอมออกมาจากเลือดและเพลิง ความเป็นและความตาย ต่างก็เป็นดั่งการตกตะกอนและสั่งสมอย่างหนึ่ง แปรเปลี่ยนเป็นส่วนหนึ่งของมรรควิถี
แต่ว่าจะหยั่งรู้หรือได้ใจความขนาดไหน ก็ไม่อาจมีอิทธิพลและแปรเปลี่ยนหัวใจมหามรรคของหลินสวินได้
มรรควิถีของเขาบรรจุหมื่นมรรค สำแดงหมื่นวิชาได้ แต่กลับไม่อาจทดแทนได้!
เพราะมรรคที่เขาเสาะแสวง เป็นวิถีที่ ‘อดีตปัจจุบันอนาคต มรรคข้าเป็นหนึ่ง’!
ศิษย์พี่เสวียนคงเรียกได้ว่า ‘ใต้หล้าบนล่าง ไร้ศัตรูในระดับอริยะ’ ในม้วนหยกที่เขาทิ้งเอาไว้ก็บันทึกการหยั่งรู้และใจความของการไร้ศัตรูในระดับอริยะ
การศึกษาม้วนหยกนี้ ทำให้ความเข้าใจต่อ ‘มรรคที่ไม่เคยมีมาก่อน’ ของหลินสวินยิ่งลึกซึ้งขึ้น ทั้งยังแน่วแน่ในมรรคาของตนยิ่งขึ้น
การสัมผัส หยั่งรู้ ใจความ และประสบการณ์ทั้งหมดนี้… ล้วนกำลังปะทุอยู่ในใจหลินสวิน เหมือนศักยภาพแฝงมหามรรคที่สั่งสมอย่างหนึ่ง
หอสูงเก้าชั้นขึ้นจากกองดิน ไม้ใหญ่หลายคนโอบเกิดจากหน่ออ่อน
คำกล่าวที่ว่าสั่งสมจนแน่นหนาแล้วแผ่ออกช้าๆ ก็เป็นเช่นนี้
หลินสวินค่อยๆ ลืมทุกสิ่ง จิตใจว่างเปล่า ล่องลอยไปกับทิวาราตรี ลืมกาลเวลาที่ผันผ่าน ประสานความเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง ทั้งยังลืมฟ้า ลืมดิน ลืมคนไปสิ้น…
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขามีแต่มรรควิถีเฉกเช่นแรกกำเนิด แผ่วพลิ้วพลิกตลบ ไม่อาจบ่งบอกลักษณะ
กลิ่นอายพิบัติเคราะห์อุบัติขึ้นจากส่วนลึกของเวิ้งฟ้า พลังน่าหวาดหวั่นอันตรายฉายวาบ ประหนึ่งระเบียบมหามรรคอันสูงส่งถูกละเมิด!
“หืม?”
“เคราะห์ต้องห้ามหรือ!”
ขณะนี้เฒ่าดึกดำบรรพ์ที่จำศีลอยู่ในเรือนมรรคโลกาสวรรค์บางคนใจสั่นระรัว สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ
“เคราะห์ต้องห้ามที่น่ากลัวนัก ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์จนตอนนี้เหมือนจะไม่เคยได้ยินว่ามีกลิ่นอายพิบัติเคราะห์เช่นนี้มาก่อน…”
“ทุกหนึ่งแสนปี ใต้หล้าแห่งนี้ก็จะเกิด ‘เคราะห์ฟ้าเปลี่ยน’ ที่ผิดปกติขึ้น ศึกมรรคสิบทิศในสมัยปลายยุคดึกดำบรรพ์ หรือศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิยุคบรรพกาลล้วนปะทุขึ้นเพราะฟ้าดินแปรผันครั้งใหญ่ หรือพิบัติเคราะห์ต้องห้ามนี้จะเป็นเค้าลางทำนองนี้เช่นกัน”
“ไม่ นี่เป็นเพียงเคราะห์ต้องห้ามเท่านั้น ไม่ใช่ภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับใต้หล้า ข้าสงสัยว่าเคราะห์ต้องห้ามนี้จะถูกใครกระตุ้นขึ้นมา”
“ถูกใครกระตุ้นหรือ ในแคว้นกลางมรรคแห่งนี้จะมีใครทำเช่นนี้ได้”
เจตจำนงอันน่าหวาดกลัวสายแล้วสายเล่าม้วนตลบพุ่งทะลุเมฆาในเรือนมรรคโลกาสวรรค์
ในขณะเดียวกัน
ในอาณาเขตของเรือนมรรคใหญ่และขุมอำนาจเก่าแก่ต่างๆ ในแคว้นกลางมรรคอันกว้างใหญ่ไพศาล ต่างมีเฒ่าดึกดำบรรพ์ที่หลบเร้นเก็บตัวมาไม่รู้นานเท่าไรคนแล้วคนเล่าตื่นตะลึง
“พลังต้องห้าม!”
“กี่ปี่แล้ว พลังน่ากลัวขนาดนี้ทำไมถึงปรากฏขึ้นอีกครั้งได้”
“ไปตรวจสอบเร็วเข้า!”
……
“เอ๋?”
ซย่าสิงเลี่ยที่มาเป็นแขกในเรือนมรรคโลกาสวรรค์เลิกคิ้ว มองไปบนฟ้าอย่างรวดเร็ว แสงเทพมหามรรคอันน่าครั่นคร้ามไหววูบในดวงตาทั้งสอง
แววตาดุจคบเพลิง มองทะลุทั่วหล้าได้
ข้างๆ เขา พวกไท่ซูหง จักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้น จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิง จักรพรรดิมารผลาญนภาต่างใจสะท้านเช่นกัน หยุดสิ่งที่ทำอยู่
เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นเฒ่าดึกดำบรรพ์ที่หลบเร้นอยู่ในเรือนมรรคโลกาสวรรค์ สัตว์ประหลาดเฒ่าที่กระจายอยู่ตามขุมอำนาจใหญ่ต่างๆ ในแคว้นกลางมรรค หรือพวกซย่าสิงเลี่ย ยังไม่ทันได้สัมผัสกลิ่นอายต้องห้ามนั้นโดยละเอียด ก็ถูกพลังมหัศจรรย์คลุมเครือชนิดหนึ่งปิดบัง
“นี่…”
“ใครลงมือกัน ถึงกับปิดบังพลังต้องห้ามได้”
“ฝีมือน่าตกตะลึงนัก!”
“เป็นคนระดับบรรพจารย์มรรคลงมือหรือ”
“พลังต้องห้ามจากฟ้า กลับถูกบดบังได้… เรื่องพิสดารพรรค์นี้ ในอดีตไม่เคยมีสักครั้ง…”
……
สัตว์ประหลาดเฒ่าล้วนพิศวง ฉงนใจไม่ว่างเว้น
ณ เขตหวงห้ามโลกาสวรรค์ ท่ามกลางไอแรกกำเนิดขุ่นมัว หลินสวินที่ดำดิ่งกับการหลอมเขตแดนมรรคไม่สังเกตเลยว่า เมื่อกลิ่นอายพิบัติเคราะห์ที่ประหนึ่งสิ่งต้องห้ามสายนั้นปรากฏขึ้น บนศิลามรรคโลกาสวรรค์ที่อยู่ด้านหลังก็มีอักษรมรรคดั้งเดิมตั้งแต่ต้นยุคดึกดำบรรพ์แถวหนึ่งอุบัติขึ้น
‘มรรคไม่เสาะแสวง วาสนามาเยือนเอง’!
อักษรกี่ตัวเพียงฉายวาบครั้งเดียวก็กลายเป็นพลังคลุมเครือพุ่งทะลุเมฆขึ้นไป บดบังกลิ่นอายพิบัติเคราะห์ราวต้องห้ามนั้นโดยสิ้นเชิง
มหาเคราะห์ต้องห้ามที่เดิมพุ่งเป้ามายังหลินสวินก็ถูกสลายไปอย่างเงียบเชียบไร้เสียงเช่นนี้!
ฮูม…
เจตจำนงน่าหวาดหวั่นสายแล้วสายเล่าปกคลุมลงมา
เพียงแต่ศิลามรรคโลกาสวรรค์ในขณะนี้ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ แล้ว ไม่ต่างอะไรกับก่อนหน้านี้ บนตัวหลินสวินที่นั่งขัดสมาธิหน้าศิลามรรคโลกาสวรรค์ก็ไม่ปรากฏกลิ่นอายแปลกประหลาดแต่อย่างใด
“ไม่ใช่เจ้าหนุ่มนี่”
“ก็จริง เขาเป็นมกุฎราชันอริยะคนหนึ่งเท่านั้น จะไปกระตุ้นพลังต้องห้ามน่ากลัวเช่นนั้นได้อย่างไร”
“เรื่องในวันนี้พิสดารเกินไป ก็ไม่รู้ว่าในแคว้นกลางมรรคแห่งนี้จะมีใครมองเบาะแสอะไรออกหรือไม่”
“ไปเถิด พวกเราก็ควรหารือเรื่องในภายภาคหน้ากันแล้ว เหลือไม่ถึงพันปีจากเส้นตายแสนปีของโลกปัจจุบันแล้ว…”
ระหว่างที่สนทนา เจตจำนงน่ากลัวเหล่านี้ต่างก็กระจายไปราวกระแสธาร
ส่วนหลินสวิน ไม่รู้เรื่องเหล่านี้เลยเช่นกัน
ขณะที่เขาดำดิ่งกับการหยั่งรู้ ไอแรกกำเนิดรอบทิศอบอวล สภาวะจิตของเขาก็เลือนรางคลุมเครือเหมือนความขุ่นมัวแรกกำเนิด
แม้แต่เขตแดนมรรคที่ควบรวมอยู่ข้างหน้าเขายังขมุกขมัวไม่อาจบรรยายลักษณะได้ แต่กลิ่นอายที่กระจายออกมากลับมีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์สมบูรณ์ถึงขั้นสุดอยู่รำไร!
‘ขุ่นมัวดั่งหนึ่ง หนึ่งเกิดเป็นหมื่นมรรค’
ก็ไม่รู้ว่านานเท่าไร ในใจหลินสวินเกิดความรู้แจ้งขึ้นเอง ‘มหามรรคคืนถิ่น สรรพสิ่งกลับสู่หนึ่งเดียว อุบัติฟ้าสี่สิบเก้า รอดพ้นเพียงหนึ่ง มรรคข้า… มีเพียง ‘หนึ่ง’!’
ตูม!
ตรงหน้า เขตแดนมรรคลึกล้ำไม่อาจหยั่งถึงพลิกม้วน กลิ่นอายน่ากลัวแผ่ออกมา ไอแรกกำเนิดใกล้ๆ ต่างถูกกลืนกิน
‘มรรคให้กำเนิดหนึ่ง หนึ่งให้กำเนิดสอง!’
เมื่อความคิดหลินสวินไหวเคลื่อน เขตแดนมรรคที่ราวกับแดนแรกกำเนิดนั้นก็แปรสภาพเป็นรูปเตาหลอม ประหนึ่งเตาหลอมเทพนิรันดร์ สามารถบรรจุหมื่นมรรคทั่วหล้าได้!
จากนั้นเตาหลอมนั้นก็เปลี่ยนเป็นหุบเหวลึกแห่งหนึ่ง มันลึกสุดหยั่ง ใหญ่โตไร้สิ้นสุด ราวกับสามารถกลืนกินสรรพสิ่งทั่วหล้า
ขุ่นมัวดั่งหนึ่ง เกิดเป็นรูปเตาหลอม แล้วแปลงเป็นรูปหุบเหวลึก สิ่งนี้เรียกว่า ‘หนึ่งให้กำเนิดสอง’!
ตูม!
เมื่อเขตแดนมรรคโคจรพวยพุ่ง สารกาย พลังชีวิต และจิตวิญญาณทั้งตัวหลินสวินก็ผสานเข้าไปในนั้นทั้งหมด
พริบตานั้นเขตแดนมรรคก็สำแดงภาพโลกแรกกำเนิด ใสขุ่นแบ่งแยกออกเป็นฟ้าดิน ห้วงอากาศมีสรรพสิ่งอุบัติขึ้น…
ประหนึ่งโลกไพศาลอันกว้างใหญ่และสมบูรณ์ รุ้งแวงฟ้าดิน สุริยันจันทราดารา หมื่นลักษณ์วัฏจักร สี่ฤดูหมุนเวียน สรรพสิ่งแปรเปลี่ยน…
มีลมเมฆรวมตัวเป็นครั้งคราว สายฟ้าฟาดเป็นพักๆ เผยภาพน่าตกตะลึงอย่างการเปลี่ยนผันของเรื่องราวในโลก วัฏจักรที่หมุนเวียนออกมา
สามเกิดเป็นสรรพสิ่ง!
หลินสวินในตอนนี้ก็เหมือนนายเหนือหัวของโลกแรกกำเนิด ความรู้สึกยอดเยี่ยมที่ไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้เต็มเปี่ยมไปทั้งอก ในใจมีเสียงมรรคดังขึ้น
เขตแดนมรรคของข้า มีนามว่าแรกกำเนิด
ภายหน้า
จะสยบทั่วหล้า!
……
ขณะนี้บนศิลามรรคโลกาสวรรค์ที่อยู่ข้างหลังหลินสวิน มีอักษรมรรคดั้งเดิมดึกดำบรรพ์ปรากฏขึ้นแถวหนึ่งอีกครั้ง
‘มหาลักษณ์ไร้รูป ขุ่นมัวดั่งหนึ่ง’!
……
ส่วนลึกของแดนแห่งปริศนาแห่งหนึ่ง
เวิ้งฟ้าขาดสะบั้น สายฟ้าดุจแม่น้ำสายหนึ่งฟาดฉับลงมาจากรอยขาด ประกายอสนีที่ถาโถมแปลงเป็นกระแสเชี่ยวกราก โหมซัดกลางฟ้าดิน
ภูเขาในบริเวณใกล้เคียงล้วนแข็งแกร่งจนน่ากลัว ถูกกระแสอสนีซัดใส่ก็ไม่ไหวติง
ยอดเขาหนึ่งในนั้นมีอารามมรรคหลังหนึ่งตั้งอยู่ หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่หน้าอารามมรรค ใบหน้าละมุน นิ้วเรียวยาวขาวกระจ่างถือเข็มปักผ้าเล่มหนึ่ง กำลังก้มหน้าเย็บเสื้อตัวหนึ่งอยู่เงียบๆ
เพียงแต่เส้นด้ายในรูเข็มปักผ้านั้นเป็นสายฟ้าคดเคี้ยวสว่างวาบสายหนึ่ง ส่วนเสื้อตัวนั้นก็ทำขึ้นจากหนังสัตว์ที่ปกคลุมด้วยลายมรรคฟ้าประทาน
เมื่อนางจรดแต่ละเข็มลงมา ก็จะมีกฏเกณฑ์มหามรรคนับไม่ถ้วนอุบัติขึ้นตามไปด้วย ราวกับลายเมฆที่มหัศจรรย์ยากบรรยายลายแล้วลายเล่า
‘เคราะห์ต้องห้ามหรือ’
จู่ๆ ในใจนางก็เกิดความหวั่นไหว หยุดสิ่งที่ทำอยู่ มองไปยังรอยแยกบนเวิ้งฟ้านั้น และเห็นพลังพิบัติเคราะห์ต้องห้ามเสี้ยวหนึ่ง
แต่ไม่ทันไรพิบัติเคราะห์ต้องห้ามนี้ก็ถูกบดบังเอาไว้
‘สิ่งที่สามารถบดบังกลิ่นอายต้องห้ามได้ เหมือนจะมีแต่มหาสมบัติแรกกำเนิดที่ถือกำเนิดขึ้นในแดนแห่งปริศนานี้ เป็นพลังของศิลามรรคโลกาสวรรค์หรือ’
นางครุ่นคิด
“ศิษย์พี่สาม”
เสียงต่ำลึกเสียงหนึ่งดังขึ้นจากไกลๆ
——