ตอนที่ 1967 กรุณาไสหัวกลับไป
หลินสวินอ้าปากจะพูด
ในใจกลับมีเสียงศิษย์พี่สามรั่วซู่ดังขึ้น ‘อย่าพูด พวกเขาได้ยินการสื่อจิตของเจ้าได้อย่างชัดเจนทั้งนั้น เรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไปให้ข้าจัดการก็พอ”
จากนั้นก็เห็นว่ารั่วซู่ก้าวออกไปเบาๆ หนึ่งก้าว ปรากฏตัวกลางอากาศบนยอดเขา
นางยืนเด่นเพียงลำพัง เผชิญหน้ากับเหล่าจักรพรรดิ แต่ไม่มีใครกล้าดูเบา
หรือควรพูดว่า ขณะนี้ทุกสายตาในที่นั้นต่างถูกดึงดูดไปที่นางคนเดียว กลายเป็นจุดสนใจเพียงจุดเดียวกลางฟ้าดิน
“เจ้าเป็นใครกัน ถึงกล้าบุกมาที่นี่ มาสอดเรื่องนี้”
เงาร่างจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงพุ่งออกมา ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้างามเต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยว ในใจทั้งโกรธทั้งอายอย่างบอกไม่ถูก
ถูกคนอื่นโจมตีครั้งเดียวจนกลิ้งหล่นลงไปในทะเลเมฆท่ามกลางสายตาผู้คน ทำเอานางเสียหน้ายิ่ง
แต่พอได้เผชิญหน้ากับรั่วซู่ นางก็รู้สึกถึงความกดดันที่ปะทะเข้ามาเช่นกัน ชั่วพริบตาก็รับรู้ว่านี่เป็นคนน่ากลัวถึงที่สุดคนหนึ่ง
รั่วซู่ชำเลืองมองนางครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ข้ายังไม่ได้ยกโทษให้เจ้าานะ กรุณาไสหัวกลับไป”
เสียงยังอ่อนโยนนุ่มนวลดังเก่า
แต่เมื่อพูดคำนี้ออกมาก็เกิดเสียงดังตูม จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงถูกโจมตีอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง เงาร่างกลิ้งออกไปอย่างรุนแรง พอกลิ้งถึงตำแหน่งเดิมถึงหยุดลงอย่างเหมาะเจาะพอดี
และตั้งแต่เริ่มจนจบ นางที่เป็นถึงระดับจักรพรรดิกลับไร้กำลังต่อต้านหรือดิ้นรน!
ภาพเช่นนั้นทำให้พวกไท่ซูหงหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง จิตใจหวาดผวา แข็งแกร่งเกินไปแล้ว! หญิงผู้นี้เป็นใครกันแน่
ทั้งยังเกี่ยวข้องอย่างไรกับจินตู๋อีคนนั้น
พวกหมีอู๋หยา หวงฝู่เซ่าหนงต่างสั่นสะท้านอยู่เช่นนั้น สมองว่างเปล่า
เป็นระดับจักรพรรดิเหมือนกัน แต่ในตอนนี้จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงกลับดูอ่อนแอปานนั้น เรื่องนี้แทบจะพลิกการรับรู้ของพวกเขาไป!
หลินสวินมองดูจนแทบหัวเราะออกมา สะใจหาใดเทียบ กรุณาไสหัวกลับไป… ต่อให้ศิษย์พี่สามโกรธก็ยังมีมารยาทเช่นนี้…
“เจ้าเป็นใครกันแน่ คิดจริงๆ หรือว่าพลังแข็งแกร่งแล้วจะเหิมเกริมไม่หวั่นเกรงที่นี่ได้”
เสียงร้องตะโกนโกรธเกรี้ยวของจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงดังอยู่ไกลๆ ตั้งแต่บรรลุจักรพรรดิจนวันนี้ นางยังไม่เคยถูกทำให้อับอายปานนี้มาก่อน
ไม่เคย!
รั่วซู่สีหน้าไม่เข้าใจ เอ่ยว่า “มีฐานะเป็นระดับจักรพรรดิ หรือเจ้าไม่รู้ว่าเมื่อพลังแข็งแกร่งก็เหิมเกริมไม่หวั่นเกรงได้”
พอเสียงพูดเงียบลง บนใบหน้าจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงก็มีเสียงตบหน้าดังเผียะกังวาน แก้มฝั่งหนึ่งบวมแดงขึ้นมา
และตั้งแต่เริ่มจนจบ ยังไม่มีใครดูออกว่ารั่วซูลงมือเช่นไร!
“เจ้า… เจ้า…”
จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงแทบคลั่งแล้ว ตาถลนแทบหลุดจากเบ้า
“อยู่สูงเหนือผู้อื่นมานานไปจนถึงขนาดลืมว่าตัวเองก็เคยเล็กจ้อยหรือ แน่นอนว่าในสายตาข้า เจ้าในตอนนี้ก็ยังเล็กจ้อยยิ่งเหมือนเดิม”
รั่วซู่เอ่ยเบาๆ
ชุดขาวของนางสะอาดสะอ้าน อ่อนโยนดุจสายธาร แต่พลังที่สำแดงออกมากลับขู่ขวัญทั้งที่นั้น กดข่มคมประกายเหล่าจักรพรรดิ!
“พี่ไท่ซู พวกเจ้าจะมองดูนางกำเริบเสิบสานที่นี่หรือ”
จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงโกรธจนไม่อาจควบคุมได้
“สหายมรรค โปรดหยุดลงมือด้วย”
ไท่ซูหงถอนใจยาว ขนาดเขายังคิดไม่ถึง ว่าเพราะจินตู๋อีคนเดียวจะชักนำคลื่นลมความวุ่นวายมากมายเช่นนี้มาได้
“หยุดมือหรือ”
ซย่าสิงเลี่ยพลันหัวเราะหยัน “เมื่อกี้ยายแก่หั่วหลิงเหิมเกริมไม่หวั่นกลัวปานไหน ใช้ฐานะระดับจักรพรรดิกัดคนรุ่นหลังอย่างจินตู๋อีไม่ปล่อย ทั้งวิธีการยังต่ำทรามจนน่าโมโห ตอนนั้นพี่ไท่ซูก็ไม่ได้เอ่ยปากยับยั้งนะ”
ไท่ซูหงหน้าเจื่อน ยิ้มขื่นส่ายหัว
เดิมซย่าสิงเลี่ยก็เป็นคนตรงไปตรงมา ตอนนี้เหมือนได้ระบายความไม่พอใจในใจออกมา เอ่ยว่า “จากที่ข้าดู ยายแก่อย่างหั่วหลิงสมควรโดนเล่นงานแล้ว นางรังแกคนอื่นได้ แล้วเหตุใดคนอื่นจะรังแกนางไม่ได้ แค่เพราะนางมาจากเรือนมรรคจักรวาลก็ไม่สนขื่อสนแปได้แล้วหรือ”
“กล่าวอย่างไม่เกรงใจ วันนี้โชคดีที่อยู่ที่เรือนมรรคโลกาสวรรค์ของพี่ไท่ซู ถ้าอยู่ในโลกภายนอกข้าคงฟันยายแก่นี่ไปนานแล้ว!”
ทั้งล้วนเหลือบมองมา ใครก็คิดไม่ถึงว่าจักรพรรดิกระบี่ยอดมารจะโมโหโทโสไปด้วยในตอนนี้
“ซย่าสิงเลี่ย!”
เสียงร้องแหลมของจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงดังขึ้นไกลๆ เสียงเหมือนลอดไรฟันออกมา เผยแววโมโหและชิงชัง
“เรียกข้าทำไม ให้ไปเล่นงานเจ้าหรือ”
ขณะนี้คนใหญ่คนโตระดับจักรพรรดิที่เหิมเกริมเหนือฟ้าดาราอย่างซย่าสิงเลี่ยกลับกลอกตาใส่ทันที
เรื่องนี้ทำให้จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงโกรธจนสั่นไปทั้งตัว หน้าคล้ำเขียว
นางชี้รั่วซู่ เอ่ยว่า “พวกเจ้าไม่สงสัยฐานะของผู้หญิงคนนี้เลยหรือ เป็นไปได้สูงมากที่นางจะเป็นเศษเดนจากคีรีดวงกมลเหมือนเจ้าหนุ่มนั่น”
คำพูดเดียวทำให้เหล่าระดับจักรพรรดิหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย
ในสายตาของพวกเขา รั่วซู่น่ากลัวเกินคาดจริงๆ แต่พวกเขากลับนึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าทั้งทางเดินโบราณฟ้าดาราแห่งนี้ จะมีมหาจักรพรรดิคนไหนที่มีพลังน่ากลัวปานนี้
พูดอีกอย่าง ด้วยประสบการณ์และสิ่งที่เคยได้พบเห็นของพวกเขา ต่างไม่รู้ที่มาที่ไปของอีกฝ่าย
นี่จะผิดปกติไปแล้ว!
ควรรู้ว่าหากมองไปทั้งฟ้าดารา จำนวนของระดับจักรพรรดิมีน้อยนิดยิ่งนัก พอเพิ่มมาสักคนก็จะสะเทือนใต้หล้า เป็นที่รู้จักโดยทั่วกันทันที
การปรากฏตัวของระดับจักรพรรดิแปลกหน้าคนหนึ่ง จึงมักจะหมายความว่าฐานะของเขาย่อมไม่ธรรมดา!
เผียะ!
ทว่าเสียงพูดของจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงเพิ่งเงียบลงก็ถูกตบหน้าอีกครั้งหนึ่ง เสียงดังกังวาน ใบหน้าล้วนบวมแดง
รั่วซู่เอ่ยเสียงนุ่มนวลว่า “เจ้าพูดจาน่าเกลียดเกินไปแล้ว ต่อให้คีรีดวงกมลอ่อนแอแค่ไหน ในศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิตอนนั้นก็กดข่มจนเรือนมรรคจักรวาลโงหัวไม่ขึ้น เจ้า… มีคุณสมบัติอะไรมาลบหลู่คนสำนักเขา”
หลินสวินนัยน์ตาหดรัด ตอนนั้นคีรีดวงกมลกดข่มเรือนมรรคจักรวาลจนโงหัวไม่ขึ้นเลยหรือนี่
เขาเพิ่งได้ยินเรื่องพรรค์นี้เป็นครั้งแรก!
กลับเห็นว่าจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงร้องแหลม “ทุกคนได้ยินหรือยัง นางกำลังแก้ตัวให้คีรีดวงกมล ฐานะของนางชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว! พวกเจ้ายังไม่ลงมืออีกหรือ”
ไท่ซูหงอึ้งไป เขาไม่เชื่อว่าคนจากคีรีดวงกมลจะใจกล้าเช่นนี้ กล้าเข้ามาเหิมเกริมในสำนักโลกาสวรรค์ของพวกเขาในช่วงเวลาแบบนี้
ส่วนพวกจักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้น จักรพรรดิมารผลาญนภาต่างสีหน้าแปลกไป สายตาที่มองดูรั่วซู่ก็เจือความระแวดระวังอยู่กลายๆ
เพียงแต่ไม่ว่าจะไตร่ตรองเช่นไรก็คิดไม่ออกอยู่ดี ว่าคีรีดวงกมลในตอนนั้นจะมีผู้สืบทอดคนไหนแข็งแกร่งเท่าหญิงผู้นี้
พูดอีกอย่างก็คือ ในบรรดาผู้สืบทอดคีรีดวงกมลที่พวกเขารู้จัก ไม่เคยได้ยินว่ายังมีคนอย่างหญิงผู้นี้ด้วยสักนิด
รั่วซู่กลับคล้ายไม่สังเกตเห็นทุกอย่างนี้ เอ่ยเสียงนุ่มนวลดังเก่า “เดิมทีข้าก็เกรงใจอยู่ ถ้าเจ้ายังกล้าดื้อแพ่งก็อย่าโทษที่ข้าจะทำลายพลังปราณของเจ้า”
เหล่าจักรพรรดิใจปั่นป่วนขึ้นมาอีกระลอก
พวกเขาเป็นระดับจักรพรรดิเหมือนกัน ต่างรู้ดียิ่งกว่าใครว่าคิดจะเอาชนะระดับจักรพรรดิคนหนึ่งนั้นง่าย แต่คิดจะฆ่าระดับจักรพรรดิสักคนนั้นยากเหมือนขึ้นสวรรค์!
เพราะเมื่อพลังปราณถึงระดับจักรพรรดิ แต่ละคนต่างก็ครอบครองพลังที่สามารถสะท้านทั่วหล้าได้ ขอเพียงทุ่มสุดตัว อย่างไรก็ดึงเอาพลังชีวิตมาได้เสี้ยวหนึ่ง
ต่อให้ถูกฆ่าจนเหลือแต่เจตจำนง ยังฟื้นคืนมาได้อย่างแกร่งกล้า!
แต่คิดจะทำลายพลังปราณของระดับจักรพรรดิคนหนึ่ง กลับยากเสียยิ่งกว่าฆ่าให้ตาย เว้นแต่มีพลังบดขยี้เบ็ดเสร็จ หาไม่แล้วไม่อาจทำได้อยู่แล้ว
แต่คำพูดนี้ของรั่วซู่ พิสูจน์ได้เพียงอย่างเดียวว่าในสายตาของนาง จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงไม่มีพลังที่สามารถทัดเทียมกับนางได้โดยสิ้นเชิง!
จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงแข็งทื่อไปทั้งตัว สีหน้าปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ
ต่อให้นางจะโกรธเคืองหรือคลุ้มคลั่งแค่ไหน แต่ก็รู้ดีว่าด้วยพลังของนางไม่อาจประชันกับอีกฝ่ายได้เลย
ถ้าอีกฝ่ายร้ายกาจถึงขั้นสามารถทำลายพลังตนจริงๆ…
แล้วจะต้านอย่างไรได้
ทันใดนั้นจักรพรรดิมารผลาญนภาก็เอ่ยปาก “สหายยุทธ์ ถ้าเจ้าไม่พิสูจน์ฐานะของตัวเองอีก เกรงว่าที่นี่จะไม่มีที่ให้เจ้าแล้ว”
นี่เป็นการเตือนรั่วซู่
ถึงอย่างไรที่นี่ก็คือเรือนมรรคโลกาสวรรค์ มีบรรพจารย์มรรคควบคุมสั่งการ ทั้งยังมีระดับจักรพรรดิจากขุมอำนาจใหญ่มากมายอยู่ด้วย!
จักรพรรดิมารผลาญนภาไม่เชื่อว่าไท่ซูหงจะทนมองคนน่ากลัวที่ฐานะไม่แน่ชัดคนหนึ่ง มากำเริบเสิบสานในอาณาเขตของเรือนมรรคโลกาสวรรค์แน่
ดังคาด ไท่ซูหงก็มองไปที่รั่วซู่แล้วเอ่ยว่า “สหายยุทธ์ หั่วหลิงชดใช้ค่าตอบแทนที่นางต้องจ่ายเพราะทำผิดแล้ว ตอนนี้ เจ้าจะเปิดเผยฐานะของตัวเองได้หรือไม่”
ขณะนี้สายตาของซย่าสิงเลี่ยรวมถึงทุกคนในที่นั้นต่างมองไปยังรั่วซู่
มีเพียงหลินสวินที่จิตใจบีบคั้น
แต่กลับเห็นรั่วซู่ยิ้ม เอ่ยเบาๆ ว่า “หรงชิง ถ้าเจ้ายังไม่ออกมาอีก ภายหน้าข้าจะไม่มาเหยียบเรือนมรรคโลกาสวรรค์ของพวกเจ้าสักก้าวแล้วนะ”
หรงชิงหรือ
ระดับจักรพรรดิหลายคนงุนงงเหมือนมีหมอกหนาทึบในหัว
ไท่ซูหงนัยน์ตาหดรัด เผยสีหน้าตกตะลึง
ซย่าสิงเลี่ยก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “หรงชิงหรือ พี่ไท่ซู นี่คงไม่ใช่ท่านผู้นั้นของเรือนมรรคโลกาสวรรค์…”
ไท่ซูหงพยักหน้าด้วยสีหน้าประหลาด
ก็ในตอนนี้เอง เสียงหัวเราะภาคภูมิเสียงหนึ่งดังขึ้น “สหายยุทธ์หวั่นจ้าว ต่อให้เจ้าไม่เอ่ยปากข้าก็จะไม่นิ่งดูดายหรอก”
ฮูม…
กลางฟ้าดินแสงมรรคถาโถมกลายเป็นเงาร่างสูงร่างหนึ่ง แต่งกายด้วยชุดนักพรต หนวดเคราเผ้าผมสีดอกเลากระเซอะกระเซิง เขาดูชราหาใดเทียบอย่างเห็นได้ชัด แต่ดวงตาทั้งสองกลับเปล่งประกายกระจ่างใสเหมือนทารก
พอเขาปรากฏตัวฟ้าดินแห่งนี้ก็เหมือนมีพลังชีวิตรุ่งโรจน์แผ่พุ่งออกมา กลิ่นอายมหามรรคน่ายินดีแผ่คลุมในฟ้าดิน
ทุกลมหายใจทุกการเคลื่อนไหวล้วนเทียมฟ้า วาสนาพวยพุ่ง!
ทั้งที่นั้นเงียบสงัด
มกุฎราชันอริยะหนึ่งร้อยแปดคนอย่างพวกหลินสวิน ขณะนี้ต่างรู้สึกเล็กจ้อยยำเกรงประหนึ่งได้เห็นนายเหนือหัวจากสวรรค์มาเยือนโลก
กลิ่นอายของชายชราคนนี้สูงส่งเกินไปจริงๆ!
“คารวะอาจารย์ลุง”
ไท่ซูหงกุมมือคารวะ
เหล่าจักรพรรดิเห็นดังนี้ในหัวก็เกิดเสียงอึงอล นึกถึงบุคคลที่ประหนึ่งตำนานเทพอมตะคนหนึ่ง…
บรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่!
ยอดคนผู้มีระดับบรรพจารย์สูงสูงในมรรคาจักรพรรดิ!
เฒ่าดึกดำบรรพ์มีชีวิตที่แจ้งมรรคบรรลุเป็นจักรพรรดิตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ ควบคุมดูแลเรือนมรรคโลกาสวรรค์มาจนถึงตอนนี้
ถ้าบอกว่าในสายตาสรรพชีวิต ระดับจักรพรรดิเป็นผู้สูงส่งยิ่งยวด ทำได้เพียงแหงนมองอย่างเคารพ
เช่นนั้นในสายตาของระดับจักรพรรดิ ตัวตนของบรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่ก็เหมือนกับเขาลูกใหญ่ที่สูงจนปีนไม่ถึงลูกหนึ่ง!
และในตอนนี้ ระดับเฒ่าดึกดำบรรพ์มีชีวิตในตำนานก็ปรากฏตัว ณ ที่นี้!
ทันใดนั้นสายตาที่มองดูรั่วซู่ก็เปลี่ยนไปหมดแล้ว
ประโยคเดียวก็เชิญบรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่ออกมาได้ หญิงผู้นี้… เป็นใครกันแน่
ด้านจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงคล้ายสังหรณ์ได้ว่าไม่เข้าที สีหน้าเหยเกอึ้งงันอยู่เช่นนั้น สาเหตุที่วันนี้นางบีบคั้นข่มขู่ก็เพราะมีหลักฐานอยู่ก่อนแล้ว
แต่ตอนนี้ใจนางไหวหวั่นอย่างอดไม่ได้แล้ว หรือตนจะถูกหลักฐานพวกนั้นหลอกแล้ว จินตู๋อีคนนี้กับผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่เศษเดนของคีรีดวงกมลหรือ
แม้แต่หลินสวินยังตกตะลึงอ้าปากค้าง รั่วซู่มาคราวนี้ได้เตรียมตัวไว้นานแล้วชัดๆ!
แต่กลับเห็นรั่วซู่มองประเมินบรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่ครั้งหนึ่ง ค่อยถอนใจเบาๆ เอ่ยว่า “ที่แท้เจ้าก็บรรลุระดับบรรพจารย์ไปแล้ว มิน่าถึงท่าทางใหญ่โตแบบนี้ ถ้าข้าไม่เอ่ยปากเกรงว่าเจ้าคงไม่แสดงตัวให้พบสักครั้ง”
—