Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1975 ลายยันต์มรรคแรดวิญญาณ

ตอนที่ 1975 ลายยันต์มรรคแรดวิญญาณ
ครึ่งชั่วยามให้หลัง

ภูเขาใหญ่สูงตระหง่านแปลกประหลาดลูกหนึ่งปรากฏขึ้นกลางฟ้าดิน เขาลูกนี้ปกคลุมด้วยหิมะน้ำแข็งที่แดงฉานเหมือนเปลวเพลิง ราวกับภูเขาไฟที่คุกรุ่นลุกโชนลูกหนึ่ง แต่ความเป็นจริงกลับเป็นภูเขาน้ำแข็งที่เย็นยะเยือกกรีดกระดูก

หิมะน้ำแข็งนั่นตระการตาดุจโลหิต แดงฉานดั่งลุกโหม!

“นี่คงจะเป็นเขาวิญญาณหิมะแดงสินะ ก่อนหน้านี้นานมาแล้ว บุคคลระดับบรรพจารย์คนหนึ่งในเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ของพวกเราเคยเก็บบัวแดงสามสิบสามกลีบบนเขาลูกนี้ บนกลีบดอกบัวแต่ละกลีบล้วนประทับลายมหามรรคฟ้าประทาน วิเศษอัศจรรย์หาใดเปรียบ”

ทอดมองภูเขาโลหิตสีแดงที่ประดุจไฟลุกโหมลูกนั้นอยู่ไกลๆ นัยน์ตาเหลยเฟิงเชวียพลันวาบประกายลุกวาว “ว่ากันว่าระดับจักรพรรดิหลายคนในเรือนมรรคของพวกเรา ยามแจ้งมรรคบรรลุจักรพรรดิ ก็กลืนกินกลีบดอกบัวหนึ่งกลีบ ข้ามด่านเคราะห์จักรพรรดิแห่งยุคได้ในคราเดียว!”

เสียงสูดหายใจเฮือกระลอกหนึ่งดังขึ้น ผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์เหล่านั้นไม่มีใครไม่ร้องอุทาน

หลินสวินทอดมองอยู่ไกลๆ นัยน์ตาก็วาบประกายแปลกไปด้วยเช่นกัน

ที่แท้ช่วงก่อนหน้านี้ ไม่เพียงแค่ศิษย์พี่จวินหวนเคยเข้ามา แม้แต่ระดับบรรพจารย์คนหนึ่งจากเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ก็เคยมาสืบเสาะที่แห่งนี้ด้วยเช่นกัน

“ไป พวกศิษย์พี่ข่งเจารอพวกเราไปรวมตัวที่เขาลูกนี้”

ขณะสนทนาพวกเหลยเฟิงเชวียทั้งขบวนก็ทะยานขึ้น พุ่งโฉบไปทางเขาวิญญาณหิมะแดงที่อยู่ไกลๆ ลูกนั้น

หลินสวินก็ตามหลังพวกเขาไปติดๆ

ตรงไหล่เขาเขาวิญญาณหิมะแดงมีบ่สระน้ำธรรมชาติแห่งหนึ่ง ภายในสระโหมซัดด้วยหิมะน้ำแข็งแดงฉาน แผ่ไอเย็นยะเยือกกรีดกระดูกออกมา

ข่งเจาเอามือไพล่หลังยืนอยู่ริมสระน้ำ จดจ้องอยู่เนิ่นนานแล้วอดถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้ “บัวแดงสามสิบสามกลีบในปีนั้นก็เกิดที่นี่ น่าเสียดายตอนที่พวกเรามากลับว่างเปล่าแล้ว”

ข้างกันผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์สองคนต่างเรียกขวดสมบัติออกมาคนละใบ กำลังเก็บหิมะน้ำแข็งสีแดงที่โหมซัดอยู่ในสระแห่งนั้น

หนึ่งในนั้นได้ยินก็กล่าวยิ้มๆ “ศิษย์พี่ หิมะแดงในสระน้ำแห่งนี้ถือกำเนิดโดยธรรมชาติ บรรจุสารพลังมหามรรคเข้มข้นหาใดเปรียบ หากกลืนกินมันแล้วหลอม จะเป็นประโยชน์ยิ่งยวดต่อการฝึกปราณของพวกเราเช่นกัน”

ข่งเจาไม่ได้สนใจเขา สายตาเหลือบมองด้านข้าง

บนพื้นหิมะน้ำแข็งแดงสดมีคนสองคนถูกมัดไว้ ต่างผมเผ้ากระเซอะกระเซิง สีหน้าเขียวคล้ำและเดือดแค้น

คนหนึ่งคือลู่ตู๋ปู้ อีกคนคือซูมู่หาน

ข่งเจากล่าวเสียงเรียบเฉย “หิมะแดงตรงหน้าพวกเจ้าก็เหมือนสองคนนี้ ของกะปวกกะเปียก สุดท้ายก็เท่าจินตู๋อีนั่น”

“ข่งเจา จะฆ่าก็ฆ่า ไยต้องใช้วิธีต่ำทรามเช่นนี้ลบหลู่ข้าสองคนด้วย” ลู่ตู๋ปู้กัดฟันกล่าว

ผู้สืบทอดอันดับหนึ่งจากสำนักอันดับหนึ่งแห่งแคว้นเมฆา ตอนนี้กลับกลายเป็นพวกกะปวกกะเปียกในคำปากคนอื่น นี่ทำให้ลู่ตู๋ปู้อับอายจนพานโกรธหาใดเปรียบ

นัยน์ตาข่งเจาเจือแววเหยียดแคลน ปรายตามองสองคนจากมุมสูง กล่าวว่า “ข้าได้ยินว่าคราวก่อนตอนอยู่แดนลับโลกาสวรรค์ จินตู๋อีก็เคยช่วยพวกเจ้าจากเงื้อมมือพวกถูเชียนเจวี๋ย จู่เฟยอวี่ จริงหรือไม่”

ลู่ตู๋ปู้และซูมู่หานสีหน้าอึมครึมไม่สงบ พวกเขาไม่เข้าใจ เหตุใดข่งเจาจึงเอ่ยถึงเรื่องนี้

กลับเห็นข่งเจาพูดต่อเอง “ที่ไม่ฆ่าพวกเจ้า ข้าก็แค่อยากให้จินตู๋อีนั่นมาช่วยพวกเจ้าอีกครั้ง”

ฉับพลันพวกลู่ตู๋ปู้ก็เข้าใจทั้งหมดแล้ว ต่างโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ตาแทบถลน เจ้าหมอนี่ ถึงกับมองพวกเขาเป็นเหยื่อล่อ หมายจะเรียกพี่จินออกมา!

“ต่ำช้า!”

“ผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ที่สูงส่ง อันดับห้ากระดานราชันอริยะปวงสวรรค์ วิธีการกลับไร้ยางอายเช่นนี้ ไม่กลัวทำคนทั้งใต้หล้าหัวเราะเยาะหรือ”

ทั้งคู่กัดฟันกรอด โพล่งผรุสวาทลั่น

ข่งเจาไม่ยี่หระ กล่าวว่า “พวกเจ้าอย่าเพิ่งโวยวายไป บอกตามตรง ข้ายังกังวลนักว่าอาศัยคนอย่างพวกเจ้าสองคน อาจไม่มีคุณสมบัติพอจะล่อจินตู๋อีออกมาได้เลยสักนิด!”

แววเหยียดแคลนในคำพูดไม่ได้ปกปิดสักนิด

ข่งเจากล่าวต่อ “ถึงอย่างไร จินตู๋อีก็เป็นผู้สืบทอดเรือนมรรคคืนกำเนิด พวกเจ้าสองคนเล่า กลับเป็นแค่คนมีชื่อเสียงในพื้นที่เล็กๆ อย่างแคว้นเมฆานั่น คราวก่อนในแดนลับโลกาสวรรค์ หากไม่มีจินตู๋อี พวกเจ้า… ไหนเลยจะมีคุณสมบัติเข้าสู่เขตต้องห้ามเซียนโบราณแห่งนี้”

พวกลู่ตู๋ปู้สองคนหน้าไร้สี ภายในใจเต็มไปด้วยความขมขื่น

ข่งเจาพูดจาถากถาง เหยียบย่ำศักดิ์ศรีของพวกเขาอย่างไร้ปรานี แต่พวกเขากลับไร้แรงไปโต้แย้ง เพราะแม้แต่ตัวพวกเขาเองยังยอมรับ ว่าหากไม่มีหลินสวินช่วยเหลือ พวกเขา… ก็ไม่มีคุณสมบัติเข้ามาจริงๆ…

“ศิษย์พี่”

ขบวนพวกเหลยเฟิงเชวียมากันแล้ว ต่างโค้งคารวะให้ข่งเจา

ข่งเจาร้องอืมคราหนึ่ง สายตาทอดมองพวกลู่ตู๋ปู้สองคนต่อ กล่าวอย่างเต็มไปด้วยแววเหยียดหยันและนึกสนุก “หากข้าเป็นจินตู๋อี ไหนเลยจะมาทุ่มชีวิตเพื่อคนไร้ประโยชน์อย่างพวกเจ้าสองคน ไม่คุ้มเอาเสียเลย”

สีหน้าพวกลู่ตู๋ปู้สองคนยิ่งมืดทะมึนขึ้นเรื่อยๆ

“เช่นนี้ถึงจะดีที่สุด จะได้ไม่ต้องพลอยเดือดร้อนพี่จินต้องลำบากเพราะพวกเราสองคนอีก!” ลู่ตู๋ปู้กัดฟันกล่าว ขอบตาแดงก่ำ

ข่งเจายิ้มบางๆ กล่าวว่า “รู้ไหมว่าทำไมข้าไม่ฆ่าพวกเจ้าตอนนี้ ง่ายยิ่ง รอตอนที่ได้เห็นจินตู๋อี ข้าจะบดขยี้พวกเจ้าให้แหลกเป็นชิ้นๆ ต่อหน้าเขา! จะให้เขาจินตู๋อีได้เห็นถึงค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายเมื่อฆ่าคนเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่งของข้า!”

ในเสียงแฝงแววเคียดแค้นไม่รู้จบ

กล่าวจบ ข่งเจาหมุนตัว เรียกพวกเหลยเฟิงเชวียมาอยู่ข้างๆ กล่าวว่า “ระหว่างทางที่พวกเจ้ามุ่งหน้ามา ได้สังเกตว่ามีคนสะกดรอยตามพวกเจ้ามาหรือไม่”

เหลยเฟิงเชวียชี้ไปที่กระบี่บินขาวหิมะที่ลอยอยู่ตรงบ่า กล่าวว่า “ตลอดทางมานี้ข้าใช้ ‘กระบี่ครวญเหิน’ สัมผัสตลอดทาง ก็ไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติอะไร”

ข่งเจาพยักหน้ากล่าว “เช่นนี้ก็ดี เขตต้องห้ามเซียนโบราณนี่ถึงจะอันตราย แต่ยังพอมีวิธีบางอย่างหลีกเลี่ยงได้อยู่ แต่ถ้าถูกพวกร้ายกาจที่ผิดธรรมดาบางส่วนหมายหัว ก็เป็นปัญหาแล้ว”

เหลยเฟิงเชวียกล่าว “ศิษย์พี่ ท่านคิดจะใช้สองคนนี้เป็นเหยื่อล่อ จัดการกับจินตู๋อีนั่นจริงๆ หรือ”

มุมปากข่งเจาเจือแววนึกสนุกขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง กล่าวว่า “จินตู๋อีเป็นพวกร้ายกาจคนหนึ่ง แม้ข้าแทบทนไม่ไหวอยากบดขยี้เขาให้แหลกเป็นหมื่นชิ้น แต่ก็รู้ดีว่าหากจะจัดการเจ้าหมอนี่ ย่อมต้องวางแผนอย่างดีถึงจะได้”

เหลยเฟิงเชวียกล่าวอย่างประหลาดใจ “หรือว่าศิษย์พี่มีแผนอื่นอีก”

ข่งเจาพยักหน้ากล่าว “ครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ของพวกเรา หรือสองเรือนมรรคใหญ่อย่างจักรวาลและเหล่ามาร ล้วนมองเจ้าจินตู๋อีนี่เป็นเหยื่อ โดยเฉพาะเรือนมรรคจักรวาลที่แค้นเจ้าหมอนี่ถึงขั้นฝังกระดูก”

กล่าวถึงตรงนี้จู่ๆ เขาก็ถามขึ้น “พวกเจ้าคิดว่า หากข้าส่งเจ้าสองคนนี้ไปให้หวงฝู่เซ่าหนงจากเรือนมรรคจักรวาล จะดีกว่าหรือไม่”

เหลยเฟิงเชวียและคนอื่นๆ ต่างอึ้งไป

“ยืมดาบฆ่าคนหรือ”

มีคนตาลุกวาว เอ่ยปากพูด

ข่งเจากล่าวยิ้มๆ “ไม่ เป็นนั่งบนภูดูพยัคฆ์สู้กัน รอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ต่างหาก หากจัดการจินตู๋อีนี่โดยไม่ต้องเปลืองแรงสักนิดได้ จะไม่ยิ่งน่ายินดีกว่าหรือ”

เหลยเฟิงเชวียอดกล่าวไม่ได้ “ศิษย์พี่ แต่เมื่อครู่ท่านยังบอกว่าจะไว้ชีวิตสองคนนี้ รอจนพบจินตู๋อีแล้วค่อยบดขยี้พวกเขาต่อหน้าอีกฝ่าย เหตุใด…”

ข่งเจาหัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมา “ขู่พวกเขาเล่นน่ะ พวกเจ้าคิดเป็นจริงเป็นจังได้อย่างไร”

เขากล่าวพลางเอ่ยสั่ง “รบกวนพวกเจ้าอีกครั้ง พาสองคนนี้ไปส่งหน้าภูเขาใหญ่รูปร่างคล้ายตะพาบยักษ์ที่อยู่ห่างจากที่นี่ไปสามหมื่นลี้ที พวกหวงฝู่เซ่าหนงรออยู่ตรงนั้นแหละ”

“ได้!”

พวกเหลยเฟิงเชวียรับคำสั่ง และพาลู่ตู๋ปู้กับซูมู่หานออกจากเขาวิญญาณหิมะแดงลูกนี้ไปด้วยกันโดยไม่ชักช้า

จนกระทั่งเงาร่างของพวกเขาทั้งขบวนห่างไปไกลแล้ว นัยน์ตาข่งเจาวายแววเย็นเยียบ สื่อจิตว่า ‘พวกเราก็ควรเคลื่อนไหวแล้วเหมือนกัน’

“ศิษย์พี่ จะมุ่งหน้าไปเขาปู้โจวนั่นหรือ”

ด้านข้างข่งเจามีคนหกคนติดตามอยู่ ล้วนเผยสีหน้าตั้งตาคอย มหาสมบัติแรกกำเนิดในตำนานชิ้นนั้น ก็อยู่ในเขาปู้โจวอันเร้นลับนั่น!

“เขาปู้โจวหรือ ไปตอนนี้ยังเร็วเกินไป พวกเราไล่ตามพวกศิษย์น้องเหลยเฟิงเชวียก่อน”

ข่งเจาเอ่ยปากเนิบนาบ

“อะไรนะ”

คนอื่นๆ ล้วนอึ้งไป

ข่งเจายื่นมือขวาออกมา ปลายนิ้วปรากฏยันต์หยกสีเขียวที่รูปร่างคล้ายหยดน้ำอันหนึ่ง “นี่คือ ‘ลายยันต์มรรคแรดวิญญาณ’ ที่สำนักมอบให้ข้า สามารถตรวจจับกลิ่นอายแปลกประหลาดใดๆ ก็ตามได้”

“ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกศิษย์น้องเหลยเฟิงเชวียกลับมา ลายยันต์มรรคแรดวิญญาณก็ตรวจจับกลิ่นอายคลุมเครือได้สายหนึ่งสะกดรอยตามมาอย่างเงียบๆ”

นัยน์ตาข่งเจามีประกายแสงไหลเวียน “เจ้าคนที่หดหัวหดหางคนหนึ่ง กลับกล้าจับจ้องผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ของพวกเรา พวกเจ้าคิดว่าคนที่ใจกล้าเช่นนี้จะเป็นใคร”

“จินตู๋อี?”

มีคนโพล่งออกมา

“เป็นไปได้สูง!”

ข่งเจาพยักหน้า “ถึงอย่างไรผู้สืบทอดเรือนมรรคอื่นๆ และพวกปีศาจจากโลกอื่นในฟ้าดารา ล้วนหมายจะช่วงชิงมหาสมบัติแรกกำเนิด ย่อมไม่มีทางเลือกเป็นศัตรูกับพวกเราในเวลานี้เด็ดขาด”

“พวกคนจากแคว้นต่างๆ เหล่านั้นก็ไม่กล้าเป็นศัตรูกับพวกเรา เมื่อตัดทิ้งเช่นนี้ เหมือนจะเหลือแต่จินตู๋อีนี่แล้ว…”

คราวนี้คนอื่นๆ ต่างร้องอ้อ แต่ละคนเผยสีหน้าดุกร้าว จินตู๋อี! เจ้าหมอนี่ถึงกับกล้าปรากฏตัวจริงๆ หรือ

ช่างทำให้คนเหนือความคาดหมายจริงๆ…

“เมื่อครู่ยังกังวลว่าจะแหวกหญ้าให้งูตื่นจนอีกฝ่ายเผ่นหนีไปก่อน ดังนั้นข้าถึงให้พวกศิษย์น้องเหลยเฟิงเชวียออกไป และเอาตัวประกันสองคนนั้นไปด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ หากอีกฝ่ายเป็นจินตู๋อีจริง ย่อมต้องไล่ตามไปติดๆ แน่”

รอยยิ้มข่งเจาเย็นเยียบ ไอสังหารกลางนัยน์ตาเดือดพล่าน “และข้ากำชับศิษย์น้องเหลยเฟิงเชวียแล้ว ให้พวกเขาเลือกหยุดเดินทางกลางทาง ถึงตอนนั้นพวกเราที่ไล่ตามหลังไป จะได้ล้อมกรอบโจมตีพร้อมกับพวกศิษย์น้องเหลยเฟิงเชวีย กำจัดอีกฝ่ายในคราวเดียว!”

ฟังจบทุกคนในที่นี้ล้วนอดสูดหายใจเย็นไม่ได้ ร้องอุทานในใจ ศิษย์พี่ข่งเจาช่างวางแผนแยบยลยิ่งนัก!

“ไปกันเถอะ ได้เวลาเก็บแหแล้ว”

ภายในใจข่งเจามีเพลิงร้อนเดือดคลั่ง หากคู่ต่อสู้ครั้งนี้เป็นจินตู๋อีจริง เช่นนั้นต่อให้เขาติดปีกก็ยากจะบินหนีอย่างแน่นอน!

คนทั้งขบวนออกเดินทางทันที

และเวลานี้ หลินสวินก็กำลังติดตามอยู่ด้านหลังพวกเหลยเฟิงเชวียอยู่ไกลๆ เหมือนที่ข่งเจาเดาไว้จริงๆ

เพียงแต่ในใจเขากลับรู้สึกชอบกลอยู่รางๆ แต่เมื่อลองคิดดีๆ แล้วกลับคิดไม่ออกว่าผิดปกติตรงไหน

‘ช่างเถอะ ไปช่วยลู่ตู๋ปู้ ซูมู่หานสองคนนั่นก่อน’

หลินสวินตัดสินใจ

ก่อนหน้านี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเขาวิญญาณหิมะแดงก็ถูกเขาเห็นอยู่ในสายตา โดยเฉพาะยามเห็นข่งเจาลบหลู่ดูหมิ่นพวกลู่ตู๋ปู้สองคนสารพัด ไอสังหารในใจหลินสวินล้วนพุ่งปะทุขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

เขารู้ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะถูกตนลากไปเกี่ยวข้อง!

“ศิษย์พี่เหลย ศิษย์พี่ข่งเจารู้ได้อย่างไรว่าพวกหวงฝู่เซ่าหนงรออยู่ในภูเขาใหญ่ห่างออกไปสามหมื่นลี้ หรือว่าเขาติดต่อกับหวงฝู่เซ่าหนงไว้แต่แรกแล้วอย่างนั้นหรือ”

ทันใดนั้นเสียงสายหนึ่งก็เรียกความสนใจของหลินสวิน

ผู้พูดคือหญิงชุดหลากสีคนนั้น ก่อนหน้านี้ก็เป็นนางที่ใช้จานหยกสีดำรูปกระดองเต่าอันหนึ่ง นำทางให้กับพวกเหลยเฟิงเชวีย และตลอดทางก็หลบเลี่ยงภัยอันตรายต่างๆ มากมายได้อย่างหวุดหวิด

…………….

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

BRCO, Tian Jiao Zhan Ji, 天骄战纪
Score 8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2016 Native Language: Chinese
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset