Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1982 มรรคข้าไม่โดดเดี่ยว คนเช่นข้ามีศัตรู

ตอนที่ 1982 มรรคข้าไม่โดดเดี่ยว คนเช่นข้ามีศัตรู
ตอนที่หมีอู๋หยารู้ถึงผลงานการศึกของหลินสวินก็เพียงแค่อึ้งไป นัยน์ตากระจ่างดุจทะเลสาบนั่นทอประกายวาบน่าตกใจขึ้นมา

“เจ้าหมอนี่เป็นคนประเภทเดียวกับข้า”

หลังเอ่ยประโยคนี้ออกมาหมีอู๋หยากลับยิ้ม นั่นเป็นรอยยิ้มบางๆ ที่รู้อยู่แก่ใจอย่างหนึ่ง และเป็นรอยยิ้มที่ผู้สืบทอดเรือนมรรคยุทธจักรคนอื่นๆ ไม่เคยเห็นมาก่อน

เพราะในภาพจำของพวกเขา หมีอู๋หยาเป็นคนไม่ใส่ใจเรื่องใดเสมอมา ดุจเมฆที่ลอยเอื่อย ปราศจากกังวล ไร้สิ่งสนใจ

ถึงขั้นให้ความรู้สึกเปลี่ยวเหงา โดดเดี่ยว ยิ่งสูงยิ่งหนาวให้แก่ผู้คน

แต่หมีอู๋หยาในตอนนี้ กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น

ก็เหมือนเงียบเหงาหมื่นยุค สุดท้ายได้เจอผู้รู้ใจ เป็นความชื่นมื่นและยินดีจากภายในสู่ภายนอกอย่างหนึ่ง

“ศิษย์พี่ ยังจะไล่ตามหรือไม่”

มีคนถามหมีอู๋หยาเช่นนี้เหมือนกัน

“ข้าอยากตัดสินอย่างเป็นธรรมกับเขา ยามนี้เวลาไม่เหมาะ ปล่อยให้เขาไปก่อน”

หมีอู๋หยาเอ่ยปากเนิบช้า

ไม่มีใครรู้ดียิ่งกว่าเขา ตอนที่ยืนตระหง่านบนยอดสุดของระดับเดียวกัน ทอดสายตามองออกไปดันไร้คู่ต่อสู้ที่คู่ควรแล้ว ในใจช่างเปลี่ยวเหงาเพียงใด

สำหรับหมีอู๋หยา บนเส้นทางแห่งมหามรรค เรื่องที่ควรค่าให้รื่นอุรามากที่สุดมีเพียงคำพูดนี้เท่านั้น

พบคู่แข่งฝีมือทัดเทียม ประชันดุเดือดถึงใจ!

และตอนนี้ฝีมือของหลินสวิน ในที่สุดก็ทำให้หมีอู๋หยาเกิดความรู้สึก ‘มรรคข้าไม่โดดเดี่ยว คนเช่นข้ามีศัตรู’ ขึ้นมา

“ไปเถอะ ข้าต้อง… เตรียมตัวดีๆ สักหน่อย”

หมีอู๋หยายิ้มพลางหันตัว

เขาไม่เคยเตรียมตัวต่อสู้มานานมากแล้ว เพราะ… ในหกร้อยปีนี้ที่ครองกระดานราชันอริยะปวงสวรรค์ เขาไม่เคยพบคู่ต่อสู้อย่างแท้จริง

‘จินตู๋อี ศุภโชคที่มีความลับบรรลุจักรพรรดิกลายเป็นบรรพจารย์นั่นข้าไม่เอาก็ได้ แต่ขอเพียง… เจ้าพ่ายแพ้!’

หมีอู๋หยากล่าวในใจเบาๆ

ทุกคนต่างมองหน้ากันไปมา เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นหมีอู๋หยาให้ความสำคัญกับคู่ต่อสู้เช่นนี้ และคู่ต่อสู้คนนี้ เป็นคนที่พวกเขาต่างคาดไม่ถึง…

จินตู๋อี!

โลกภายนอก

ด้านข้างเขาเมฆา

ผ่านไปเจ็ดวันแล้วตั้งแต่เริ่มการเคลื่อนไหวในเขตต้องห้ามเซียนโบราณ

เวลานี้ระดับจักรพรรดิอย่างไท่ซูหง ซย่าสิงเลี่ย จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงต่างนั่งเหนือห้วงอากาศ ถกมรรคแสดงความคิดเห็น

ตรงหน้าพวกเขามีโต๊ะคนละตัว

บนโต๊ะมีตะเกียงสำริดที่แผ่ระลอกคลื่นแปลกอัศจรรย์ดวงแล้วดวงเล่าวางเรียงราย

นี่คือตะเกียงชีวิตของผู้สืบทอดแต่ละสำนักของพวกเขา

ตะเกียงชีวิตสว่างนาน หมายความว่าผู้สืบทอดที่เข้าสู่เขตต้องห้ามเซียนโบราณยังมีชีวิตอยู่

ตะเกียงชีวิตมอดดับ ก็หมายความว่าตายแล้ว!

ในเจ็ดวันนี้ตอนที่ตะเกียงชีวิตมอดดับเป็นครั้งคราว ก็จะเรียกสายตาให้เหลือบมองได้ ส่วนผู้ยิ่งใหญ่ที่คอยดูแลตะเกียงชีวิตนั่น หากไม่สีหน้าอึมครึมก็เผยแววทุกข์ตรมออกมา

มีเพียงระดับจักรพรรดิจากหกเรือนมรรคใหญ่ สิบเผ่านักรบใหญ่เหล่านั้นที่นิ่งสงบเฉยเมย เพราะในเจ็ดวันนี้ตะเกียงชีวิตของผู้สืบทอดในสำนักพวกเขาแทบไม่เคยมอดดับ

“คำนวณจากเวลาแล้ว ภายในครึ่งเดือนคนรุ่นเยาว์เหล่านั้นย่อมสามารถเข้าสู่เขาปู้โจวนั่นได้อย่างแน่นอน”

มีคนคิดคำนวณ

“จินตู๋อีผู้สืบทอดเรือนมรรคคืนกำเนิดนั่น แม้แต่ตะเกียงชีวิตยังไม่มี ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเป็นหรือตาย”

จู่ๆ จักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นจากเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ก็เอ่ยปากขึ้น

ประโยคเดียวทำเอาสีหน้าของคนใหญ่คนโตทั้งกลุ่มล้วนเปลี่ยนเป็นแปลกพิกลขึ้นมา

จินตู๋อี!

ผู้สืบทอดเรือนมรรคคืนกำเนิด!

เพียงแต่ผู้ที่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังต่างรู้ชัด นี่ไม่มีอะไรมากไปกว่าข้ออ้างอย่างหนึ่งเท่านั้น ความจริงเจ้าหมอนี่กลายเป็นตาพายุไปนานแล้ว!

“วางใจได้ เขาต้องอยู่นานกว่าเจ้าเฒ่าอย่างเจ้าแน่นอน”

ซย่าสิงเลี่ยกล่าวเนิบๆ

จักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นหลุดขำออกมา “ซย่าสิงเลี่ย ระวังพูดมากเกินไปสุดท้ายจะกลายเป็นตบหน้าตัวเอง”

ซย่าสิงเลี่ยขมวดคิ้ว แต่ถึงที่สุดก็ไม่ได้ส่งเสียงใด

เจ็ดวันมานี้เขาสัมผัสได้อย่างฉับไวว่าบรรยากาศภายนอกนี้แปลกประหลาด ไม่ว่าเป็นใคร ขอเพียงเอ่ยถึง ‘จินตู๋อี’ ล้วนมีการตอบสนองที่แปลกพิกลอย่างหนึ่ง

‘ดูท่าจะมีปัญหาในบางจุดแล้ว…’

ซย่าสิงเลี่ยเริ่มทำนายเงียบๆ ด้วยระดับพลังของเขา อยากคาดเดาโชคลาภย่อมไม่ยาก อยากทำนายความจริงส่วนหนึ่งก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้

เพียงแต่ครั้งนี้ ตอนที่เขาเริ่มทำนายในใจกลับสั่นสะเทือนรุนแรง เรื่องเกี่ยวกับหลินสวินเขาถึงกับทำนายไม่ออกแม้แต่น้อย

เหมือนมีเงาทะมึนนับไม่ถ้วนปกคลุมเรื่องที่เกี่ยวกับหลินสวินเอาไว้ พยับหมอกหนาทึบ เต็มไปด้วยตัวแปรไร้สิ้นสุด!

‘มีปัญหาดังคาด!’

ส่วนลึกกลางนัยน์ตาของซย่าสิงเลี่ยวาบแสงมรรคน่าสะพรึงขึ้นมา

เขาหยัดตัวลุกขึ้นกล่าวว่า “ทุกท่าน ข้าคนแซ่ซย่าจะจากไปก่อนช่วงหนึ่ง รอตอนกลับมาค่อยถกมรรคกับทุกท่านอีกที”

“เหตุใดต้องไป”

จักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นแสร้งสงสัย “พี่ซย่า เจ้าไม่รออยู่ที่นี่ดูว่าจินตู๋อีนั่นเป็นหรือตายกันแน่หรือ”

นัยน์ตาซย่าสิงเลี่ยทอประกายวาววับ เพิ่งหมายจะพูดอะไรก็เห็นว่า…

บนโต๊ะตรงหน้าจักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้น ตะเกียงชีวิตดวงหนึ่งจู่ๆ ก็ดับไป

รอยยิ้มของจักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นแข็งทื่อทันควัน จำได้ว่าตะเกียงชีวิตดวงนี้เป็นของหวังจ้ง ผู้สืบทอดแกนหลักเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ของเขา

“ฮ่าๆ เฒ่าเจวี๋ยอิ้น เจ้าไปห่วงผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ของพวกเจ้าให้มากจะดีกว่า!”

ซย่าสิงเลี่ยระเบิดหัวเราะลั่นออกมาทันที

ระดับจักรพรรดิคนอื่นๆ ในที่นี้ต่างก็เหลือบมองไม่หยุด รู้สึกแปลกใจ นี่เพิ่งเข้าเขตต้องห้ามเซียนโบราณได้เจ็ดวันเท่านั้น ก็มีผู้สืบทอดแกนหลักเรือนมรรคดึกดำบรรพ์จบชีวิตในนั้นแล้วหรือ

ควรรู้ว่าผู้สืบทอดแกนหลักระดับนี้ แต่ละคนล้วนมีอำนาจปกฟ้า ต่อให้ดับสิ้นไปเพียงคนเดียว สำหรับขุมอำนาจใหญ่อย่างเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ก็ยังเป็นแรงสะเทือนที่ไม่น้อยเลยทีเดียว

“เขตต้องห้ามเซียนโบราณอันตรายปานใด มีเรื่องล้มตายเกิดขึ้นก็ปกติ ข้าไม่เคยบอก ว่าผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ของข้าจะไม่เกิดอันตรายใดๆ เลย”

จักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วกล่าวเสียงเรียบ

ทว่าเพิ่งสิ้นเสียง ในบรรดาตะเกียงชีวิตบนโต๊ะก็มอดดับลงอีกดวง

คราวนี้สายตาทั้งหมดล้วนถูกดึงดูดแล้ว เผยแววแปลกประหลาด

ซย่าสิงเลี่ยระเบิดหัวเราะขึ้นมาอีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่ “ดูท่าอันตรายที่ผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ของพวกเจ้าเจอ จะไม่ได้ใหญ่ธรรมดาเสียแล้วล่ะ”

จักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นแค่นเสียงเย็น “สูญเสียผู้สืบทอดสองคนเท่านั้น เรือนมรรคดึกดำบรรพ์ของข้ายังรับไหวอยู่ เจ้าซย่าสิงเลี่ยไม่จำเป็นต้องมาพูดเหน็บแนมหรอก!”

ในใจเขาก็อัดอั้นเช่นกัน ในเรือนมรรคอื่นตะเกียงชีวิตยังไม่เคยมอดดับ มีเพียงเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ของเขาที่ดับไปสองดวงติด!

ซย่าสิงเลี่ยทิ้งตัวลงนั่งที่เดิม กล่าวหัวเราะชอบใจ “ตอนนี้ข้าไม่อยากไปแล้ว กลับอยากดูนักว่าเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ของเจ้าจะเสียผู้สืบทอดไปกี่คน”

“เจ้า…”

จักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นโกรธจนแทบอยากฉีกปากของซย่าสิงเลี่ย พูดเช่นนี้ออกมาได้อย่างไรกัน

แต่ไม่รอให้เขาเอ่ยปาก บนโต๊ะก็มีตะเกียงสว่างจ้าดับลงไปอีกดวง…

คราวนี้ทุกคนในที่นั้นล้วนตกใจแล้ว ผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์นี่พบเจออันตรายอะไรในเขตต้องห้ามเซียนโบราณกันแน่ ถึงกับเสียสามคนไปในคราวเดียวกัน

ซย่าสิงเลี่ยไม่หัวเราะแล้ว กล่าวด้วยสีหน้าเจ็บปวด “เฮ้อ ผู้สืบทอดแกนหลักสามคนที่มีความหวังจะได้แจ้งมรรคบรรลุจักรพรรดิในภายภาคหน้าหายไปทั้งอย่างนี้แล้ว หรือเป็นเพราะสวรรค์ริษยาอัจฉริยะผู้กล้า”

สีหน้าของจักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นมืดทะมึนลง

เพียงแต่ในเวลาต่อมา ตะเกียงชีวิตบนโต๊ะเขาก็เหมือนพบกับการกระหน่ำโจมตี เริ่มส่อแววมอดดับไม่หยุด

สี่ดวง

ห้าดวง

หกดวง

…และบรรยากาศในที่นั้นก็เริ่มเปลี่ยนเป็นกดดันขึ้นมา ระดับจักรพรรดิทั้งหมดในที่นี้ล้วนสูดหายใจสะท้านอย่างอดไม่ได้ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

ในเขตต้องห้ามเซียนโบราณนั่นเกิดอะไรขึ้นกันแน่

เหตุใด…

ผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ถึงพบเจอการโจมตีหนักหน่วงเช่นนี้

นี่คือภัยมนุษย์หรือภัยธรรมชาติ

เวลานี้ลูกตาจักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นเบิกกว้าง ใบหน้าชราแข็งทื่อ มองดูโต๊ะเบื้องหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ

ในใจเขาผุดความเดือดดาลและเคลือบแคลงอย่างบอกไม่ถูก นี่เป็นไปได้อย่างไร

การเข้าสู่เขตต้องห้ามเซียนโบราณครั้งนี้ เรือนมรรคดึกดำบรรพ์ของพวกเขาเตรียมพร้อมเต็มที่ถึงขีดสุด เตรียมวิธีหลบเลี่ยงอันตรายทุกวิธีให้ผู้สืบทอดเหล่านั้นไว้แล้ว

แต่ตอนนี้…

กลับยังคงประสบมหันตภัยยิ่งใหญ่เช่นนี้ นี่มันเกิดอะไรขึ้น

“หากเป็นภัยธรรมชาติ ไม่มีทางเกิดเรื่องล้มตายต่อเนื่องได้แน่ ถึงอย่างไรผู้สืบทอดพวกนั้นก็ไม่ได้โง่ หลังจากตระหนักได้ถึงความผิดปกติ มีหรือจะไม่ถอยหนี”

ไท่ซูหงเอ่ยเสียงขรึม “จากที่ข้าดู นี่เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นภัยมนุษย์!”

“ภัยมนุษย์?”

แววตาจักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นวาววาบ ในใจยิ่งตกใจแกมโกรธขึ้นเรื่อยๆ หรือมีผู้สืบทอดจากขุมอำนาจใหญ่อื่น พุ่งเป้ามาที่เรือนมรรคดึกดำบรรพ์ของพวกเขาอย่างนั้นหรือ

เวลาเคลื่อนคล้อย ตะเกียงชีวิตบนโต๊ะตรงหน้าจักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นยังคงดับลงไม่หยุด

ทุกดวงที่ดับไปทำให้บรรยากาศในที่นั้นกดดันขึ้นส่วนหนึ่ง ทำให้ระดับจักรพรรดิทั้งหมดตกใจ สุดท้ายแม้แต่ซย่าสิงเลี่ยยังสะท้านสะเทือน เผยสีหน้าแปลกประหลาด

นี่เป็นสังหารที่พุ่งเป้าไปยังผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ชัดๆ!

“เหตุใด… เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ใครสามารถบอกข้าได้บ้าง นี่เป็นฝีมือใครกันแน่”

จักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นขุ่นเคืองอย่างที่สุด สีหน้าดำมืดดุจหนองน้ำ แววตาน่ากลัว

ทุกคนต่างเงียบกริบ

เรื่องที่เกิดขึ้นในเขตต้องห้ามเซียนโบราณ ด้วยพลังของพวกเขาก็ยังไม่สามารถสอดส่องได้แม้เพียงเสี้ยว แล้วใครจะไปล่วงรู้ความจริงได้เล่า

“คงไม่ใช่ผีมือของจินตู๋อีนั่นหรอกกระมัง”

จู่ๆ จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงก็กล่าวขึ้น

มีเพียงนาง จักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้น และมหาจักรพรรดิศิลาเมฆจากเรือนมรรคยุทธจักรที่รู้ชัดที่สุด ว่าการเข้าสู่เขตต้องห้ามเซียนโบราณครั้งนี้ ผู้สืบทอดจากสามเรือนมรรคใหญ่อย่างเรือนมรรคจักรวาล ดึกดำบรรพ์ และยุทธจักรจะเคลื่อนไหวร่วมกันไปจัดการจินตู๋อีนั่น

หากเกิดการปะทะรุนแรง คู่ต่อสู้มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นจินตู๋อี

ถึงอย่างไรในหมู่ผู้แข็งแกร่งที่เข้าสู่เขตต้องห้ามเซียนโบราณ ผู้สืบทอดจากสองเรือนมรรคใหญ่อย่างโลกาสวรรค์กับเหล่ามาร ย่อมไม่สร้างความขัดแย้งกับพวกเขาโดยไม่สนสิ่งใดในเวลานี้แน่

ส่วนพวกปีศาจที่มาจากโลกอื่นในฟ้าดาราเหล่านั้น ใครจะจงใจล่วงเกินผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์กัน

ส่วนผู้แข็งแกร่งจากแคว้นต่างๆ พวกนั้น สามารถมองข้ามไม่นับได้เลย อย่าว่าแต่ล่วงเกิน เกรงว่าคงไม่มีความกล้าแม้แต่จะต่อต้านผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ด้วยซ้ำ!

เมื่อตัดออกเช่นนี้ ดูเหมือน… ไอรีนโนเวล จะเหลือแค่จินตู๋อีนั่นแล้ว!

“เป็นไปไม่ได้!”

จักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นปฏิเสธโดยไม่ลังเล “เจ้าตัวจ้อยอย่างเขาคนเดียว มีหรือจะเป็นคู่ต่อสู้ของผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ของข้าได้”

“เจ้าอย่าลืมล่ะ ตอนอยู่ในแดนลับโลกาสวรรค์ เขาอาศัยเพียงพลังแห่งตนทำลายวงล้อมที่พวกจู่เฟยอวี่ ถูเชียนเจวี๋ยร่วมมือกันได้!”

จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงเอ่ยเตือน

ประโยคเดียวทำเอาสีหน้าของเหล่าจักรพรรดิที่อยู่ในที่นี้ล้วนเปลี่ยนไป พวกเขานึกถึงเหตุการณ์ที่พวกจู่เฟยอวี่ ถูเชียนเจวี๋ยถูกโจมตีจนพินาศขึ้นมาเช่นกัน

เมื่อคิดเช่นนี้ ก็ให้สงสัยอยู่บ้างจริงๆ ว่าเรื่องพวกนี้เป็นฝีมือหลินสวิน!

และเวลานี้ จักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นก็อึ้งไปอย่างสิ้นเชิง พูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว นัยน์ตาปรากฏไอสังหารและแววเย็นเยียบที่น่ากลัวหาใดเปรียบ

เพราะบนโต๊ะตรงหน้าเขา ตะเกียงชีวิตที่เป็นของข่งเจาก็ดับลงในเวลานี้…

………………………………

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

BRCO, Tian Jiao Zhan Ji, 天骄战纪
Score 8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2016 Native Language: Chinese
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset