เฉินหลินคง!
ถ้าหลินสวินอยู่ที่นี่ จะต้องจำได้ว่าชายที่มีเงาร่างสูงตระหง่านเป็นที่สุด สง่างามปานทวยเทพสูงส่งไร้เทียมทานผู้นี้ เขาเคยพบมาก่อน
ตอนนั้นเขากับเจ้าคางคกเข้าสู่ ‘แดนเผาเซียน’ ในแดนมกุฎด้วยกัน และเคยพบชายที่เรียกตัวเองว่าเซียนผลาญเฉินหลินคงผู้นี้
ตอนนั้นในตำหนักในหุบเขาแห่งหนึ่ง เพราะเฉินหลินคง เจ้าคางคกจึงรู้ว่าบรรพบุรุษของเขาเคยเป็นหนึ่งใน ‘หนึ่งร้อยแปดแม่ทัพเทพ’ ที่อยู่ข้างกายเฉินหลินคงผู้นี้
และก็เป็นที่นั่น ที่ทำให้เจ้าคางคกได้วาสนาครั้งหนึ่งไป
หลินสวินจำได้อย่างชัดเจนว่าเฉินหลินคงเคยพูดกับเขาประโยคหนึ่งว่า
‘เจ้าทำให้ข้านึกถึงจักรพรรดิสงครามดับดารา แต่เห็นได้ชัดมากว่าเจ้ากับจักรพรรดิสงครามดับดาราไม่เหมือนกัน มรรคาของเจ้าก็ไม่เหมือนเขาเช่นกัน ข้ารอคอยอย่างมากว่าเจ้าจะบรรลุมรรคาแบบไหน’
ตอนนั้นคำตอบของหลินสวินคือ ‘ข้าเคยได้เจอจักจั่นทองตัวหนึ่งด้วยความโชคดี เขาเองก็เคยพูดคุยกับข้าและพูดเช่นนี้’
เฉินหลินคงเอ่ย ‘จักจั่นทองตัวนั้นไม่ได้บอกเจ้าหรือว่าถ้าอยากเดินบนมรรคาที่ไม่เคยมีมาก่อน จะต้องแลกกับอะไร’
หลินสวินพูด ‘มันพูดเพียงว่า วาสนาชะตาลิขิตราวมายา การปรารถนาตามใจต้องการนั้นดี แต่หากลุ่มหลงมัวเมาเข้าแล้ว กลับจะกลายเป็นของธรรมดาไป’
ความจริงแล้ว การสนทนานี้ได้เผยมานานแล้วว่าเฉินหลินคงไม่เพียงรู้จักจักรพรรดิสงครามดับดารา ยังรู้จักชายหนุ่มจักจั่นทองด้วย
แต่ที่น่าเสียดายก็คือหลินสวินไม่ได้อยู่ที่นี่ หาไม่แล้วจะต้องไปถามข่าวเกี่ยวกับจักรพรรดิสงครามดับดาราจากเฉินหลินคงแน่
และสำหรับเด็กสาวคนนั้นแล้ว เซียนผลาญเฉินหลินคง นางไม่เคยได้ยินสักนิด หรือต่อให้เคยได้ยินก็ไม่สนใจมากอยู่แล้ว
เพราะในโลกของนางรับหลินสวินได้คนเดียวเท่านั้น
เด็กสาวคนนี้ย่อมเป็นซย่าจื้อ
พอรู้สึกถึงพลังนุ่มนวลและเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตผุดเข้าไปในร่างไม่ขาดสาย ซย่าจื้อก็ไม่ดิ้นรนอีก จมสู่ความเงียบงัน
บรรยากาศแปรเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งเล็กน้อยทันที เฉินหลินคงยิ้มน้อยๆ ไม่ได้สนใจ
แต่ทันใดนั้นเขาก็นิ่วหน้า ความฉงนผุดขึ้นในดวงตา
ร่างกายของเด็กสาวตรงหน้าบาดเจ็บสาหัสย่อยยับไปนานแล้ว แต่สำหรับเขา เดิมทีสามารถฟื้นฟูบาดแผลเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย
ทว่าตอนนี้เขากลับรับรู้ได้อย่างฉับไว ว่าส่วนลึกของบาดแผลในร่างกายเด็กสาวคนนี้กลับเต็มไปด้วยพลังลึกลับคลุมเครือเป็นที่สุด!
พลังลึกลับนี้น่ากลัวยิ่งยวด ราวกับสายโซ่เป็นเส้นๆ แทรกเข้าไปในร่างของนาง พันธนาการต้นกำเนิดชีวิตของนางไว้อย่างแน่นหนา!
‘พลังเช่นนี้ถึงกับแฝงเข้าไปในต้นกำเนิดชีวิตของคนผู้หนึ่งหรือ นี่ไม่ได้หมายความว่าโชคชะตาของแม่หนูนี่ถูกเปลี่ยนไปนานแล้วหรือ’
‘นี่… หรือจะเป็นพลังชิงฟ้าเปลี่ยนชะตา’
เฉินหลินคงยังตกตะลึงอย่างอดไม่ได้ รู้สึกผิดคาด
พลังชีวิตลึกลับและคลุมเครือที่สุด สามารถแบกรับความหนักอึ้งของมหามรรค สามารถกระตุ้นการแปรสภาพของผู้ฝึกปราณครั้งแล้วครั้งเล่า
แก่นแท้ของชีวิตถูกเรียกว่าหลักชะตา ทั้งยังถูกมองว่าเป็นโชควาสนาและโชคชะตา
ดังคำกล่าวที่ว่า การทำนายโชคชะตาก็คือการอนุมานหลักชะตา สืบสาวโชควาสนา มองทะลุเส้นทางโชคชะตาของชีวิตนี้ทั้งชีวิต
เพียงแต่วิชาทำนายโชคชะตาก็แค่สำหรับคนธรรมดาสามัญเท่านั้น
ในสายตาของผู้ฝึกปราณ พลังแห่งชีวิตคลุมเครือและลึกลับที่สุด ประหนึ่งมรรคาสวรรค์ การแปรสภาพและบรรลุระดับที่ผู้ฝึกปราณไขว่คว้าไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ความจริงแล้วล้วนเป็นการแปรสภาพและยกระดับชีวิตของตนเอง
ก็เพราะมีการแปรสภาพ จึงทำให้ชีวิตของผู้ฝึกปราณเต็มไปด้วยตัวแปร คิดจะทำนายหลักชะตาของผู้ฝึกปราณ สืบสาวโชคชะตาของพวกเขา แทบจะเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก
พูดง่ายๆ ก็คือการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวกับชีวิตต่างเรียกได้ว่าเป็นมรรค ‘โชคชะตา’ ทั้งนั้น
และในสายตาของผู้ฝึกปราณ มหามรรคโชคชะตาก็เหมือนกับมหามรรคกาลเวลา ต่างเรียกได้ว่าเป็นยอดมหามรรคที่ลึกลับยากหยั่งถึงเป็นที่สุด!
ตามที่เฉินหลินคงรู้ มีเพียงบรรลุระดับบรรพจารย์จักรพรรดิ ถึงพอจะฝืนครอบครองวิธีแก้ไขหลักชะตาได้น้อยนิดเท่านั้น ยังไม่ถึงกับหยั่งรู้มหามรรคโชคชะตาอย่างแท้จริง
แต่ตอนนี้ภายในร่างของเด็กสาวตรงหน้า กลับมีพลังลึกลับประหนึ่งสายโซ่ปกคลุมอยู่ในต้นกำเนิดชีวิตของนาง นี่จะน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
‘หรือจะเป็นผู้เก่งกาจที่สามารถควบคุมกฎเกณฑ์โชคชะตาได้คนหนึ่ง ชิงฟ้าเปลี่ยนชะตาให้เด็กคนนี้’
เมื่อคิดถึงตรงนี้ แววตาที่เฉินหลินคงมองดูซย่าจื้ออีกครั้งก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงแล้ว เจือแววตกตะลึง
‘คราวนี้เป็นจักจั่นทองเชิญข้ามา เขาต้องรู้อะไรบางอย่างแน่ ข้าจะไม่บุ่มบ่ามสืบเองล่ะ…’
ในที่สุดเฉินหลินคงก็ยั้งความคิดที่จะสืบดูพลังลึกลับประหนึ่งสายโซ่เป็นชั้นๆ ในร่างของซย่าจื่อนั้น
ความจริงแล้วพลังเช่นนี้เกี่ยวข้องกับโชคชะตาของคนผู้หนึ่ง เฉินหลินคงก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามไปแทรกแซง หาไม่แล้วจะต้องเกิดตัวแปรที่ไม่อาจควบคุมได้แน่
‘ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้…’
ไม่นานนักเฉินหลินคงก็ค้นพบใหม่อีกครั้ง
ซย่าจื้อในตอนนี้บาดเจ็บเจียนตายนานแล้ว สัญญาณชีพจะเหือดหายอยู่รอมร่อ แต่ภายใต้การจับจ้องของเฉินหลินคง พลังลึกลับที่โอบรอบต้นกำเนิดพลังชีวิตของซย่าจื้อราวกับสายโซ่ ขณะนี้กลับมีพลังลึกลับเป็นริ้วๆ ไหลรินออกมา แล้วผุดเข้าไปตามบริเวณต่างๆ ของร่างกายซย่าจื้อ
ขณะนี้ร่างกายภายนอกที่ทรุดโทรม อาการบาดเจ็บสาหัสหาใดเทียบของนางนั้นกำลังฟื้นฟูอยู่เงียบๆ เหมือนได้รับการหล่อเลี้ยง
ขนาดสัญญาณชีพที่แทบเหือดหายของนางนั้นยังมีแนวโน้ม ‘ฟื้นกลับมา’
เพียงหนึ่งเค่อเท่านั้น
ภายใต้การจับตามองของเฉินหลินคง เด็กสาวที่บาดเจ็บเจียนตายตรงหน้าคนนี้ก็เปลี่ยนแปลงไปชนิดพลิกฟ้าคว่ำดิน
ไม่เพียงแต่อาการบาดเจ็บฟื้นฟูเช่นนี้ ตัวนางยังเหมือนแปรสภาพและยกระดับใหม่ทั้งหมด มีคลื่นพลังลึกลับสุดหยั่งไหวเคลื่อนไปทั้งร่างตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ดังคาด ได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้แล้ว ผู้ฝึกปราณทั่วไปคงตายไปนานแล้ว แต่นางกลับสามารถนิพพานท่ามกลางความพังพินาศ แปรสภาพท่ามกลางเส้นแบ่งความเป็นความตายได้ ล้วนเป็นเพราะพลังลึกลับที่พันธนาการอยู่ในต้นกำเนิดชีวิตของนาง…”
“มิน่านางตัวคนเดียว ทวนศึกเล่มเดียวก็สู้ในโลกอันอันตรายที่สรรพชีวิตวอดวายถึงตอนนี้ได้…”
“สำหรับนางแล้ว พลังลึกลับราบกับโซ่ตรวนเป็นชั้นๆ นั้นอาจจะเป็นกรุสมบัติที่ใช้ได้ไม่มีวันหมดหลังหนึ่ง ทำให้นางแปรสภาพนิพพานท่ามกลางความเป็นความตายได้”
ขณะนี้ ในที่สุดเฉินหลินคงก็เข้าใจแล้ว ในใจยังอุทานอย่างอดไม่ได้ อาจจะเป็นพลังโชคชะตา!
อัศจรรย์ปานนั้น ว่างเปล่าพร่าเลือนปานนั้น ไม่อาจใคร่ควรญได้!
ตั้งแต่เริ่มจนจบซย่าจื้อยังไม่ได้พูดสักคำ เงียบเชียบเป็นก้อนหิน ทั้งยังไม่รู้สักนิดว่าความเปลี่ยนแปลงน่าตกตะลึงในร่างของนางทำให้เซียนผลาญเฉินหลินคงยังรู้สึกสั่นสะท้าน
กระทั่งนางรู้สึกว่าร่างกายฟื้นฟูโดยสมบูรณ์แล้ว ก็ลุกขึ้นยืนเงียบๆ ถือเอาทวนศึกนั้น เกิดไปยังฟ้าดินมืดหม่นไกลออกไปเพียงลำพัง
ก่อนไป พูดเพียงสองคำว่า
“ขอบคุณ”
ประหยัดคำพูดดั่งทองคำ
เฉินหลินคงกลับไม่ได้โมโห มองดูนางเดินหน้าไปเพียงลำพัง จู่ๆ ในใจก็มีความเวทนาผุดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ที่นางสู้ไม่หยุดพักแบบนี้เป็นเพราะอะไรกัน
“น่าสนใจใช่ไหม”
จู่ๆ เสียงอ่อนโยนกังวานก็ดังขึ้น
“เจ้าให้ข้ามาก็เพื่อให้ข้าได้พบเห็นพลังโชคชะตาหรือ ว่ากันตามจริง ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยเห็นคนที่ควบคุมกฎเกณฑ์โชคชะตาได้มาก่อน”
เฉินหลินคงไม่ต้องหันกลับมามองสักนิดก็รู้ว่าจักจั่นทองตัวนั้นมาแล้ว
ชายหนุ่มจักจั่นทองใส่ชุดผ้าป่าน เท้าเปลือย สง่างามยากจับต้องได้ยากดังเก่า สายตาเขามองดูเงาร่างสูงโปร่งผอมบางของซย่าจื้อนั้นอยู่ไกลๆ เอ่ยว่า “เจ้าแซ่เฉิน ได้เห็นคนที่ควบคุมโชคชะตาได้ไม่ใช่เรื่องแปลกสักนิด แต่เจ้าควรรู้ว่าบนทางเดินโบราณฟ้าดาราแห่งนี้ ผู้ที่ขบถฟ้าเปลี่ยนชะตาไม่ได้มีนางแค่คนเดียว”
“ยังมีใครอีก”
เฉินหลินคงจึงแสดงสีหน้าตกตะลึง
“ก็หลินสวินที่นางพูดถึงไง”
ชายหนุ่มจักจั่นทองเอ่ย
“ที่แท้ก็เป็นเขา”
เฉินหลินคงพูดถึงตรงนี้ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เอ่ยว่า “คีรีดวงกมลชนะแล้วหรือ”
ชายหนุ่มจักจั่นทองพยักหน้า “จอมจักรพรรดิไร้นามพ่ายแพ้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหรือข้า หรือเจ้าพวกคนที่ปรารถนาจะไปยังฟากฝั่งฟ้าดาราบนทางเดินโบราณฟ้าดาราเหล่านั้นต่างก็ต้องขอบคุณคีรีดวงกมล น้ำใจคราวนี้คิดจะไม่รับก็คงไม่ได้”
เฉินหลินคงทอดถอนใจ “‘ศิษย์พี่ใหญ่’ คีรีดวงกมลคนนั้น…เป็นคนที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่งจริงๆ นะ ก่อนหน้านี้ข้ายังไม่กล้าเชื่อเลยว่าบนทางเดินโบราณฟ้าดาราแห่งนี้จะยีงมีคนแบบเขา”
“ไปเถิด”
ชายหนุ่มจักจั่นทองเอ่ย
“ไม่ต้องรีบร้อน เล่าให้ข้าฟังได้ไหมว่าทำไมแม่หนูนี่ถึงยึดติดต้องต่อสู้โดยไม่หยุดพักอยู่ตลอดเช่นนี้”
สายตาเฉินหลินคงมองดูซย่าจื้อที่อยู่ไกลลิบ เจือแววสงสัย
ชายหนุ่มจักจั่นทองนิ่งคิด แล้วก็ไม่ได้ปิดบังอีก “ที่นี่ ถูกมองว่าเป็น ‘ต้นกำเนิดแห่งภัยพิบัติ’ ในโลกมืด ทั้งยังถูกเรียกว่า ‘แดนมรณะเสื่อมโทรม’ แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่า ‘ภัยพิบัติ’ ที่มีอยู่ทั่วไปในที่แห่งนี้ ความจริงแล้วมาจากฟากฝั่งฟ้าดารา”
เฉินหลินคงเหมือนเข้าใจในทันที พยักหน้าเอ่ยว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ มิน่าข้าถึงเห็น ‘สัตว์ประหลาดฟ้าดารา’ ที่ไม่ได้อยู่บนโลกนี้จำนวนหนึ่ง”
ชายหนุ่มจักจั่นทองเอ่ย “นางต่อสู้ที่นี่เพื่อยับยั้งไม่ให้สัตว์ประหลาดฟ้าดาราเหล่านั้นมาเยือน เพียงเพราะนางต้องทำแบบนี้ มิเช่นนั้นหลังจากสัตว์ประหลาดฟ้าดาราเหล่านั้นมาเยือนก็จะไปล่าสังหารคนที่นางมองว่าสำคัญเสียยิ่งกว่าชีวิตตัวเองคนหนึ่ง”
เฉินหลินคงเลิกคิ้ว “หลินสวินหรือ”
ชายหนุ่มจักจั่นทองพยักหน้า
เฉินหลินคงรู้สึกซาบซึ้งใจไปครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “เจ้าเด็กนั่นรู้เรื่องพวกนี้ไหม”
ชายหนุ่มจักจั่นทองตอบไม่ตรงคำถาม “ที่นี่เป็น ‘แดนมรณะเสื่อมโทรม’ ที่อันตรายที่สุดในโลกมืด ไม่มีพลังชีวิต สรรพชีวิตโรยรา ก็มีแต่พลังที่นางครอบครองถึงฉีกพลังระเบียบของโลกนี้เข้าไปข้างในได้ง่ายดายปานนี้”
“หลังจากมาถึงโลกนี้ ภัยพิบัติไม่หยุดหย่อน การต่อสู้ไม่หยุดพัก ถ้าไม่มีใครช่วยนางสะสางเรื่องทั้งหมดนี้ นางจะต้องอยู่ที่นี่ไปชั่วชีวิตนี้”
เฉินหลินคงแววตาไหววูบ “เจ้าไม่คิดจะช่วยหรือ”
ชายหนุ่มจักจั่นทองส่ายหัว “คนผูกก็ต้องเป็นคนแก้ ต่อให้เจ้ากับข้าจะพานางไปได้ แต่เจ้าเชื่อไหมว่านางจะยังกลับมา”
“ช่วยนางกำจัดภัยพิบัติพวกนั้นให้สิ้นซากจะเป็นอย่างไร” เฉินหลินคงเอ่ย
ชายหนุ่มจักจั่นทองถอนใจเบาๆ “เป็นไปไม่ได้ ต้นกำเนิดของภัยพิบัติเหล่านั้นอยู่ที่ฟากฝั่งฟ้าดาราเหมือนพลังระเบียบต้องห้าม”
“ไปเถอะ”
ชายหนุ่มจักจั่นทองหันหลังจากไป
เฉินหลินคงมองดูเงาร่างที่เดินอยู่กลางฟ้าดินเพียงลำพังนั้นอยู่ไกลๆ ก็ถอนหายใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง แล้วหันตัวจากไป
ท่ามกลางฟ้าดินอันขมุกขะมัว
ซย่าจื้อเดินอยู่คนเดียว ชายหมกคลุมบดบังใบหน้า เงียบงันเหมือนเก่า
ทว่าหลังจากชายหนุ่มจักจั่นทองกับเฉินหลินคงจากไปอย่างต่อเนื่อง นางก็ชะงักก้าวเดินเล็กน้อย ดวงตาไร้ราคีอันใสกระจ่างทั้งสองข้างมองไปที่เวิ้งฟ้า
พึมพำในใจครั้งหนึ่งว่า ‘พวกเขาพูดถึงชื่อเจ้าล่ะ…ดูท่าเจ้าจะยังมีชีวิตอยู่…เช่นนั้นข้าก็วางใจแล้ว…’
มุมปากนางปรากฏรอยยิ้มเลือนราง
หลายปีนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่นางยิ้ม
——