“ผู้อาวุโส ท่านคงไม่ได้ล้อเล่นกระมัง”
ลุงไหวฝืนยิ้มเอ่ย
“ที่นี่คือโลกมืด เจ้าโง่คนไหนจะเชื่อคนอื่นง่ายๆ ได้อย่างพวกเจ้า”
นี่เป็นคำพูดที่มู่ชวนเอ่ยก่อนหน้านี้ เพียงแต่ถูกหลินสวินพูดออกมาในตอนนี้
“หนี!”
พวกลุงไหวต่างผุดลุกขึ้น หนีไปยังนอกเรือน
ทว่าระหว่างทางร่างกายของพวกเขาก็กลายเป็นเถ้าธุลีปลิวว่อน สลายไปหมดเหมือนไม้ผุที่เน่าเปื่อย นี่เป็นพลังมรรครุ่งโรจน์โรยร่วงของกายมรรคไม้เขียว
ข้างกองเพลิงที่มีเปลวไฟลุกโชน ส่องจนใบหน้าหล่อเหล่าของหลินสวินมีแสงเงาไหววูบ เขายกน้ำเต้าสุราเปลือกเขียวแหงนหน้าขึ้นดื่มอย่างเต็มที่
ก่อนหน้านี้บนทางเดินโบราณฟ้าดารา ร่างต้นของเขาใช้อภินิหารหยุดเวลา เสียพลังกายไปอย่างรุนแรง ที่เขาใช้ในตอนนี้ก็คือกายมรรคไม้เขียว
‘ก็ไม่รู้ว่าซีจะมาหาข้าเมื่อไร…’
สักพักหลินสวินก็ถอนใจเบาๆ
ยิ่งนานไปก็ยิ่งทำให้เขาเป็นห่วงสวัสดิภาพของซี ถ้ามั่นใจว่าจะชนะได้แน่ๆ ซีจะไม่มีข่าวคราวถึงตอนนี้ได้อย่างไร
“ลุงไหว วันนี้เก็บมาได้อย่างไรบ้าง”
ทันใดนั้นเสียงพิลึกพิลั่นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นนอกเรือน
แล้วก็เห็นชายแต่งกายชุดหรูหราคนหนึ่งเอามือไพล่หลัง เดินตัวส่ายๆ เข้ามา คราเห็นว่าในเรือนมีแต่หลินสวินก็ตกใจอย่างห้ามไม่อยู่
และตอนที่เห็นมู่ชวนตายคาที่อยู่กับพื้น เขาก็หน้าเปลี่ยนสีทันที หันหลังจะจากไป
แต่ก็ในชั่วพริบตานี้เอง พลังอันน่าสะพรึงกดข่มลงมา ทำให้ร่างของเขาเหมือนถูกผนึกไว้ ไม่อาจกระดิกนิ้วสักนิ้วได้อีก
เขาสีหน้าบิดเบี้ยว เผยสีหน้าเคารพยำเกรงออกมา “ข้าคือจี้เหลิ่ง อริยะภายใต้อาณัติจวนเจ้าเมือง ไม่ได้มีความแค้นอะไรกับใต้เท้า ขอให้ท่านปรานีด้วย”
หลินสวินนั่งไม่ไหวติงอยู่เช่นนั้น เอ่ยถามไปว่า “เจ้ามาทำอะไร ข้าอยากฟังความจริง”
ชายชุดงามหรูผู้เรียกตัวเองว่าจี้เหลิ่งรีบพูดว่า “วันนี้เป็นวันเก็บผลึกมรรคที่จวนเจ้าเมืองกำหนดไว้ ข้ามาหาลุงไหวกับลูกน้องเพื่อเก็บผลึกมรรคขอรับ”
“เก็บผลึกมรรคหรือ”
จี้เหลิ่งรีบร้อนเอ่ยว่า “ใช่แล้ว ที่ลุงไหวกับลูกน้องของเขาทำก็คือกิจการปล้นบ้านชิงทรัพย์ ตามกฎแล้วทุกเจ็ดวันต้องจ่ายผลึกมรรคหนึ่งหมื่นก้อนให้จวนเจ้าเมือง”
หลินสวินตกใจอย่างห้ามไม่อยู่ ปล้นบ้านชิงทรัพย์ เดิมทีก็เป็นการโจรกรรมที่ชั่วร้ายเกินจะชดใช้ได้ แต่ดูตอนนี้สิ โจรอย่างพวกลุงไหวดันยังต้องมอบบรรณาการให้จวนเจ้าเมืองเป็นพักๆ เสียนี่…
เช่นนี้ดูท่า ‘นักพรตเอ้อ’ เจ้าเมืองเมืองผีครอบงำจะชั่วร้ายจริงๆ
พอเข้ามาในเมืองนี้ ไม่เพียงต้องจ่ายค่าเข้าเมือง จะพำนักอยู่ในเมืองยังต้องจ่ายหนึ่งพันผลึกมรรคทุกวัน หากอยากได้การคุ้มครอง ยังต้องทำงานถวายชีวิตให้จวนเจ้าเมือง…
เอารัดเอาเปรียบเป็นชั้นๆ เช่นนี้ นักพรตเอ้อเป็นเจ้าเมืองอย่างสุขสบายเสียจริง
หลินสวินครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “มิน่าตำแหน่งเจ้าเมืองถึงเป็นที่หมายตาของทุกๆ คน ใครได้ยึดครองเมืองหนึ่งก็เท่ากับได้ควบคุมเส้นทางทรัพย์ไม่ขาดสาย”
จี้เหลิ่งยิ้มประจบอยู่ข้างๆ เอ่ยว่า “สหายยุทธ์ไม่รู้อะไร ผลเก็บเกี่ยวของเจ้าเมืองแต่ละเดือน อย่างน้อยก็ต้องจ่ายไปหกส่วน ทรัพย์สินที่ตกมาถึงตัวเองจริงๆ ไม่ได้มากมาย”
หลินสวินเลิกคิ้วพูด “จ่ายให้ใคร”
จี้เหลิ่งเอ่ย “‘‘เจ้าแคว้นคีรีดำ’ หนึ่งในสิบเจ้าแคว้นใหญ่แคว้นหนาวเหน็บ”
พูดถึงตรงนี้เขาคล้ายตระหนักอะไร พูดอย่างอดไม่ได้ว่า “หรือว่า… สหายยุทธ์จะมาโลกมืดเป็นครั้งแรก”
หลินสวินไม่ได้ปิดบัง เอ่ยว่า “ใช่แล้ว”
จี้เหลิ่งเผยสีหน้าว่าที่แท้ก็เป็นเช่นนี้
เขายิ่งแสดงออกอย่างอ่อนน้อมขึ้นไปอีก
ในโลกภายนอก มังกรแกร่งไม่กำราบงูบนดิน แต่ในโลกมืดแห่งนี้ ที่ทำให้คนหวั่นกลัวที่สุดกลับเป็นบุคคลอย่าง ‘มังกรข้ามแม่น้ำ’
ส่วนงูบนดิน… ส่วนมากเป็นพวกที่จำเป็นต้องให้ผู้แข็งแกร่งคุ้มครอง ไม่มีราคาอะไร
หาไม่แล้วย่อมไม่มีทางยินยอมพร้อมใจถูกจวนเจ้าเมืองขูดรีดเป็นชั้นๆ เช่นนี้
อย่างพวกลุงไหว มู่ชวน ต่อให้เป็นคนเช่นนี้ ดูเหมือนเป็นโจรผู้ชั่วร้าย แต่ถ้าพวกเขาอยากอยู่ในเมืองนี้ก็ต้องมอบบรรณาการให้จวนเจ้าเมือง
หลินสวินกล่าว “เล่าเรื่องเจ้าแคว้นคีรีดำผู้นี้ให้ข้าฟังที”
ตอนนี้จี้เหลิ่งดูกระตือรือร้นหาใดเทียบ แทบจะพูดทุกอย่างที่ตนมีในสมองออกไปจนหมด ท่าทางมีมารยาทและอ่อนน้อม
ตามคำพูดของเขา เจ้าแคว้นคีรีดำเป็นบุคคลระดับจักรพรรดิแท้ผู้หนึ่ง ควบคุมเมืองอยู่หนึ่งร้อยเก้าเมืองเป็นขุมอำนาจใต้อาณัติ
ไม่ว่าใครมาครองเมืองหนึ่งร้อยเก้าเมืองนี้ ทุกๆ หนึ่งเดือนต้องมอบบรรณาการให้เจ้าแคว้นคีรีดำ หาไม่แล้วจะถูกขุมอำนาจใต้อาณัติเจ้าแคว้นคีรีดำทำลายล้าง
ในสิบเจ้าแคว้นใหญ่แคว้นหนาวเหน็บ ขุมอำนาจของเจ้าแคว้นคีรีดำทำได้เพียงอยู่อันดับหลังๆ ไม่ถึงกับแข็งแกร่งที่สุด แต่ก็ไม่ใช่ว่าคนทั่วไปจะมาท้าทายได้
พอได้รู้เรื่องพวกนี้หลินสวินก็เอ่ยถามอย่างห้ามไม่ได้ว่า “เหตุใดเจ้าแคว้นคีรีดำถึงไม่เป็นเจ้าเมืองแต่ละเมืองเสียเอง”
จี้เหลิ่งกล่าวว่า “สหายยุทธ์ไม่รู้อะไร โลกมืดปั่นป่วนและโกลาหลเป็นที่สุด ระเบียบพังทลาย ทุกวันมีการเข่นฆ่านองเลือดปะทุขึ้นไม่รู้เท่าไร แม้ว่าขุมอำนาจใต้อาณัติเจ้าแคว้นคีรีดำจะแข็งแกร่ง ก็ไม่อาจไปควบคุมระเบียบของแต่ละเมืองได้ แบบนั้นเปลืองพลังเกินไป สู้นั่งรอผลประโยชน์ยังดีกว่า”
หลินสวินจึงเข้าใจ
ต่อมาหลินสวินก็ถามคำถามอีกจำนวนหนึ่ง จี้เหลิ่งก็พูดสิ่งที่รู้ออกมาจนหมด
เช่นว่าเจ้าแคว้นอันดับหนึ่งแคว้นหนาวเหน็บก็คือผู้อาวุโสชั้นสูงสำนักโบราณจรัสเทพคนหนึ่ง มีฉายาว่า ‘จักรพรรดิมารวายุสังหาร’
อีกเก้าคนที่เหลือในสิบเจ้าแคว้นใหญ่ต่างต้องยืมจมูกเขาหายใจ!
นี่ทำให้หลินสวินสันนิษฐานได้อย่างง่ายดาย ว่าแม้แคว้นหนาวเหน็บจะมีขุมอำนาจปนเปยุ่งเหยิง แต่เหนือสิบเจ้าแดนใหญ่นั้นก็ยังมีสำนักโบราณจรัสเทพ!
พูดง่ายๆ ก็คือ สำนักโบราณจรัสเทพต่างหากที่เป็น ‘ยอดจักรพรรดิ’ ของแคว้นหนาวเหน็บ
และโลกมืดมีทั้งสิ้นสามสิบสามแคว้น ขุมอำนาจของสำนักโบราณจรัสเทพต้องไม่ได้ควบคุมแค่แคว้นหนาวเหน็บแห่งเดียวแน่
ความจริงแล้วอิทธิพลของสามยักษ์ใหญ่ในโลกมืดอย่างสำนักโบราณจรัสเทพ แดนกษิติครรภ์ และหอวิหคทองแดง ต่างแทรกซึมไปทุกหัวระแหงของสามสิบสามแคว้นมานานแล้ว
หลินสวินถึงขั้นคิดว่า แคว้นหนาวเหน็บมีเมืองอยู่นับไม่ถ้วน เจ้าเมืองแต่ละคนต่างต้องมอบส่งบรรณาการให้เจ้าแคว้น
และสิบเจ้าแคว้นใหญ่แคว้นหนาวเหน็บจะต้องมอบบรรณาการให้สำนักโบราณจรัสเทพแน่… การขูดรีดเป็นชั้นๆ เช่นนี้ ผู้ที่ได้ประโยชน์มากที่สุดย่อมเป็นสำนักโบราณจรัสเทพ!
และนี่ยังเป็นเพียงแค่แคว้นหนาวเหน็บแห่งเดียว!
แน่นอนว่าโลกมืดไม่ได้เรียบง่ายเพียงเท่านี้แน่ อาณาเขตของโลกนี้กว้างใหญ่ไพศาลหาใดเทียบ นอกจากสามยักษ์ใหญ่แห่งโลกมืดแล้ว ยังมีขุมอำนาจชั้นยอดอย่างเขาอสูรดาว เรือนเร้นหมอกด้วย
จู่ๆ จี้เหลิ่งก็พูดขึ้นว่า “สหายยุทธ์ ถ้าข้าเดาไม่ผิด ท่าน… จะต้องไม่ใช่คนธรรมดา ถ้าคิดจะวางแผนชิงตำแหน่งเจ้าเมืองเมืองหนึ่งคงไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าท่านต้องการวางแผนชิงอำนาจ ข้าคนแซ่จี้พอช่วยท่านได้บ้าง”
เขาดูออกผ่านการสนทนามานานแล้วว่า ‘มังกรข้ามแม่น้ำ’ ที่เพิ่งมาใหม่อย่างหลินสวินไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง
หลินสวินเอ่ยคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “เจ้าคงไม่ได้อยากสนับสนุนให้ข้าไปฆ่านักพรตเอ้อของเมืองผีครอบงำนี้ใช่ไหม”
จี้เหลิ่งรีบร้อนส่ายหัว “นักพรตเอ้อมีอำนาจยิ่งใหญ่ ว่ากันว่าสนิทสนมกับแม่ทัพผู้มีความสามารถใต้อาณัติเจ้าแคว้นคีรีดำจำนวนหนึ่งด้วย ตอนนี้ข้ายังต้องพึ่งพานักพรตเอ้อเพื่ออยู่รอด ไม่กล้ามีความคิดชั่วร้ายอะไร”
เขาเปลี่ยนหัวข้อ “แต่ว่า ตำแหน่งเจ้าเมืองเมืองผีครอบงำนี้เป็นเผือกร้อน แต่ไม่ได้หมายความว่าเจ้าเมืองเมืองอื่นจะช่วงชิงไม่ได้”
หลินสวินเอ่ยเด็ดขาดว่า “เจ้าไม่ต้องหยั่งเชิงอีกแล้ว ข้าไม่สนใจเรื่องพวกนี้ จะจากไปเมื่อไรก็ได้”
จี้เหลิ่งคล้ายผิดหวังเล็กน้อย เอ่ยว่า “สหายยุทธ์ดูปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ธรรมดาสามัญ จะดูถูกเมืองเมืองหนึ่ง… ก็เป็นเรื่องเข้าใจได้”
หลินสวินพูดไล่แขก “กลับไปบอกนักพรตเอ้อ ถ้าคนอื่นไม่ล่วงเกินข้า ข้าก็ไม่ล่วงเกินใคร”
จี้เหลิ่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก รับปากอย่างดีใจ
เขารู้ว่าถึงตอนนี้เขาจึงถือว่ารักษาชีวิตได้จริงๆ
หลินสวินมองส่งจี้เหลิ่งรีบร้อนจากไป แล้วพูดกับตัวเองว่า “หวังว่าเจ้า… ฉลาดหน่อยจะดีที่สุด
……
เมืองผีครอบงำ
รัตติกาลดุจน้ำหมึกเข้ายึดครองจวนเจ้าเมืองอันยิ่งใหญ่ถึงที่สุด โคมไฟส่องสว่างไปทั่ว
ในโถงแจ่มจรัสแห่งหนึ่ง นางรำงดงามกลุ่มหนึ่งกำลังร่ายรำพลิ้วไหว ชุดกระโปรงที่แทบจะโปร่งแสง เผยร่างอ้อนแอ้นอรชรที่ผิวขาวน่าดึงดูด เย้ายวนหาใดเทียบในขณะที่ร่ายรำ
นักพรตเอ้อนอนอยู่บนตั่งยาว ท่าทางเกียจคร้าน
รูปลักษณ์ของเขาเหมือนชายหนุ่มรูปงาม ผมยาวสีเขียวเข้มทั้งหัว นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มทั้งสองข้างมีประกายเทพเป็นริ้วๆ ฉายวาบเป็นครั้งคราว
ในอ้อมแขนเขามีโฉมสะคราญงามล้ำที่ร่างกายเปลือยเปล่า ผิวขาวเรียบเนียนประหนึ่งหยกมันแพะพิงอยู่ ริมฝีปากแดงเม้มเบาๆ เนตรดาราหรี่ปรือ แผ่นหลังขาวโพลนที่เปิดเผยออกมามีส่วนโค้งเว้าชัดเจน ยวนเย้าทรงเสน่ห์
มือใหญ่ข้างหนึ่งของนักพรตเอ้อลูบแผ่นหลังอ่อนนุ่มเรียบลื่นของหญิงงามนั้นเบาๆ พอได้ยินเสียงหอบหายใจครวญของหญิงงาม ส่วนลึกในดวงตาเขาก็มีไฟราคะเร่าร้อนก่อตัวขึ้นช้าๆ
แต่ในตอนนี้เองจี้เหลิ่งก็รีบร้อนเข้ามา
นักพรตเอ้อนิ่วหน้าทันที พูดอย่างไม่พอใจว่า “ดึกดื่นมืดค่ำ เจ้ามาทำอะไร”
จี้เหลิ่งรีบบอกว่า “ท่านเจ้าเมือง วันนี้เมืองผีครอบงำของพวกเรามีมังกรข้ามแม่น้ำที่ศักยภาพยากหยั่งถึงเข้ามาคนหนึ่งขอรับ!”
จากนั้นเขาก็เล่าเหตุการณ์ที่ได้พบกับหลินสวินทั้งหมด
พอฟังจบนัยน์ตานักพรตเอ้อฉายวาบ ลุกขึ้นนั่งบนตั่งยาวทันใด หญิงงามล้ำในอ้อมกอดคนนั้นล้มลงไปกับพื้นทันที ส่งเสียงร้องสำออย
“ไสหัวออกไป”
นักพรตเอ้อตะคอกอย่างหงุดหงิด
หญิงงามที่ล้มไปกับพื้นกับเหล่าหญิงสาวทรงเสน่ห์ที่ร่ายรำในโถงต่างสั่นไปทั้งตัว รีบร้อนจากไป
ไม่นานนักในโถงใหญ่ก็เหลือแค่นักพรตเอ้อกับจี้เหลิ่ง
จี้เหลิ่งถอนใจเบาๆ “เดิมข้าคิดจะวางแผนหลอกให้เขาไปชิงตำแหน่งเจ้าเมือง ‘เมืองปีศาจเพลิง’ ใครจะคิดได้ว่าเจ้าหมอนั่นดันไม่ติดกับ…”
เจ้าเมืองเมืองปีศาจเพลิงเป็นคู่อาฆาตของนักพรตเอ้อ ในช่วงใกล้ๆ นี้เพราะชิงสายแร่ผลึกมรรคธรรมชาติแห่งหนึ่ง นักพรตเอ้อกับเขาจึงขัดแย้งกัน ลงมือกันใหญ่โต
แต่สุดท้ายนักพรตเอ้อก็เสียหายไปไม่น้อย และสายแร่นั้นก็ถูกเจ้าเมืองเมืองปีศาจเพลิงชิงไปด้วย
นี่เป็นความเจ็บใจของนักพรตเอ้อ
นักพรตเอ้อเอ่ยว่า “เจ้าคงไม่คิดว่าเจ้าหมอนั่นจะช่วยเอาชนะ ‘นักเชือดเมิ่ง’ นั่นได้กระมัง”
นักเชือดเมิ่ง ก็คือฉายาของเจ้าเมืองปีศาจเพลิง
“ไม่ได้คิด แต่มั่นใจว่าเขาทำได้ขอรับ”
จี้เหลิ่งเอ่ย “ท่านเจ้าเมือง จากที่ข้าดู ถ้าพวกเราดึงเจ้าหมอนี่มาเป็นพวกได้ อย่าว่าแต่เอาชนะนักเชือดเมิ่งเลย ต่อให้เป็นเมืองใหญ่เล็กใกล้เคียงสิบกว่าเมืองยังควบรวมได้หมด และย่อมไม่ใช่เรื่องยากด้วย”
“เขาร้ายกาจอย่างที่เจ้าพูดจริงหรือ”
นักพรตเอ้อเอ่ยอย่างตกตะลึง
จี้เหลิ่งพูดอย่างเชื่อมั่นว่า “เจ้าเมือง ตาทั้งสองข้างของข้านี้ไม่เคยดูคนผิด ที่หายากที่สุดก็คือ เจ้าหมอนั่นเพิ่งมาถึงโลกมืด ไม่สังกัดขุมอำนาจใด ทั้งไม่คุ้นเคยกับโลกมืดด้วย ถ้าให้เขาช่วยพวกเราได้ ภายหน้าขุมอำนาจของพวกเราจะจำกัดแค่ในเมืองผีครอบงำเล็กๆ แห่งนี้ได้อย่างไร”
นักพรตเอ้อใจเต้นโดยพลัน