ผู้แข็งแกร่งที่ตามมาดูเรื่องสนุกที่จวนเจ้าเมืองเหล่านั้นพบอย่างผิดหวัง ว่าการต่อสู้ดุเดือดที่คาดคิดไว้ไม่ได้ประทุขึ้น
เพียงครู่สั้นๆ สองคนนั้นที่พุ่งเข้าไปจวนเจ้าเมืองก็เดินออกมา
นี่ทำให้ทุกคนผิดหวังอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่มีเพียงจี้เหลิ่งที่รู้ชัดว่าขอเพียงหลันเจียวไม่ตาย ต่อแต่นี้ไปเมืองหม่อนคมแห่งนี้ก็จะอยู่ในกำมือของผู้อาวุโสเต้ายวนที่อยู่ข้างๆ!
“วางใจได้ ข้ายังไม่ถึงกับใช้มายาแห่งความหวาดกลัวกับเจ้า”
พอออกมาจากเมืองหม่อนคม หลินสวินปรายตามองจี้เหลิ่งที่ท่าทางเหม่อลอยจิตใจสับสน แล้วอดรู้สึกน่าขันอยู่หน่อยๆ อย่างห้ามไม่ได้
เจ้าหมอนี่เห็นชัดว่าตกใจกับภาพเมื่อครู่นี้
จี้เหลิ่งร้องเอ่อ ยิ้มอายๆ ขึ้นมา ความจริงในใจกลับถอนหายใจยาว
ในฐานะผู้ฝึกปราณ สิ่งที่ควรเลี่ยงที่สุดคือการที่สภาวะจิตมีปัญหา และมายาแห่งความหวาดกลัวนั้นดันสามารถใช้กับสภาวะจิตได้ วิชาลับเช่นนี้น่ากลัวเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย
อันที่จริงมายาแห่งความหวาดกลัวเป็นวิชามรรคที่ลึกลับหาใดเทียบวิชาหนึ่ง มาจาก ‘มหาคัมภีร์ก่อเกิดใจ’ ที่ศิษย์พี่สามรั่วซู่ถ่ายทอด
มรดกนี้ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในเก้ามรดกใหญ่ของคีรีดวงกมลเหมือน ‘วิชาอริยะยุทธ์’ ของศิษย์พี่ใหญ่กับ ‘ยอดนิรันดร์ไร้รั่ว’ ของศิษย์พี่สี่สิบเก้า!
มหาคัมภีร์ก่อเกิดใจคลุมเครือเป็นที่สุด ในนั้นมีนัยเร้นลับมากมายที่เน้นไปที่การฝึกหลอมสภาวะจิตแตกต่างจากมรดกอื่น
รั่วซู่ก็อาศัยมรดกนี้บรรลุวีถี ‘หลอมใจ’ ซึ่งแตกต่างจากผู้ฝึกปราณทั่วหล้า!
เช่นว่า วิชามรรคที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์นี้ต่างพุ่งเป้าไปที่สภาวะจิตของผู้ฝึกปราณแทบทั้งนั้น
อย่างมายาแห่งความหวาดกลัว สามารถแทรกซึมเข้าไปในสภาวะจิตของคู่ต่อสู้ได้เหมือนประทับเงามืดสายหนึ่ง ทำให้ยามอีกฝ่ายเผชิญหน้ากับผู้ใช้วิชาก็จะเกิดความหวั่นกลัวหาใดเทียบ
นอกจากนี้ยังมี ‘หนึ่งห้วงฝัน’ สามารถทำให้ผู้ฝึกปราณตกอยู่ในห้วงนิทรา ไม่อาจตื่นขึ้นมาได้อีก
มี ‘กระบี่สังหารจิต’ มี ‘ประทับก่อเกิดใจ’ มี…
สรุปแล้ว วิชาลึกลับที่พุ่งเป้าไปที่สภาวะจิตเหล่านี้มักมีอานุภาพน่าเหลือเชื่อ สังหารคนได้โดยไม่รู้ตัว ป้องกันอย่างไรก็ไม่ได้
“ยังมีเวลาอยู่ ต่อไปไปเมืองไหนดี” หลินสวินถาม
จี้เหลิ่งพูดอย่างไม่ต้องคิด “เมืองหินผา”
ก่อนออกเคลื่อนไหวจี้เหลิ่งก็วางแผนและเตรียมการไว้ก่อนแล้ว ทั้งยังสรุปเส้นทางเคลื่อนไหวรวมถึงเป้าหมายที่ต้องพิชิตเอาไว้เรียบร้อย
“ได้”
หลินสวินพยักหน้า
……
สองชั่วยามผ่านไป
หลินสวินมาถึงเมืองหินผา
เจ้าเมืองนี้มีนามว่าเหลยจ้ง มีพลังปราณระดับกึ่งจักรพรรดิขั้นหนึ่ง ในบรรดาเมืองมากมายที่เจ้าแคว้นคลั่งโลหิตครอบครองอยู่ ศักยภาพของเหลยจ้งเรียกได้ว่าไม่ธรรมดา
แต่เพียงครู่เดียวต่อหน้าหลินสวินที่ปรากฏตัวกะทันหัน เหลยจ้งก็คุกเข่าลงโดยตรง จิตใจถูกมายาแห่งความหวาดกลัวเข้าปกคลุม ปิดทับด้วยประทับเงามืดอีกชั้น
จนหลินสวินกับจี้เหลิ่งจากไปก็ยังไม่มีใครสังเกตว่า เมืองที่อยู่ในอาณาเขตเจ้าแคว้นคลั่งโลหิตอย่างเมืองหินผาถูกยึดไปนานแล้ว
“เป้าหมายต่อไปคือใคร”
“เมืองแดงสด”
“ไป”
หลินสวินไม่หยุดสักนิด
สำหรับเขาในตอนนี้แล้ว ต่อให้เป็นระดับจักรพรรดิบางส่วนปรากฏตัวก็ไม่กลัวแล้ว นับประสาอะไรกับจะไปพิชิตเมืองจำนวนหนึ่ง
ไม่ต้องเปลืองแรงเลยสักนิด
……
ตลอดทั้งวัน อาณาเขตของเจ้าแคว้นคลั่งโลหิต ก็มีเมืองที่อยู่ติดกับอาณาเขตของเจ้าแคว้นคีรีดำเก้าเมืองถูกหลินสวินยึดไว้อย่างเงียบเชียบ
และตั้งแต่เริ่มจนจบ โลกภายนอกกลับไม่มีใครรู้ ถึงขั้นไม่ดึงดูดความเคลื่อนไหวอะไร!
จวบจนดึกดื่น หลินสวินจึงรู้สึกอ่อนล้าอยู่บ้าง
ไม่ใช่เพราะการต่อสู้ แต่เป็นเพราะเส้นทางโดดไปโดดมาเกินไป เมืองเก้าเมืองที่ถูกเขาพิชิตอยู่กระจายตัวกันไป ห่างไกลกันมาก
ต่อกรกับศัตรู ประเดี๋ยวเดียวก็ทำได้ แต่เดินทางไปทั่วกลับเป็นเรื่องทรมานนัก
“พักเสียหน่อย พรุ่งนี้เช้าค่อยเคลื่อนไหว”
ณ ยอดเขาแห่งหนึ่ง หลินสวินวางกระบวนค่ายกลใหญ่กระบวนหนึ่งแล้วก็เริ่มนั่งสมาธิฝึกตน
จี้เหลิ่งนั่งอยู่ด้านหนึ่งเงียบๆ แววตาเหม่อลอย
ก่อนออกเดินทางวันนี้ ในใจเขายังเต็มไปด้วยความกังวลและกระวนกระวาย ต่อให้สุดท้ายตัดสินใจร่วมเคลื่อนไหวกับหลินสวิน แต่ในใจกลับไม่มั่นใจสักนิด
เจ้าแคว้นคลั่งโลหิต ไปหาเรื่องได้ง่ายขนาดนั้นได้อย่างไร
แต่หนึ่งวันมานี้…
ใจเขาถูกสะเทือนจนออกจะชาแล้ว
วิธีที่หลินสวินใช้น่ากลัวเกินไป ทำให้จนตอนนี้เขายังทำใจเชื่อได้ยากอยู่บ้าง ว่าบนโลกนี้มีคนที่แข็งแกร่งปานนี้ได้อย่างไร
เวลาสั้นๆ ก็กำราบเจ้าเมืองเมืองหนึ่งได้ ทำให้ใจอีกฝ่ายหวาดกลัว คุกเข่าสวามิภักดิ์!
ฝีมือชั้นนี้น่ากลัวกว่ามารร้ายบรรพกาลในตำนานเสียอีก!
ที่ทำให้จี้เหลิ่งรู้สึกว่าเหลวไหลที่สุดก็คือ หนึ่งวันมานี้เมืองเก้าเมืองถูกยึด แต่กลับไม่ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวหรือคลื่นลมใดๆ…
ถ้ายังเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ตอนเจ้าแคว้นคลั่งโลหิตรู้ตัว ในอาณาเขตของเขาจะยังเหลือเมืองที่ยังไม่ถูกยึดครองอีกกี่เมือง
พอคิดถึงตรงนี้จี้เหลิ่งก็ใจสะท้าน
วิธีที่หลินสวินใช้ ทำให้จู่ๆ เขาก็ตระหนักได้เรื่องหนึ่ง ถ้าหลินสวินใช้วิธีนี้ไปยึดอาณาเขตของเจ้าแคว้นคีรีดำ…
เจ้าแคว้นคีรีดำจะไปสังเกตได้อย่างไร
ยิ่งคิดในใจจี้เหลิ่งก็ยิ่งยำเกรงหลินสวิน ผู้อาวุโสคนนี้… เป็นอริยเทพจากไหนกันแน่
“ออกเดินทาง”
พออรุณเบิกฟ้า หลินสวินก็ลุกขึ้นจากการทำสมาธิ
และด้วยการครุ่นคิดมาทั้งคืน ยามจี้เหลิ่งมองดูหลินสวินอีกครั้ง สายตาก็เจือความยำเกรงที่แม้แต่ตัวเองยังไม่สังเกตเห็น
……
เจ็ดวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
“พอได้แล้วล่ะ ถึงเวลาพวกเรากลับไปแล้ว”
เมื่อหลินสวินพูดประโยคนี้ออกมา จี้เหลิ่งก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก พ่นลมหายใจยาวแล้วพยักหน้าไม่หยุด “ใช่แล้ว ได้เวลากลับไปแล้ว”
เจ็ดวันนี้เขาติดตามข้างกายหลินสวิน เร่งเดินทางทั้งทิวาราตรี วิ่งไปมาระหว่างเมืองต่างๆ โดยไม่หยุดพักสักนิด พิชิตเมืองแล้วเมืองเล่าอย่างต่อเนื่อง
จนตอนนี้ในอาณาเขตที่เจ้าแคว้นคลั่งโลหิตครอบครอง มีเมืองห้าสิบสี่เมืองถูกยึดไปแล้ว เจ้าเมืองถูกหลินสวินกำราบ สวามิภักดิ์โดยสมบูรณ์
เจ็ดวัน!
ห้าสิบสี่เมือง!
จำนวนนี้แค่คิดก็ยังชวนใจสั่น
จี้เหลิ่งสงสัยอย่างอดไม่ได้ว่าตอนเจ้าแคว้นคลั่งโลหิตสังเกตเห็น ‘การเปลี่ยนแปลงใหญ่’ นี้ ต้องโกรธจนกระอักเลือดแน่
“เจ้าว่า ถ้าให้เจ้าแคว้นคีรีดำรู้ว่าจู่ๆ ก็มีเจ้าเมืองห้าสิบสี่เมืองเลือกมาสวามิภักดิ์กับเขา จะดีใจขนาดไหน”
หลินสวินเอ่ยถาม
จี้เหลิ่งอึ้งไป เอ่ยว่า “ดีใจก็ต้องดีใจมากอยู่แล้ว แต่ข้าน้อยสงสัยนักว่าเจ้าแคว้นคีรีดำจะกล้าส่งคนไปรับช่วงเมืองพวกนี้จริงๆ หรือไม่ ถึงอย่างไรยามเจ้าแคว้นคลั่งโลหิตมีปฏิกิริยากลับมาจะต้องเหมือนสายฟ้าพิโรธแน่ และจะต้องคิดบัญชีนี้กับเจ้าแคว้นคีรีดำ”
หลินสวินยิ้ม “นี่ก็ไม่ใช่เรื่องของพวกเราแล้ว ไปเถอะ”
จี้เหลิ่งตะลึงไป จู่ๆ ในใจก็มีความคิดที่ไม่อาจควบคุมได้ผุดขึ้นมา ที่ผู้อาวุโสเต้ายวนทำเช่นนี้… คงไม่ได้คิดจะ ‘หลอก’เจ้าแคว้นคีรีดำใช่ไหม
จี้เหลิ่งสูดหายใจสะท้าน ถ้าเป็นแบบนี้จริง… เช่นนั้นก็น่ากลัวเกินไปแล้ว!
และในวันที่หลินสวินกับจี้เหลิ่งจากไป ในอาณาเขตที่เจ้าแคว้นคลั่งโลหิตครอบครองพลันเกิดความปั่นป่วนครั้งใหญ่ตะลึงโลก
“เจ้าเมืองเมืองหม่อนคมหลันเจียวประกาศว่ายินดีเชื่อฟังคำสั่งของมารกระบี่เต้ายวน ไปสวามิภักดิ์เจ้าแคว้นคีรีดำ!”
“เจ้าเมืองเมืองหินผาเหลยจ้งประกาศว่ายินดีเชื่อฟังคำสั่งของมารกระบี่เต้ายวน ไปสวามิภักดิ์เจ้าแคว้นคีรีดำ!”
“เจ้าเมืองเมืองแสงทมิฬเฟ่ยเหลิ่งเจินประกาศว่า…”
“เจ้าเมืองเมืองกระดูกมังกร…”
ข่าวดังสนั่นหวั่นไหวข่าวแล้วข่าวเล่าม้วนตลบไปตามอาณาเขตอันกว้างใหญ่ที่เจ้าแคว้นคลั่งโลหิตครอบครอง เหมือนลมพายุลูกแล้วลูกเล่า
ชั่วขณะเดียวทำให้อาณาเขตแห่งนี้ตกอยู่ในความระส่ำระสาย เสียงฮือฮาดังขึ้นนับไม่ถ้วน
“มารกระบี่เต้ายวนเป็นใคร เหตุใดเขาถึงมีฝีมือน่าเหลือเชื่อปานนี้ ในวันเดียวก็ทำให้เมืองมากมายเลือกทรยศเจ้าแคว้นคลั่งโลหิตได้”
“สวรรค์ เจ้าเมืองพวกนั้นบ้าไปแล้วหรือ”
“ไม่ใช่เจ้าเมืองพวกนั้นบ้าไปแล้ว นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นการจู่โจมของเจ้าแคว้นคีรีดำนั่น คิดจะแตกหักกับเจ้าแคว้นคลั่งโลหิตโดยสมบูรณ์แล้ว!”
“ต่อไปเกรงว่าขุมอำนาจที่สองเจ้าแคว้นนี้ครอบครอง… จะเข่นฆ่านองเลือดชนิดไม่อาจคาดคะเนได้แล้ว…”
“มารกระบี่เต้ายวนหรือ หึ คนไร้ชื่อคนหนึ่งจะไปมีความสามารถมากขนาดนี้ได้อย่างไร เขาเป็นหุ่นเชิดตัวหนึ่งชัดๆ ผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังจะต้องเป็นเจ้าแคว้นคีรีดำที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดคนนั้นแน่!”
…
เขายุทธ์สวรรค์
จักรพรรดิมารคีรีดำที่กำลังฝึกปราณอยู่ในตำหนักใหญ่ลืมตาขึ้นทันใด เอ่ยถามว่า “เลี่ยกวง ผ่านไปเจ็ดวันแล้ว ยังไม่มีข่าวของมารกระบี่เต้ายวนนั่นหรือ”
ที่นอกตำหนัก เงาร่างประหนึ่งอาบอยู่กลางน้ำพุสายฟ้าร่างหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ เอ่ยเสียงเข้มว่า “ไม่มีขอรับนายท่าน จากที่ข้าน้อยดู เกรงว่าคนผู้นี้จะหนีไปแล้ว”
จักรพรรดิมารคีรีดำนิ่วหน้า ดวงตามีประกายเย็นชาไหววูบเอ่ยว่า “หนีหรือ ถ้าเป็นแบบนี้จริงข้าจะผิดหวังในตัวเขามาก…”
“นายท่าน เมื่อครู่มีข่าวแพร่มา ว่าเจ้าเมืองห้าสิบสี่เมืองในอาณาเขตของเจ้าแคว้นคลั่งโลหิตประกาศสวามิภักดิ์ต่อท่านขอรับ!”
ทันใดนั้นเสียงเผยความรื่นเริงยินดีเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นที่นอกตำหนัก ข้ารับใช้อาวุโสคนหนึ่งถลาเข้ามาในโถงใหญ่อย่างเปรมปรีดิ์ มีสีหน้าตื่นเต้นฮึกเหิม
“อะไรนะ” เจ้าแคว้นคีรีดำชะงักไป ผุดลุกขึ้น “เจ้าพูดอีกครั้งซิ!”
ข้ารับใช้อาวุโสสูดหายใจเฮือกหนึ่งข่มความตื่นเต้นในใจตัวเองไว้ แล้วเล่าข่าวที่ได้รับมาเมื่อครู่อีกครั้ง
“ห้าสิบสี่เมือง ล้วนมาสวามิภักดิ์ด้วยหรือ”
ที่นอกตำหนัก ชายที่ถูกเรียกว่าเลี่ยกวงก็ชะงักไป แววตาอึ้งค้าง แทบไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง
เมืองในอาณาเขตของเจ้าแคว้นคลั่งโลหิตมีทั้งสิ้นสองร้อยสี่สิบเก้าเมืองเท่านั้น
ตอนนี้ชั่วขณะเดียวก็มีเมืองหนึ่งในห้าเลือกทรยศ กลับมาสวามิภักดิ์เจ้าแคว้นคีรีดำ เรื่องนี้เหลือเชื่อเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย
ช่างเหมือนขนมเปี๊ยะที่ตกลงมาจากฟ้า!
เมื่อแน่ใจได้ในที่สุดว่าข่าวเป็นความจริง จักรพรรดิมารคีรีดำก็หัวเราะร่า พูดอย่างอดไม่ได้
“มารกระบี่เต้ายวน… เจ้ามารกระบี่เต้ายวนนี่! ข้าล่ะคิดไม่ถึงว่าเพิ่งเจ็ดวันเจ้าก็มอบความประหลาดใจครั้งใหญ่ให้เช่นนี้!”
ต่อให้มีฐานะเป็นระดับจักรพรรดิ ยามนี้เมื่อได้รู้ว่าในอาณาเขตศัตรูคู่แค้นของตน ดันมีเจ้าเมืองห้าสิบกว่าเมืองเลือกสวามิภักดิ์กับตน จักรพรรดิมารคีรีดำก็อดรู้สึกหยิ่งผยอง เปรมปรีดิ์หาใดเทียบไม่ได้
“นายท่าน ห้าสิบสี่เมืองทรยศพร้อมกัน เจ้าแคว้นคลั่งโลหิตจะต้องเดือดดาลแน่ ไม่แน่ว่าจะอาจชี้ปลายหอกมาที่นายท่าน พวกเรา… จะหักหน้าเขา ไปรับห้าสิบสี่เมืองนี้จริงๆ หรือ”
นอกตำหนัก เลี่ยกวงเอ่ยเสียงขรึม
ประโยคเดียวทำเอาจักรพรรดิมารคีรีดำอึ้งไป จิตใจรื่นเริงยินดีค่อยๆ สงบลง นิ่วหน้าเอ่ยว่า “เจ้าเมืองห้าสิบสี่คนเลือกสวามิภักดิ์นะ… ถ้าข้าปฏิเสธ จะไม่ทำให้พวกเขาผิดหวังหรือ ภายหน้า… ใครจะกล้ามาแสดงความภักดีกับข้า”
“แต่ถ้ารับ กลับต้องหักหน้าเจ้าหมีเฒ่าคลั่งโลหิตนั่น ไม่แน่ว่าอาจจะมีการปะทะรุนแรงปะทุขึ้น…”
“น่าปวดหัวเสียจริง!”
ขณะนี้จักรพรรดิมารคีรีดำสับสนว้าวุ่นใจหาใดเทียบ
——