ต่อยตีหรือ
จักรพรรดิกระบี่เทียนฉงมุ่นคิ้ว “เจ้าเมี่ยฉยงน่าจะรู้ดีว่าหากเจ้ากับข้าสู้กัน ภายในสิบวันครึ่งเดือนย่อมไม่มีทางตัดสินผลแพ้ชนะแน่”
เมี่ยฉยง!
ชายตาเยิ้มที่ท่าทางซอมซ่อตรงหน้า ถึงกับเป็น ‘จักรพรรดิยุทธ์เมี่ยฉยง’ แห่งหอวิหคทองแดงที่เป็นหนึ่งใน ‘สามยอดนักฆ่า’ เช่นกัน!
“สิบวันครึ่งเดือนไม่เพียงพอ”
จักรพรรดิยุทธ์เมี่ยฉยงส่ายหัวจนเหมือนกลองไม้เขย่า “อย่างน้อย… ก็ต้องสู้กันหนึ่งปีกระมัง”
จักรพรรดิกระบี่เทียนฉงเงียบไปครู่หนึ่งจึงกล่าว “หอวิหคทองแดงของเจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”
จักรพรรดิยุทธ์เมี่ยฉยงกลิ่นเหล้าคลุ้งไปทั้งตัว เอ่ยปากพูดอย่างคลุมเครือ “ต่อยตี”
จักรพรรดิกระบี่เทียนฉงกล่าวอย่างเย็นชา “หากข้าไม่ตอบรับล่ะ”
ฟุ่บ!
เสียงเพิ่งดังขึ้น เงาร่างเขาก็หายไปกลางอากาศ
“หนีหรือ ในเมื่อข้าหมายตาเจ้าไว้แล้วยังจะหนีไปไหนพ้น”
ท่ามกลางเสียงพึมพำเมามาย ชายที่ดูซอมซ่อเกินทนย่ำเท้าลงไป ห้วงอากาศส่งเสียงดังกึกก้อง ถูกแหวกออกเป็นทางเดินสายหนึ่ง
เงาร่างเขาเดินโซเซเข้าไปแล้วเลือนหาย
…
เงาร่างของทั้งสองคนเพิ่งจากไป กลางอากาศก็ปรากฏเงามืดหนึ่ง พลันกลายเป็นภิกษุจีวรดำที่รูปลักษณ์ธรรมดา ท่าทางไม่โดดเด่นรูปหนึ่ง
มองไปยังทิศทางที่จักรพรรดิกระบี่เทียนฉงและจักรพรรดิยุทธ์เมี่ยฉยงหายไป ภิกษุเผยรอยยิ้มเสี้ยวหนึ่ง “ในเมื่อพวกเจ้าจะสู้กันให้สะใจ หลินสวินนั่น… ก็ยกให้ข้าแล้วกัน”
เขาเพิ่งหมุนกายหมายจะจากไป ทันใดนั้นก็มีหมาขนทองตัวหนึ่งเดินมาแต่ไกลอย่างแช่มช้า
นี่เป็นหมาบ้านที่ดูปกติธรรมดา สิ่งเดียวที่ต่างออกไปอาจจะอยู่ที่ขนผิวของหมาตัวนี้ที่เรียบเนียนส่องประกาย ดวงตาทั้งคู่ยิ่งวาววาบถึงขีดสุด
แม้แต่ท่าทางยามก้าวเดินยังดูเย่อหยิ่งเป็นอย่างยิ่ง แลดูสงบผ่อนคลายมาก
หากมีเพียงเท่านี้ก็คงเป็นแค่หมาบ้านที่ถูกพวกผู้ดีเก็บมาเลี้ยงเท่านั้น
แต่พริบตาแรกที่ภิกษุจีวรดำเห็นหมาขนทองตัวนี้ก็ตัวแข็งทื่อ หน้าเปลี่ยนสี หันหลังหนีโดยไม่ลังเล
ในดวงตาของหมาขนทองนั้นไม่อำพรางแววดูถูกแม้แต่น้อย พวกชอบดูถูกคนอื่นก็น่าจะมีท่าทางเช่นนี้กระมัง
“โฮก!”
มันแผดเสียงคำรามต่ำลึกแล้วไล่ตามไป
ต่อให้ไล่ตามหัวของมันก็ยังเชิดสูง ในแววตาเต็มไปด้วยความจองหอง ท่าทางดูแคลนใต้หล้า เหยียดหยันสรรพชีวิต
ที่น่าเหลือเชื่อที่สุดคือ แค่ชั่วขณะมันก็ตามภิกษุจีวรดำนั่นทัน จากนั้นก็รักษาความเร็วในการเคลื่อนที่เหมือนภิกษุจีวรดำ
ภิกษุจีวรดำหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง ไม่อาจไม่หยุดฝีเท้า
หมาขนทองเปิดปาก กล่าวด้วยท่าทางหยามเหยียดราวสูงส่งเหนือผู้อื่น “หนีต่อสิ ทำไมถึงหยุดเล่า จักรพรรดิธรรมเทียนตูหนึ่งในสามยอดนักฆ่าที่น่าเกรงขาม สิ่งที่ชำนาญที่สุดก็คือวิชา ‘หนึ่งพริบตาหมื่นลี้ ไปมาไร้ร่องรอย’ ไม่ใช่หรือ”
ภิกษุจีวรดำคือจักรพรรดิธรรมเทียนตูนั่นเอง บุคคลน่ากลัวที่ก้าวเดินอยู่ในความมืด ทุกจุดที่เคลื่อนผ่าน ย่อมมีความตายตามมา
แต่หากถูกคนเห็นภาพนี้เข้าคงต้องเป็นบ้าแน่นอน
ใครกล้าเชื่อว่าจักรพรรดิธรรมเทียนตูจะถูกหมาตัวหนึ่งไล่กวด ทั้งยังไล่ตามทันด้วย?
ใครเล่าจะเคยเห็น หมาตัวหนึ่งกล้าเหน็บแนมและเย้ยหยันจักรพรรดิธรรมเทียนตูอย่างดูถูกเช่นนี้
นี่สามารถล้มล้างมุมมองของผู้คนได้เลย!
ทว่าสำหรับจักรพรรดิเทียนตูในตอนนี้ หมาตรงหน้านี้น่ากลัวกว่าสัตว์ประหลาดที่ดุดันที่สุดในยุคดึกดำบรรพ์ถึงสามส่วน ยามเผชิญหน้ากับมัน สีหน้าเขาก็เผยความหวาดกลัวอย่างไม่อาจเก็บกลั้น
“ทำไมสหายยุทธ์ถึงไล่ตามไม่เลิก”
เสียงของจักรพรรดิธรรมเทียนตูต่ำลึก ท่าทางระแวดระวัง
คนอื่นไม่รู้ แต่คนที่อยู่รอดในโลกมืดจนผ่านกาลเวลามาไม่รู้นานเท่าไรอย่างเขา มีหรือจะไม่รู้ถึงความน่ากลัวของหมาขนทองตัวนี้
“เจ้าว่าอย่างไรเล่า”
หมาขนทองเอียงศีรษะ บนใบหน้าเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
“เพราะหลินสวินนั่นหรือ”
จักรพรรดิธรรมเทียนตูมุ่นคิ้ว
“ใช่”
หมาขนทองกล่าว “ว่าอย่างไร เจ้าอยากรามือแค่นี้ไหม”
“ทางใครทางมันไม่ดีกว่าหรือ”
หัวคิ้วของจักรพรรดิธรรมเทียนตูขมวดจนเป็นปมยิ่งกว่าเดิม
หมาขนทองดูจองหองหาใดเปรียบ ขยับพูดออกมาสองคำชัดๆ “ไม่ดี”
จักรพรรดิธรรมเทียนตูกล่าว “ข้าได้ยินว่าเจ้านายของเจ้าล่วงเกินจักรพรรดิสวรรค์ดำรง ขนาดเขาเย่อหยิ่งเช่นนั้นก็ไม่อาจไม่ซ่อนตัว เจ้า… ไม่กลัวหรือ”
“โฮก!”
หมาขนทองคำราม กระโจนเข้าใส่เต็มแรง
แควก!
ชายเสื้อข้างหนึ่งถูกฉีกขาด
ด้วยฝีมือเทียมฟ้าของจักรพรรดิธรรมเทียนตูยังเกือบถูกกัด แค่คิดก็รู้แล้วว่าหมาขนทองตัวนี้ดุดันเพียงใด!
จักรพรรดิธรรมเทียนตูไม่ได้ลังเลและไม่ได้โจมตีกลับ เริ่มหนีอีกครั้ง เขารู้ดีว่าทันทีที่ถูกหมาตัวนี้เข้ามาข้องแวะ คิดจะปลีกตัวล้วนยากนัก
ดังนั้นเมื่อหนีครั้งนี้ จักรพรรดิธรรมเทียนตูจึงใช้พลังทั้งหมด
“ลาหัวโล้น เจ้าหนีไม่รอดหรอก!”
หมาขนทองตะโกนพลางสาวเท้าทั้งสี่ไล่ตามไป
ไม่ทันไรหนึ่งคนหนึ่งสุนัขก็หายไปจากแคว้นหนาวเหน็บ
…
ในโลกลึกลับแห่งหนึ่ง ภูผาธาราและสรรพสิ่งล้วนปกคลุมด้วยกลิ่นอายเร้นลับขุ่นมัว ทำให้ฟ้าดินหมื่นลักษณ์มีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่ดูเก่าแก่ดึกดำบรรพ์
กลางโลกลึกลับแห่งนี้มีแท่นมรรคหนึ่งตั้งอยู่ บนแท่นมรรคมีสองเงาร่างนั่งอยู่
เงาร่างหนึ่งทรงสง่าสูงโปร่งนั่งเงียบๆ พลังระเบียบกฎเกณฑ์หลายสายที่เหมือนภาพฝันร้อยถักเข้าด้วยกัน ละอองแสงโปรยปราย ขับเน้นให้นางดูลึกลับดั่งเซียน
เงาร่างนี้ก็คือซี!
ส่วนอีกร่างที่อยู่ตรงหน้านางก็นั่งเงียบเช่นกัน แต่กลับเหมือนราชันแห่งฟ้าดาราที่สูงส่งคนหนึ่ง โครงร่างตระหง่านเหมือนเสาที่ค้ำจุนฟ้าดิน
ทั้งสองคนเงียบมานานแล้ว
ด้วยความหยิ่งทะนง หรือพูดได้ว่าเป็นการประลองที่มองไม่เห็น ใครก็ไม่อยากเอ่ยปากก่อนเป็นคนแรก
ตั้งแต่เข้ามาในแดนลับนี่ จนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาสองเดือนแล้ว พวกเขาต่างไม่เคยพูดกันสักประโยค
ย่อมดูแปลกประหลาดเป็นธรรมดา
แต่ดูออกว่าทั้งสองคนล้วนมีความอดทนอย่างยิ่ง ราวกับความเงียบนี้สามารถยืนหยัดไปได้หลายปี
กริ๊ง!
เสียงใสราวหยกประดับกระทบกันดังขึ้น ทำลายความเงียบสงัดของฟ้าดินแถบนี้
ชายที่สันโดษเย่อหยิ่งมุ่นคิ้ว มองซีที่อยู่ตรงหน้า ยกมือขึ้นไปคว้าม้วนหยกส่งสารมาไว้ในมือ
หลังพิจารณาเนื้อหาในม้วนหยกครู่หนึ่ง สายตาของชายคนนั้นก็มองมายังซีที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง ในที่สุดก็เอ่ยปาก
เสียงของเขาราวกับสัทครรลองมหามรรค เสียดลึกถึงก้นบึ้งหัวใจ “มีแค่เด็กที่เลือกใช้ความเงียบมาแสดงความหยิ่งทะนงของตน ข้าช่วยเจ้าไว้ เจ้าก็ควรแสดงความขอบคุณด้วยตนเอง”
ซีเหลือบตามองเขาเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร
แต่ชายคนนั้นเหมือนอ่านความนัยในแววตาของนางออก คล้ายกำลังบอกว่าเจ้าเอ่ยปากเป็นคนแรก นั่นก็หมายความว่าด้านความอวดดีและหยิ่งทะนง เจ้าสู้ข้าไม่ได้
นี่ทำให้ชายหนุ่มอดเลิกคิ้วไม่ได้ ในใจรู้สึกแปลกๆ
หลายปีมานี้เขามาดมั่นและหยิ่งทะนงถึงขีดสุดอยู่เสมอ เย่อหยิ่งจนเข้ากระดูก และอวดดีถึงขั้นไม่เห็นใครในสายตา
เขาเคยกล่าวว่าความหนักแน่นของมหามรรคกดทับความหยิ่งทะนงข้าไม่ได้ ต่อให้มีศัตรูทั่วหล้าก็ไม่อาจทำลายความหยิ่งทะนงได้เพียงเสี้ยว
แต่เขาก็ไม่คิดว่ามีอะไรแปลก
หรือพูดได้ว่าเขาคิดว่านี่เป็นเรื่องที่ธรรมดาอย่างมาก ด้วยเดิมทีเขาก็เป็นคนเช่นนี้ คำว่าหยิ่งทะนงอยู่กับเขามาทั้งชีวิต
ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าใจนัก ทำไมซีถึงอยากใช้วิธีนี้มาแข่งกับเขา ความหยิ่งทะนง… ควรค่าแก่การประลองหรือ
ดังนั้นเขาจึงกล่าวอย่างจริงจัง “เด็กน้อย”
ซียังคงไม่พูดจา เพียงแต่มองเขาเงียบๆ
“น่าสนใจ”
ชายหนุ่มยิ้มอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ส่ายม้วนหยกในมือพลางกล่าว “สิ่งที่บันทึกอยู่ในนี้คือข่าวของเจ้าหมอนั่นที่เจ้าเป็นห่วงที่สุด เจ้าไม่อยากรู้หรือ”
เวลานี้ซีคิดดูครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เอ่ยปาก “เขาเป็นศิษย์น้องของเจ้า คนที่เป็นห่วงเขาที่สุดควรเป็นเจ้าถึงจะถูก”
น้ำเสียงเยียบเย็นราวน้ำแข็ง
แต่เมื่อเห็นว่านางเปิดปากก็ทำให้ชายหนุ่มอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ กล่าวว่า “ไม่ว่าจะพูดอย่างไร สุดท้ายเขาก็ผู้สืบทอดของคีรีดวงกมล ต่อให้ยังไม่ได้การยอมรับจากข้า แต่… จับตาดูการเคลื่อนไหวของเขาหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไร”
เขาพูดพลางส่งม้วนหยกให้ซี
ซีลังเลเล็กน้อย แต่ก็รับมาเปิดอ่านดู
“คนผู้หนึ่ง ใช้เวลานานสองเดือนกว่าจะก่อคลื่นลมได้แค่นี้ ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่จะทำให้ข้าอยากไปเจอเขาจริงๆ”
ชายหนุ่มกล่าวเสียงเรียบ
ซีเงยหน้ามองเขาแล้วเอ่ยถาม “ตอนที่เจ้าอยู่ระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิ หากเผชิญหน้ากับระดับจักรพรรดิขั้นแปดเจ้าจะรับมืออย่างไร”
ชายหนุ่มกล่าวโดยไม่ลังเล “ข้าไม่มีทางเปิดโอกาสให้ระดับจักรพรรดิขั้นแปดมากำราบข้าแน่”
“ถ้าหากได้เจอล่ะ”
ชายหนุ่มดูมาดมั่นหาใดเปรียบ วาจาราบเรียบ “ไม่มีคำว่าถ้าหาก”
ซีกล่าว “เช่นนั้นข้าจะบอกคำตอบกับเจ้า หากเจ้าเป็นเขา ด้วยความหยิ่งทะนงที่เจ้าแสดงให้เห็นย่อมมีแต่ตายสถานเดียว ด้วยเจ้าคงไม่หนีและไม่ยอมขอความช่วยเหลือ แต่ถ้าสู้สุดชีวิตก็เหมือนเอาไข่ไปกระทบหิน นอกจากตายแล้วก็ไม่มีโอกาสเป็นอย่างอื่น”
ชายหนุ่มกล่าวเสียงเรียบ “ทั้งหมดที่เจ้าพูดมาล้วนเป็นสมมุติฐาน ข้าก็จะบอกเจ้าให้ ตั้งแต่ฝึกปราณมาถึงตอนนี้ ข้าไม่เคยปล่อยโอกาสให้ศัตรูคนใดมาสังหารข้า ตอนนี้… เจ้าก็เห็นแล้ว บนโลกนี้คนที่ฆ่าข้าได้มีอยู่ไม่กี่คน”
ซีคิดดูครู่หนึ่งแล้วกล่าว “เจ้าเย่อหยิ่งกว่าที่ข้าจินตนาการไว้อยู่บ้าง”
ชายหนุ่มเอ่ยแก้ “ใจข้ามีความหยิ่งทะนง ตัวมีความหยิ่งในศักดิ์ศรี ไม่มีก็แต่ความเย่อหยิ่ง ต่างกันเพียงคำเดียว แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน”
ซีร้องอ้อคราหนึ่งแล้วจมสู่ความเงียบ
ชายหนุ่มกลับหยัดร่างขึ้นกล่าว “รอเมื่อโอกาสมาถึง ข้าจะให้เจ้าจากไปแน่ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้”
“อีกอย่างผู้หญิงที่ชื่อเหยี่ยนซิงคนนั้นทำทุกทางจนโชคดีหอบชีวิตหนีไปได้ หากเป็นไปดังคาด นางต้องไปขอความช่วยเหลือจากจักรพรรดิสวรรค์ดำรงแน่นอน”
พูดถึงตรงนี้ชายหนุ่มก็เผยความลับหนึ่งออกมา “แต่จักรพรรดิสวรรค์ดำรงมุ่งหน้าไปแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์แล้ว คงไม่คิดจะปลีกตัวออกจากที่นั่นเร็วนัก แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์… ไม่ใช่สถานที่ซึ่งใครๆ เข้าออกได้ตามใจชอบ”
ซีเหลือบมองเขาเล็กน้อยแล้วกล่าว “เจ้ายังไม่ได้บอกข้าว่าทำไมถึงไม่ให้ข้าจากไป”
ชายหนุ่มกล่าว “ถ้าเจ้าอยู่ข้างกายเขา ย่อมรังแต่จะทำให้เขาเสียโอกาสหาจุดเปลี่ยนแสวงมรรคของตนเอง”
“จุดเปลี่ยน?”
“ใช่ จุดเปลี่ยนที่เกี่ยวข้องกับยอดหนทางสู่อมตะ”
ชายหนุ่มพูดพลางหันหลังจากไป
“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงเขา แต่อย่าลืมสิ ในฐานะที่ข้าเป็นศิษย์พี่ของเขา ก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว… อันที่จริงข้าก็รอเขาอยู่…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงเขาก็หายไปจากโลกลึกลับแห่งนี้แล้ว
ซีนั่งอยู่บนแท่นมรรคเพียงลำพัง จมสู่ห้วงคิด เงาร่างทรงสง่าเหมือนภาพมายาและพร่าเลือน
ไม่กี่เดือนก่อนนางสู้กับเหยี่ยนซิง ยามบาดเจ็บสาหัสได้ซัดอีกฝ่ายจนพ่ายยับเยิน แต่ตอนที่กำลังจะสังหารอีกฝ่ายกลับเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น พลังระเบียบต้องห้ามมาเยือนกะทันหัน ทำให้นางตกอยู่ในสภาพสิ้นหวัง
ในช่วงเวลาวิกฤต ชายที่เรียกตัวเองว่าศิษย์พี่ของหลินสวินคนนี้ได้ปรากฏตัวมาช่วยนางไว้…