หลังจากชายหนุ่มเดินออกมาจากโลกลึกลับก็ก้าวเท้าเบาๆ ก้าวหนึ่ง
ครู่ต่อมาเขาก็มาถึงบนฟ้าดาราที่กว้างใหญ่ไพศาล เขายืนไขว้หลัง ก้มมองโลกมืดมหึมาที่ไกลออกไปนั้นจากเบื้องสูงเงียบๆ
ก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว เขาก็รู้ว่าพลังระเบียบต้องห้ามที่มาจากอีกฟากฝั่งได้แต่ปกคลุมอยู่บนทางเดินโบราณฟ้าดารานี้เท่านั้น ไม่อาจแทนที่พลังระเบียบต้นกำเนิดของทางเดินโบราณฟ้าดาราได้
แดนปริศนาของโลกใหญ่หงเหมิงที่จนปัจจุบันแล้วยังไม่เคยถูกสำรวจก็มีพลังระเบียบต้นกำเนิดเช่นกัน นี่ก็คือสาเหตุที่ว่าทำไมมหาสมบัติแรกกำเนิดที่เกิดในนั้นสามารถต้านทานและสลายระเบียบต้องห้ามได้
เขายังรู้ว่า ‘เคราะห์จ่อมจม’ สองครั้งที่เกิดขึ้นในกาลเวลาที่ผ่านมา ก็มาจากการเปลี่ยนแปลงประหลาดของระเบียบต้นกำเนิดบนทางเดินโบราณฟ้าดารา
และ ‘เคราะห์จ่อมจม’ ครั้งที่สามซึ่งจะปรากฏขึ้นหลังจากนี้หนึ่งปี ก็จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสุดท้ายของพลังระเบียบต้นกำเนิดบนทางเดินโบราณฟ้าดารา!
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ไร้ผู้ขัดขวาง ไม่มีใครต้านทานได้
ต่อให้เป็นพลังระเบียบต้องห้ามที่ควบคุมโดยจักรพรรดิสวรรค์ดำรงก็ไม่อาจเข้ามาก่อกวน!
ยอดหนทางสู่อมตะ แดนปรินิพพาน
เคราะห์จ่อมจมชั่วกัปกัลป์ ดอกบัวเบ่งบาน
นี่คือมรรคคาถาที่ตกทอดมานานแล้วบทหนึ่ง แทบจะไม่มีใครรู้ที่มาของมัน
แต่เขารู้
มรรคคาถาบทนี้คือสิ่งที่เจ้าแห่งคีรีดวงกมลอาจารย์ของเขาเหลือทิ้งไว้ในช่วงต้นสมัยดึกดำบรรพ์
จนถึงตอนนี้เขายังจำได้ดี เพื่ออนุมานการเปลี่ยนแปลงประหลาดที่เกิดจากพลังระเบียบต้นกำเนิด อาจารย์ได้จ่ายค่าตอบแทนอย่างหนักหน่วง
ไม่อย่างนั้นด้วยมรรควิถีของอาจารย์ ย่อมไม่มีทางจากไปเช่นนั้นแน่…
นึกถึงตรงนี้ในใจชายหนุ่มพลันหดหู่
เงียบงันนานพอควร เขาสูดหายใจลึก ในดวงตาฉายแววเด็ดเดี่ยว
ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมาเขาควบคุมปกครองโลกมืด ต่อให้การประชันหมากครั้งใหญ่นั่นปะทุขึ้นเขาก็ไม่เคยจากไป
ทั้งหมดก็เพื่อรอ ‘ดอกบัวที่เบ่งบาน’ นั้น!
นี่คือความปรารถนาของอาจารย์
“นายท่าน” เสียงหนักเข้มราวฟ้าผ่ากระหน่ำพลันดังขึ้น ชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่สูงประมาณหนึ่งจั้งปรากฏตัวกลางอากาศ ทั้งตัวอบอวลด้วยสายฟ้าสีดำน่าหวาดกลัว แค่หายใจเข้าออกก็เหมือนวายุอสนีสะท้านสะเทือน
“ว่ามา”
ชายหนุ่มสีหน้าเรียบเฉย ยืนสบายๆ แต่ประหนึ่งสันโดษอิสระ
“สถานการณ์คืบหน้าไปอย่างราบรื่น เมี่ยฉยงขวางจักรพรรดิกระบี่เทียนฉงไว้ได้แล้ว”
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำกล่าวอย่างนอบน้อม “เพียงแต่… ฝั่งต้าหวงกลับเกิดคลื่นลมเล็กน้อย” กล่าวถึงตอนท้าย เขาสีหน้าพิลึกพิลั่น
ชายหนุ่มกล่าวเหมือนเดาอะไรออกอยู่ก่อนแล้ว “ก่อเรื่องอีกแล้วรึ”
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำพยักหน้า ยิ้มขื่นกล่าว “ต้าหวงไล่ตามจักรพรรดิธรรมเทียนตูนั่นไปตลอดทาง กระทั่งพุ่งเข้าไปในอาณาเขตของแดนกษิติครรภ์ ระหว่างทางยังตะโกนว่าอุตส่าห์ได้ออกมาเดินเล่น ย่อมต้องฆ่าลาหัวโล้นของแดนกษิติครรภ์ให้หมด…”
ชายหนุ่มอึ้งไป หัวเราะขึ้นมาอย่างยากจะได้เห็น “ดูท่าว่าต้าหวงจะรู้ใจข้าที่สุด รู้ว่าคนที่ข้าเกลียดที่สุดก็คือพวกลาหัวโล้นนั่น”
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำกล่าวอย่างกังวล “นายท่าน ได้ยินว่าฝั่งแดนกษิติครรภ์จะส่งระดับบรรพจารย์จักรพรรดิไปจัดการต้าหวง ข้าห่วงว่า…”
ชายหนุ่มกล่าวอย่างไม่สนใจ “ตีสุนัขยังต้องดูเจ้าของ พวกเขาจะกล้าฆ่าต้าหวงหรือ”
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำกล่าว “แต่… พวกเขาล้วนพูดว่านายท่านถูกจักรพรรดิสวรรค์ดำรงผูกพยาบาทจนเผ่นแน่บไปซ่อนตัวแล้ว ไม่กล้าปรากฏตัวในโลกมืดอีก”
ชายหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่งจึงกล่าว “พวกเขาพูดถูก หนึ่งปีหลังจากนี้ข้าจะไม่ปรากฏตัวอีกจริงๆ ไปบอกต้าหวงว่าหากกล้าทำให้ข้าเสียการใหญ่ ข้าจะฆ่ามันมาตุ๋นกิน”
ตุ๋นกิน…
พอนึกถึงสมบัติจากธรรมชาตินับไม่ถ้วนที่ถูกหมาขนทองตัวนั้นกินไปในช่วงหลายปีนี้ คิดถึงเนื้อน่องอันโอชะน่าเย้ายวนนั่นของมันแล้ว ชายฉกรรจ์ร่างกำยำน้ำลายแทบหก
ตั้งแต่ต้าหวงปรากฏตัวที่หอวิหคทองแดง คนเก่าแก่ในหอวิหคทองแดงอย่างพวกเขาล้วนไม่ได้กินเนื้อสุนัขมานานมากแล้ว…
เหตุผลนั้นง่ายมาก ใครกินเนื้อสุนัขย่อมถูกต้าหวงขย้ำอย่างบ้าคลั่ง ทั้งพลังต่อสู้ของต้าหวงก็วิปริตหาใดเปรียบ ผู้อาวุโสในหอวิหคทองแดงล้วนมีประสบการณ์น่าเจ็บปวดที่ถูกหมาไล่กัดทั้งสิ้น
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำกลืนน้ำลายอย่างไร้ร่องรอยพลางกล่าว “นายท่าน ข้าจะนำคำพูดของท่านไปบอกต่ออย่างครบถ้วน”
เขาพูดพลางถูไม้ถูมือรีบจากไป
‘ปีนี้ข้ากันลมฝนให้เจ้า ปีหน้าหากเจ้ายังไม่ได้การยอมรับจากข้าอีก…’
สายตาของชายหนุ่มจ้องมองไปยังโลกมืด
‘เช่นนั้นก็ไม่คู่ควรจะเป็นศิษย์น้องเล็กของข้าจ้งชิว’
…
สมัยดึกดำบรรพ์
มีเด็กชื่อจ้งชิว หยิ่งทะนงโดยกำเนิด เจ้าแห่งคีรีดวงกมลรับเขาไว้เป็นศิษย์ จัดอยู่ในลำดับที่สอง ตั้งฉายามรรคว่า ‘เชียนอวี้’
สัตบุรุษย่อมอ่อนน้อม นุ่มนวลดุจหยก (เชียน ภาษาจีนแปลว่า อ่อนน้อม อวี้ ภาษาจีนแปลว่า หยก)
แต่น่าเสียดาย จ้งชิวไม่ใกล้เคียงกับสัตบุรุษเลยแม้แต่น้อย ตั้งแต่ฝึกปราณมาถึงตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าความถ่อมตัวคือสิ่งใด
เขาหยิ่งทะนงเป็นอย่างยิ่ง มีคนบอกว่าเขาหยิ่งผยอง มีคนพูดว่าเขาไม่เห็นใครในสายตา และมีคนบอกว่าเขาเย่อหยิ่งจองหอง ไม่ช้าก็เร็วต้องประสบเคราะห์…
ด้วยหยิ่งทะนงเกินไป เจ้าแห่งคีรีดวงกมลจึงยอมถอนฉายามรรคของเขาคืนเป็นกรณีพิเศษ ยิ้มพลางทอดถอนใจ ‘ความหยิ่งทะนงของจ้งชิวเหมือนจิตใจของเขา มรรควิถียิ่งสูง ใจเขาก็ยิ่งหยิ่งทะนง ไม่อาจเปลี่ยนแปลง ทั้งไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน…’
ตั้งแต่นั้นมาในหมู่ศิษย์สำนักเดียวกัน เขาก็เป็นคนที่หยิ่งทะนงที่สุดของคีรีดวงกมล
ในสายตาของคนทั่วไป คนใหญ่คนโตนับตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ไม่เคยมีใครหยิ่งทะนงยิ่งกว่าเจ้าแห่งหอวิหคทองแดงของโลกมืด
สรุปคือหากเป็นไปดังคาด คำว่าหยิ่งทะนงนั้นก็อยู่กับจ้งชิวมาทั้งชีวิตแล้ว
…
โลกมืดมีสามสิบสามแคว้น แคว้นหนาวเหน็บเป็นแค่หนึ่งในนั้น
หลังจากกำราบมหาจักรพรรดิปาฉี หลินสวินก็จากแคว้นหนาวเหน็บไป เดินทางอย่างเร่งรีบ ผ่านไปครึ่งเดือนก็มาถึง ‘แคว้นอุดม’
ในหุบเขาที่อบอวลด้วยหมอกชั่วร้ายแถบหนึ่ง
หลินสวินนั่งขัดสมาธิ รอบตัวเขามีกระบวนผนึกลายมรรคโคจร ตัดขาดการกัดกร่อนของหมอกร้าย
เวลาครึ่งเดือน หลังจากหลอมโอสถเทพและสมบัติจากธรรมชาตินานัปการไปจำนวนมหาศาล มรรควิถีที่ถูกอภินิหารหยุดเวลาส่งผลสะท้อนกลับนั้นของเขาก็ฟื้นฟูกลับมานานแล้ว ผมขาวดุจหิมะทั้งศีรษะเปลี่ยนเป็นดำขลับใหม่อีกครั้ง พลังขับเคลื่อนทั่วร่างก็ฟื้นคืนสภาพยอดเยี่ยม
เย่จื่อกำลังปิดด่านอยู่ในกล่องกระบี่ อู้เชวียก็กลับเข้าไปในธนูวิญญาณไร้แก่นสาร วิญญาณของดาบหักก็กลับไปเช่นกัน
วิญญาณอาวุธทั้งสามมีประโยชน์อย่างมากในการต่อสู้กับมหาจักรพรรดิปาฉี แต่ก็ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงเช่นกัน
เดิมทีพลังดั้งเดิมของพวกเขาก็ยังไม่ฟื้นตัวกลับมาอย่างสมบูรณ์ หลังจากผ่านการต่อสู้นี้ก็เหมือนทำให้พวกเขากลับไปสู่สภาพเดิมอีกครั้ง
ในเวลาอันสั้นคงไม่อาจช่วยหลินสวินได้อีกแน่
แต่หลินสวินกลับไม่กังวล
ถ้าคู่ต่อสู้ในครั้งนี้ไม่ใช่มหาจักรพรรดิปาฉี หากแต่เปลี่ยนเป็นระดับจักรพรรดิขั้นแปดคนอื่น หลินสวินย่อมไม่มีทางสู้สุดชีวิตเช่นนี้แน่
และการต่อสู้ที่ทุ่มสุดตัวเช่นนี้ ภายหน้าคงยากจะเกิดขึ้นอีกครั้งแน่นอน
ฮู่ว…
เนิ่นนานกว่าหลินสวินจะตื่นจากสมาธิ เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังที่พลุ่งพล่านรอบตัว รวมถึงพลังขับเคลื่อนที่เดือดพล่านกู่ก้องนั้นแล้วก็อดถอนหายใจยาวไม่ได้
ในที่สุดก็ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์แล้ว!
หลินสวินไม่ลังเลอีก นำเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุดออกมาแล้วขับเคลื่อนความคิด
ตึง!
มหาจักรพรรดิปาฉีที่ถูกกักขังไว้อย่างสมบูรณ์กลิ้งลงไปกองกับพื้น เขาเหลือเพียงลมหายใจรวยริน พลังขับเคลื่อนทั่วร่างถดถอย ตื่นขึ้นมาจากการสลบไสล
เมื่อทัศนวิสัยกลับมาชัดเจน เห็นหลินสวินยืนอยู่ตรงหน้า เขาอดกล่าวด้วยเสียงแหบพร่าไม่ได้ “เจ้าหนู ในที่สุดก็ทนไม่ไหว อยากลงมือเค้นถามความจริงในปีนั้นแล้วหรือ”
“เค้นถาม?”
หลินสวินส่ายหัว “ไม่หรอก ข้าก็ไม่มีทางเชื่อคำพูดที่หลุดออกมาจากปากคนอย่างเจ้าแน่”
เขาพูดพลางสะบัดปลายนิ้ว เงาแสงสีเขียวเลือนรางยากจับต้องหลายสายแผ่ละอองแสงพร่าเลือน งามตระการยิ่งนัก
นัยน์ตาปาฉีหดรัด ในใจลนลานอย่างไม่อาจอธิบายได้ “หากเจ้าจะสืบค้นจิตวิญญาณของข้า นั่นก็ละเมอเพ้อพกแล้ว อย่าลืมสิ ข้าเป็นระดับจักรพรรดิขั้นแปด แค่ห้วงคิดหนึ่งก็บดขยี้พลังจิตวิญญาณทั้งหมดของเจ้าได้!”
หลินสวินไม่พูดจา ทำหูทวนลม มีเพียงปลายนิ้วที่กดไปตรงหว่างคิ้วของปาฉีเบาๆ
หากเจตจำนงจิตวิญญาณของปาฉียังอยู่ แน่นอนว่าต้องฆ่าหลินสวินได้ในหนึ่งห้วงคิด
น่าเสียดาย วิญญาณของดาบหักเฉือนจิตวิญญาณของเขาจนแหลกไปนานแล้ว มรรควิถีทั้งร่างล้วนถูกทำลาย เหลือเพียงวิญญาณแหว่งวิ่นที่ยังถูกกักขังไว้แน่นหนา
ในสายตาของหลินสวิน ปาฉีไม่ใช่ระดับจักรพรรดิขั้นแปดที่ฝีมือเทียมฟ้านานแล้ว หากแต่เป็นแพะรอเชือดตัวหนึ่ง
“เจ้าสวะ ระวังขโมยไก่ไม่ได้ยังจะเสียข้าวสารอีกกำมือ! เจตจำนงของระดับจักรพรรดิใช่สิ่งที่พวกด้อยคุณภาพอย่างเจ้าสั่นคลอนได้หรือ”
ดวงตาปาฉีปูดโปนแทบถลน ลางสังหรณ์ไม่เข้าทีในใจเขาเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ แผดเสียงคำรามขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่อีก
แต่ไม่นานเขาก็สีหน้าแปรเปลี่ยนครั้งใหญ่ “นี่คือพลังอะไร ทำไมถึงแฝงตัวเข้าไปในใจของข้าได้…”
“ไม่…!”
น้ำเสียงเจือความตระหนกและขุ่นเคือง แต่ยังพูดไม่จบปาฉีก็คอพับ ตกอยู่ในสภาพหลับใหลอย่างแปลกประหลาด
ราวกับถูกสะกดจิต
หลินสวินเก็บปลายนิ้วที่กดหว่างคิ้วของปาฉีลงไป นี่คือวิชาลับอัศจรรย์อย่างหนึ่งที่บันทึกไว้ใน ‘มหาคัมภีร์ก่อเกิดใจ’ ของศิษย์พี่รั่วซู่ มีชื่อว่า ‘หนึ่งห้วงฝัน’
สามารถทำให้คู่ต่อสู้ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้สึกตัว สูญเสียพลังต้านทานทั้งหมด
วู้ม!
หลินสวินสูดหายใจลึก สองมือประสานเป็นมุทราประหลาดสายหนึ่ง พลังที่มองไม่เห็นปรากฏออกมา ชอนไชเข้าไปในร่างของปาฉี
เบื้องหน้ามุทราที่หลินสวินทำเผยภาพที่แตกเป็นเสี่ยงนับไม่ถ้วนทันที ทยอยปรากฏออกมา
นี่คือวิชาลับอีกอย่างหนึ่งนามว่า ‘ประทับก่อเกิดใจ’ สามารถปลุกความทรงจำและประสบการณ์ทั้งหมดในจิตวิญญาณและสภาวะจิตของอีกฝ่ายได้ แปลงเป็นภาพสะท้อนออกมา
ภาพต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าหลินสวินในตอนนี้ ก็คือภาพในความทรงจำของปาฉี
ระดับจักรพรรดิขั้นแปด มีชีวิตอยู่บนโลกมาไม่รู้กี่ปี ผ่านเรื่องทางโลกมาเท่าไหร่ ความทรงจำย่อมเรียกได้ว่ายิ่งใหญ่มหาศาลอย่างไม่ต้องสงสัย
ผ่านไปหนึ่งก้านธูปเต็มๆ หลินสวินจึงพบ ‘ความจริง’ ส่วนหนึ่งที่ตนอยากรู้!
ในที่สุดเขาก็รู้ว่าปีนั้นปาฉีมาตามคำสั่ง เป้าหมายคือทำลายกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ
สมรภูมิหลักของศึกมรรคสิบทิศ ก็อยู่ที่กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิของดินแดนรกร้างโบราณที่มีถูกเรียกว่า ‘ปราการฟ้าด่านแรกดินแดนรกร้างโบราณ สถานที่หยุดเท้าของจอมจักรพรรดิ’ นั่น…
ถ้าทำลายกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิก็จะยึดครองดินแดนรกร้างโบราณได้ ด้วยดินแดนรกร้างโบราณมีสมญาว่า ‘แดนต้นกำเนิดหมื่นมรรค’
เขายังได้รู้ว่า ‘โลกชั้นล่าง’ ที่เขารู้จักคุ้นเคย ก็คือโลกที่วิวัฒน์มาจากพลังต้นกำเนิดของดินแดนรกร้างโบราณที่ถูกซัดกระจายในศึกมรรคสิบทิศ…
กระทั่งได้เห็นภาพที่ปาฉีพาอวิ๋นชิ่งไป๋ไปแฝงตัวในโลกชั้นล่าง จนมาถึงจักรวรรดิจื่อเย่า หลินสวินกำสองมือแน่นเงียบๆ ใจที่เข้มแข็งมาตลอดเจือความกังวลเสี้ยวหนึ่งอย่างไม่อาจอธิบายได้
ความจริงของเหตุการณ์นองเลือดในตระกูลหลินปีนั้น เขาพอเดาออกเกือบหมดอยู่ก่อนแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็เป็นแค่การสันนิษฐาน ไม่เคยเห็นภาพนองเลือดพวกนั้นกับตา
แต่ตอนนี้เหตุการณ์ต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นในปีนั้นปรากฏขึ้นอีกครั้งในความทรงจำของปาฉี ถูกตนเห็นอยู่ในสายตาทีละภาพ!
……………………..