สามเดือน!
เอาชนะพลังเจตจำนงที่ยอดบุคคลดึกดำบรรพ์สามสิบห้าทิ้งเอาไว้!
ตอนได้รู้ข่าว ชิงอิง ชายผีสุรา และต้าหวงที่ยืนรอข่าวอยู่นอกนรกอำพรางมาตลอดล้วนอึ้งงัน
“นี่ไม่ได้ฝันไปกระมัง ไม่ก็เจ้าหลิงอู่กำลังต้มพวกเราอยู่”
ต้าหวงแหกปากขึ้นมา ตอนนี้มันแทบอยากกระโจนเข้าไปดูในนรกอำพรางนั่นใจจะขาด
สามเดือนมานี้ ชายชุดเทาหรือก็คือจักรพรรดิสงครามหลิงอู่ จะส่งข่าวการทะลวงแดนผนึกมรรคของหลินสวินมาทุกๆ สิบวัน
แต่ละครั้งล้วนทำให้ต้าหวงรู้สึกแตกตื่นตกใจ อ้าปากตาค้าง
จนกระทั่งบัดนี้ เมื่อได้ยินว่าอีกแค่ก้าวเดียวหลินสวินก็จะทะลวงผ่านแดนผนึกมรรคนั่นได้ ก็เหมือนมีร้อยกรงเล็บขยุ้มใจ ร้อนลนอย่างบอกไม่ถูก อยากรู้ความเป็นไปในนั้นยิ่ง
“หลิงอู่ไม่กล้าพูดปดเรื่องเช่นนี้หรอก อย่าลืมว่าข่าวพวกนี้ต้องส่งให้นายท่านอ่านทั้งหมด เขาจะกล้าปลอมแปลงได้อย่างไร”
ผีสุราสูดหายใจลึกกล่าวเสียงขรึม “ไม่ว่าอย่างไร ที่คาดการณ์ได้คือสำหรับเจ้าหลินสวินคนนี้ แพ้ชนะก็อยู่ที่จุดนี้!”
ชิงอิงเริ่มเครียดขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
นางเคยอ่านบันทึกโบราณมากมาย เคยทำความเข้าใจว่าพลังเจตจำนงที่แปรสภาพเป็นกระถางใหญ่ในแดนผนึกมรรคนั่นเป็นพวกน่ากลัวเหลือแสน
ปีนั้นเจ้าหอวิหคทองแดงก็เคยประสบการกำราบจากกระถางใหญ่นี้เช่นกัน แต่สุดท้ายไม่รู้ใช้วิธีอะไรจึงออกจากแดนผนึกมรรคได้สำเร็จ
แน่นอน ชิงอิงย่อมหวังว่าหลินสวินจะผ่านไปได้อย่างราบรื่นเหมือนกับศิษย์พี่รองคนนั้นของเขา แต่สุดท้ายในใจก็ยังไม่มั่นใจ
“เช่นนั้นก็มีแต่ต้องรออยู่ที่นี่แล้ว…”
ต้าหวงคร่ำครวญ มันอยากไปดูสักหน่อยจริงๆ น่าเสียดายความแข็งแกร่งที่มันมีในตอนนี้ไม่สามารถเข้าสู่ชั้นนั้นได้
…
ในโลกลับแห่งหนึ่ง
จ้งชิวอ่านข่าวล่าสุดแล้วอดอึ้งไปไม่ได้ สามเดือนหรือ
อึดใจนี้จิตใจเขาเกิดความแปลกใจล้นปรี่ นี่เหนือการคาดเดาของเขาอย่างสิ้นเชิง
หรือก็คือ เขาคิดไม่ถึงว่าศิษย์น้องเล็กอย่างหลินสวิน ที่แท้ก็มีฝีมือโดดเด่นกว่าที่ตนจินตนาการไว้!
“เรื่องราวต่างไปแล้ว คนรุ่นใหม่มาแทนคนเก่า หากเป็นเจ้าในปีนั้น เกรงว่าอยู่ต่อหน้าหลินสวินก็คงภูมิใจไม่ขึ้นสักนิด”
ซีนั่งอยู่ด้านข้างเอ่ยพูดเรียบเรื่อย เงาร่างอ้อนแอ้นรายล้อมด้วยละอองแสงลึกลับ ราวฝันมายา ไร้มลทินและผ่องแผ้วศักดิ์สิทธิ์
ประโยคนี้ของนางกระเทือนจ้งชิวอีกครั้งอย่างไม่ต้องสงสัย
ก็เห็นจ้งชิวหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ กล่าวว่า “หากเขามีฝีมือแค่เหมือนข้าในปีนั้น จะมีคุณสมบัติเป็นผู้สืบทอดคนสุดท้ายของคีรีดวงกมลได้อย่างไร”
เขาหยุดไปครู่หนึ่งค่อยกล่าวต่อ “อีกอย่าง ยิ่งเขาฝีมือโดดเด่นเท่าไหร่ ก็ยิ่งสมควรให้ข้าภูมิใจ อย่างไรเสียตามศักดิ์แล้ว ข้าก็เป็นศิษย์พี่รองของเขา”
น้ำเสียงราบเรียบเจือแววภาคภูมิใจ
ซีเหลือบมองเขาปราดหนึ่ง กล่าวว่า “นี่หมายความว่าเจ้ายอมรับเขาแล้วหรือ”
จ้งชิวเลี่ยงไม่ตอบ แค่กล่าวว่า “ปีนั้นในแดนผนึกมรรค ข้าเคยจัดการเจตจำนงกระถางใหญ่ใบหนึ่ง ค่าตอบแทนที่จ่ายไปหนักหนาสาหัสนัก สุดท้ายถึงได้รับแค่การยอมรับจากอีกฝ่าย และยอมให้ข้าจากไป ข้าหวังว่าเขาจะโค่นเจตจำนงกระถางใหญ่ใบนั้นได้”
“ล้างความอัปยศให้เจ้าหรือ” คำพูดของซีคมกริบยิ่ง
จ้งชิวยังอดอึ้งไปครู่หนึ่งไม่ได้ กล่าวว่า “นี่เป็นเพียงบททดสอบหนึ่งเท่านั้น”
ซียิ้มบางๆ “เขาต้องช่วยเจ้ากู้หน้าระบายแค้นได้แน่”
“อะไรที่เรียกว่าช่วยข้ากู้หน้าระบายแค้น” จ้งชิวรู้สึกว่าความภาคภูมิใจของตนถูกท้าทาย “นี่เป็นเรื่องที่เขาในฐานะศิษย์น้องควรทำแต่เดิมอยู่แล้ว”
ซีอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
เจ้าจอมหยิ่งนี่ช่างปากแข็งจริงๆ เชียว
…
แดนผนึกมรรค
หลินสวินที่นั่งสมาธิจู่ๆ ก็ลืมตาขึ้น จากนั้นก็มองเห็นคู่ต่อสู้ตนสุดท้าย…
กระถางใหญ่ใบหนึ่ง
สามขาสองหู ประกายแสงสำริดไหลเวียน ปากกระถางพ่นไอขุ่นมัว ลอยเด่นอยู่ตรงนั้น มีอานุภาพพาดขวางทั่วหล้า กำราบหมื่นกาล!
พริบตาเดียวลมหายใจหลินสวินยังติดขัด
นี่จะเป็นพลังเจตจำนงซึ่งยอดบุคคลดึกดำบรรพ์เหลือทิ้งไว้ที่น่ากลัวปานใด
น่าสะพรึงจนทำให้คนเพียงมองปราดเดียวก็รู้สึกสิ้นหวัง จิตใจถูกสะเทือน เจตจำนงถูกกดกำราบ!
“ข้าจะให้เวลาเจ้าฟื้นฟูสภาพสมบูรณ์สูงสุดต่อ” เสียงไร้คลื่นอารมณ์ใดๆ สายหนึ่งลอยออกมาจากเจตจำนงกระถางใหญ่ใบนั้น
นี่ก็เป็นพลังเจตจำนงแรกซึ่งมีสติปัญญาที่หลินสวินได้พบ และยังมีรูปร่างเป็นกระถางใบหนึ่ง!
หลินสวินนิ่งเงียบครู่หนึ่งแล้วหยัดตัวขึ้นจากพื้น กล่าวว่า “ไม่ต้องแล้ว เอาชนะเจ้าแล้ว ข้ายังต้องมุ่งหน้าไปชั้นเก้า”
กระถางใหญ่ลอยกลางอากาศ หลั่งรินรัศมีแสงพร่ามัวมหาศาล ดุจประกาศิตสวรรค์สูงสุด อานุภาพแข็งแกร่งจนไม่อาจจินตนาการ
“ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดนี้ไม่มีใครเอาชนะข้าได้” มันเอ่ยปาก เสียงราบเรียบราวอธิบายข้อเท็จจริงที่แสนธรรมดาทั่วไป
“แต่นี่เพิ่งแค่ชั้นแปดเท่านั้น เท่าที่ข้ารู้ นรกอำพรางมีถึงสิบแปดชั้น” หลินสวินสีหน้าเรียบเฉยไม่หวั่นไหว ไม่ทุกข์ไม่สุข
“ขอเพียงมีปราณระดับจักรพรรดิ ล้วนสามารถมุ่งหน้าไปชั้นเก้าตรงๆ ได้ และที่ผ่านมาคนที่อยากผ่านที่นี่ไป ไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของข้าสักคน”
เจตจำนงกระถางใหญ่คล้ายไม่รีบร้อน เสียงเรียบเฉยเหมือนกำลังคุยเล่น
นี่เป็นท่าทีหยิ่งผยองสุดขีดอย่างไม่ต้องสงสัย
“สมัยดึกดำบรรพ์ไม่ใช่มีอยู่คนหนึ่งหรือ” หลินสวินพูดส่งๆ คนที่เขาเอ่ยถึงคือศิษย์พี่รองจ้งชิว
เจตจำนงกระถางใหญ่กล่าว “คนผู้นั้นแค่ได้รับการยอมรับจากข้า ไม่ถึงขั้นเอาชนะข้าได้”
หลินสวินนิ่งเงียบอย่างหาได้ยาก
ที่แท้… ปีนั้นศิษย์พี่รองก็ไม่ได้เอาชนะกระถางใบนี้หรือ
“เช่นนั้น…”
จู่ๆ หลินสวินก็เงยหน้าขึ้น เผยรอยยิ้มราบเรียบ “ข้าจะเป็นคนแรกที่เอาชนะเจ้าในหมื่นกาลเป็นอย่างไร”
ประโยคเดียวทำเอาเจตจำนงกระถางใหญ่นั่นนิ่งไปครู่หนึ่งกว่าจะส่งเสียงพูด “นับแต่บัดนี้ ข้าจะให้โอกาสเจ้าประมือกับข้า”
หลินสวินยิ้ม “ไม่ใช่เจ้าเป็นคนให้ แต่ข้าเป็นฝ่ายฉกชิงมาต่างหาก จุดนี้เจ้าต้องเข้าใจให้ชัด”
ในใจเขารู้ดียิ่ง ตั้งแต่กระถางใหญ่เอ่ยปากจนตอนนี้ แต่ละประโยคล้วนเหมือนการกำราบอย่างไร้รูป!
หากตนตอบตกลง ฟื้นฟูพลังถึงจุดสูงสุดค่อยต่อสู้ นั่นเท่ากับตั้งข้อสงสัยต่อพลังต่อสู้ของตน คิดว่าตนในยามนี้ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของเจตจำนงกระถางใหญ่ได้!
ขอเพียงความคิดนี้ปรากฏขึ้น และทำไปตามนั้น เช่นนั้นต่อให้ฟื้นฟูพลังกายสู่สภาพสูงสุด สภาวะจิตและเจตจำนงก็ไม่มีทางแน่วแน่มั่นคงเด็ดขาด
บทสนทนาทุกครั้งหลังจากนั้นล้วนเป็นเช่นนี้
เจตจำนงกระถางใหญ่ดูเหมือนไม่ได้ลงมือ แต่ขอเพียงตนแสดงความหวาดกลัว ลังเล ถอยร่น หรือหวังโชคช่วยใดๆ ในระหว่างสนทนา ก็จะกระทบต่อสภาวะจิตของตนอย่างไร้รูป!
ดังนั้นหลินสวินถึงได้แสดงออกอย่างแข็งกร้าวเช่นนั้น นี่เป็นอานุภาพอย่างหนึ่ง และยิ่งเป็นการประลองเงียบๆ ในด้านเจตจำนงและสภาวะจิตด้วย
ถึงขั้นที่ว่าหากเทียบกับการเข่นฆ่าและต่อสู้เฉยๆ ยังอันตรายยิ่งกว่า รับมือไม่ทันยิ่งกว่า!
ดังนั้นหลินสวินจึงไม่คิดให้โอกาสเจตจำนงกระถางใหญ่นั่นปริปากอีก ออกโจมตีตรงๆ
ตูม!
เขาสาวเท้าก้าวย่าง ท่วงท่าดุจเทพมารเคลื่อนทัพ สภาวะจิตและเจตจำนงจดจ่อ มีสมาธิอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เผยท่วงทำนองที่จันทร์เพ็ญเด่นฟ้า เต็มสมบูรณ์ดั่งใจนึกอยู่รำไร
“เจ้าไม่เลวยิ่ง สภาวะจิตและเจตจำนงล้วนเรียกได้ว่าแน่วแน่มั่นคง แต่เจ้าไม่เข้าใจสักนิด ว่าอะไรที่เรียกว่าเจตจำนง”
ขณะที่เสียงเจตจำนงกระถางใหญ่ดังขึ้น เบื้องหน้าหลินสวินพลันเปลี่ยนไป
เขารู้สึกว่าตนเสมือนถูกกักขังในหุบเหวไร้ก้น รอบทิศเคว้งคว้างไม่มีขอบเขต ไม่มีฟ้าดิน ว่างเปล่าโปร่งโล่ง ไร้ซึ่งสรรพสิ่ง!
“นี่ก็คือพลังเจตจำนง ในความเงียบงันสามารถกำราบและส่งผลต่อสภาวะจิตของเจ้า ทำให้เจ้าตกสู่โลกเจตจำนงของข้า”
ในโลกเวิ้งว้างดั่งว่างเปล่า เสียงของเจตจำนงกระถางใหญ่ดังขึ้น คลุมเครือแผ่วลอย ปราศจากคลื่นอารมณ์ ดั่งผู้สร้างโลกออกคำสั่งคนใต้อาณัติ
หลินสวินมองไปรอบบริเวณ สัมผัสอย่างใจเย็น กลับพบว่านี่น่าจะเป็นฟ้าดินที่รังสรรค์จากมายา ไม่สามารถมองช่องโหว่ใดๆ ออก
และทำให้สีหน้าเขาเคร่งขรึมยิ่งในอึดใจ รับรู้ถึงภัยคุกคามร้ายแรง
โลกเจตจำนง?
หลินสวินไม่เข้าใจสักนิดจริงๆ
และสิ่งนี้ก็ทำให้เขาตระหนักถึงความน่ากลัวของเจตจำนงกระถางใหญ่แล้ว!
ในเวลานี้เอง เสียงของเจตจำนงกระถางใหญ่ดังขึ้นอีกครั้ง
“ในสายตาข้า เจ้าก็คือมดปลวก”
จากนั้นหลินสวินก็พบว่าตนกลายเป็นมดแมลงตัวเล็กจ้อยไร้ที่เปรียบตัวหนึ่งจริงๆ ยืนลำพังอยู่ในฟ้าดินเวิ้งว้างแห่งนี้ เห็นชัดว่าอ่อนกำลังเป็นพิเศษ
หากไม่ใช่เพราะหลินสวินเตรียมตัวไว้แต่แรก ลำพังแค่ภาพนี้ก็สามารถโจมตีเขาจนรับมือไม่ทัน สภาวะจิตเริ่มสั่นคลอนได้แล้ว
มือใหญ่ข้างหนึ่งปรากฏขึ้น หนีบหลินสวินที่กลายร่างเป็นมดไว้ตรงปลายนิ้ว พริบตาเดียวหลินสวินจะหายใจยังลำบาก ทั่วสรรพางค์กายถูกบีบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เหมือนจะถูกบี้ตายได้ทุกเมื่อ!
แต่เเม้จะอยู่ในสภาพอันตรายไร้ใดเปรียบเช่นนี้ หลินสวินยังคงรักษาความผ่องแผ้วของสภาวะจิตและเจตจำนง จิตมรรคดุจมีด เจตจำนงดั่งหินแกร่ง!
‘มายา ทั้งหมดนี่ล้วนเป็นภาพลวงตา เป็นมายาที่เกิดขึ้นจากสภาวะจิตถูกจู่โจม…’
หลินสวินเตือนตัวเองและยืนหยัดเช่นนี้ สภาวะจิตที่ประดุจมีดขจัดความตระหนก ลนลาน สิ้นหวังในซอกลึกภายในใจ
แต่ร่างที่กลายเป็นมดแมลงของเขายังคงถูกมือใหญ่หนีบไว้ ทั้งร่างเริ่มส่อแววพังทลาย ดุจใกล้จมทะเลลึกตายไม่มีผิด
นี่เป็นการกำราบทางเจตจำนงและสภาวะจิตอย่างถึงที่สุด!
“เมื่อสภาวะจิตถูกบดบัง มายาทั้งปวงล้วนเป็นจริง”
เสียงของเจตจำนงกระถางใหญ่ดังขึ้นอีกครั้ง “ในโลกเจตจำนงนี้ ข้าแค่นึกคิดคราเดียวก็สามารถแปลงสรรพสิ่ง ควบคุมความเป็นความตายได้ เจ้า… ยังจะเอาอะไรมาโค่นข้า”
ประโยคเดียวก้องสะท้อนอยู่กลางฟ้าดินแถบนี้ เจืออานุภาพสูงสุด ไม่อาจคลางแคลง ไม่อาจดูหมิ่น
แต่เมื่อฟังประโยคนี้จบ นัยน์ตาหลินสวินกลับวาววับขึ้นทันที
มายาทั้งปวงล้วนเป็นจริง?
ไม่!
เมื่อเท็จกลายเป็นจริง จริงย่อมเท็จ เมื่อไร้กลายเป็นมี มีย่อมไม่มี!
ตูม!
พริบตาเดียวสภาวะจิตและเจตจำนงของหลินสวินราวบังเกิดพลังล้นทะลักยากควบคุม มายาทั้งปวงในครรลองสายตาล้วนเหมือนหยาดฝนหิมะละลาย หายเกลี้ยงไร้ร่องรอย
มือใหญ่ประดุจเทพางนั้นหายไปแล้ว และเขาได้คืนสภาพของตนจากที่เหมือนมดแมลง กลับมายืนนิ่งในโลกเวิ้งว้างที่ประดุจไร้ขอบเขต ปราศจากพรมแดน ไร้สรรพสิ่งนี้ใหม่อีกครั้ง
นัยน์ตาดำของเขาใสกระจ่าง สีหน้าไร้โลกีย์ ยืนมือไพล่หลัง ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายสันโดษ เอ่ยพูดเรียบเรื่อย
“จริงเท็จถูกผิด มายาลวงตา ข้ารู้เพียงตัวข้าอยู่ที่นี่เป็นเรื่องจริง วิธีนี้ของเจ้าก็บดบังใจข้าไม่ได้!”
เจตจำนงกระถางใหญ่นิ่งเงียบไป เหมือนรู้สึกแปลกใจและตกตะลึง เนิ่นนานก็ยังไม่ปริปาก
ทั้งหมดนี้เหนือความคาดหมายของมันจริงๆ
หลังจากเคราะห์จ่อมจมครั้งแรกปิดฉากลง ในกาลเวลานับไม่ถ้วนจนถึงบัดนี้ หลินสวินเป็นคู่ต่อสู้คนแรกที่สามารถต้านทาน ‘โลกเจตจำนง’ ของมันได้!
ฟ้าดินแถบนี้ยิ่งเงียบสงัดขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีเสียงใดอีก
สภาวะจิตของหลินสวินกลับไม่หนักอึ้งเหมือนอย่างคราแรกสุดแล้ว
เขายืนสันโดษ ในหัวกลับผุดความทรงจำมหัศจรรย์ส่วนหนึ่งในอดีตขึ้น สภาวะจิตผ่อนคลายเป็นอิสระ