Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1212 เถาน้ำเต้าพิสดาร

ไม่นานนักพวกจี้ซิงเหยากับเจิ้นอวิ๋นเฟิงก็กลับมา
สีหน้าต่างเจือไปด้วยความยินดีปรีดา เห็นได้ชัดว่าการตามฆ่าเมื่อครู่ทำให้พวกเขาได้ระบายไฟโทสะที่สะสมอยู่ในใจ
เพียงแต่เมื่อเห็นหลินสวิน นอกจากจี้ซิงเหยา คนอื่นๆ ต่างสีหน้าซับซ้อนอยู่บ้าง
ก่อนหน้านี้พวกเขาต่างปฏิบัติต่อหลินสวินในฐานะ ‘จินตู๋อี’ เกิดความเชื่อใจอย่างพิเศษกับ ‘จินตู๋อี’ ในระหว่างการเคลื่อนไหวแล้ว
แต่เมื่อได้รู้ว่าฐานะที่แท้จริงของ ‘จินตู๋อี’ คือหลินสวิน จึงออกจะตั้งตัวไม่ทัน ปรับตัวตามไม่ได้
โดยเฉพาะตอนนี้ศึกใหญ่สิ้นสุดลง เมื่อเผชิญหน้ากับหลินสวินอีกครั้ง ทำให้สำนึกในการปฏิบัติตัวต่อหลินสวินก็แปรเปลี่ยนเป็นพิกลขึ้นมา
“ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับพี่หลินมามาก ตอนนั้นยังดูถูกนัก กระทั่งคิดไว้ว่าหากมีวันที่ได้พบกันจะต้องทำลายอำนาจเจ้าให้ได้”
เจิ้นอวิ๋นเฟิงชิงเอ่ยปากก่อนแล้ว สีหน้าทอดถอนใจ “ใครจะคิดว่าความคิดของข้าในตอนนั้นจะง่ายดายเกินไป คนอย่างพี่หลิน มองไปในรุ่นเดียวกันมีน้อยคนนักที่จะกดข่มได้”
เขาพูดเสียงเบา มีแววหดหู่ ทั้งยังมีความชื่นชมและปล่อยวาง
นี่เป็นการยกย่องที่สูงมากแล้ว
เจิ้นอวิ๋นเฟิงไม่ใช่คนธรรมดา ยังเป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณที่มาจากจวนเทพขุมทมิฬแห่งแดนเร้นอริยะด้วย พลังต่อสู้แข็งแกร่งถึงที่สุด
เขาสามารถสงบจิตใจของตัวเองได้ในตอนนี้ ก็พิสูจน์ได้อย่างไร้ข้อกังขาว่าสิ่งที่หลินสวินทำก่อนหน้านี้ ทำให้เขาได้แต่ทอดถอนใจด้วยความชื่นชมแล้ว
“แพ้ด้วยน้ำมือเทพมารหลินที่ขึ้นชื่อลือชา ไม่เสียหาย”
ข้างๆ กันจั่นลู่ซิวก็เอ่ยปาก ตอนพบกันครั้งแรกเขาถูกหลินสวินเอาชนะได้ในกระบวนท่าเดียว จิตใจจึงรัดพันยุ่งเหยิงมาตลอด
แต่ตอนนี้ ก็ทำได้เพียงยอมรับโดยสมบูรณ์แล้ว
คนอื่นๆ ก็พากันเอ่ยปาก ชั่วขณะเดียวบรรยากาศก็แปรเปลี่ยนเป็นกลมเกลียวขึ้นมาอีกครั้ง
สาเหตุก็เพราะแม้ก่อนหน้านี้หลินสวินปลอมฐานะ แต่การเคลื่อนไหวตลอดทางมานี้กลับไม่เคยทำเรื่องที่ส่งผลร้ายต่อพวกเขาแต่อย่างใด
ถึงกับยังเคยช่วยอิ๋นเสวี่ย และเคยเปิดทางเข้าสู่โลกใต้สุสานแห่งนี้เพื่อพวกเขา
แม้แต่ในระหว่างการช่วงชิงเพลิงมรรคต้นกำเนิด ยังแสดงคุณธรรมสูงส่ง ออกตัวยอมถอยก้าวหนึ่ง ให้พวกเจิ้นอวิ๋นเฟิง โม่เทียนเหอได้เพลิงมรรคต้นกำเนิดไปก่อน
ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเจิ้นอวิ๋นเฟิงจะไม่รับน้ำใจด้วยความรู้คุณไว้ได้อย่างไร
“เฮ้อ ข้ายอมแล้ว”
โม่เทียนเหอเป็นคนที่ว้าวุ่นในที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย เขาไม่เพียงเคยเล่นงานหลินสวินอย่างหนักหน่วง ยังถูกปล้นสมบัติทั้งตัวไปด้วย
สวบ!
หลินสวินโยนกำไลเก็บของวงหนึ่งให้โม่เทียนเหอ ยิ้มพูดว่า “สิ่งนี้เดิมทีก็เป็นของของพี่โม่ ตอนนี้ขอคืนให้เจ้าของเดิม เจ้าดูทีว่ามีของขาดไปหรือเปล่า”
โม่เทียนเหอนิ่งอึ้งไปก่อน จากนั้นก็ซาบซึ้ง สุดท้ายจึงสูดหายใจลึกแล้วหัวเราะเสียงดังกล่าวว่า “ไม่ต้องดูแล้ว จากท่าทางและจิตใจเช่นนี้ของเจ้า ข้าโม่เทียนเหอยอมอย่างสมบูรณ์แล้ว!”
ทุกคนเห็นเช่นนี้ก็ปรีดาอย่างอดไม่อยู่
จี้ซิงเหยามองดูทุกอย่างนี้เงียบๆ อยู่ข้างๆ ในใจก็กระเพื่อมไหวอย่างยิ่ง
ไม่ว่าเจิ้นอวิ๋นเฟิงหรือโม่เทียนเหอล้วนเป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณที่หยิ่งทระนงยิ่ง
หลินสวินอาจจะมีรากฐานพลังที่เอาชนะพวกเขาได้อย่างสมบูรณ์ แต่คิดจะให้พวกเขายอมรับอย่างเต็มใจกลับเป็นเรื่องยากยิ่งนัก!
……
พวกหลินสวินไม่ร่ำไร เริ่มออกเคลื่อนไหว
ระหว่างทางหลินสวินเล่าเรื่องที่เจ้าคางคกสหายของตนตกที่นั่งลำบากให้ทุกคนรู้ เดิมทีคิดอยู่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของตน ไม่จำเป็นต้องให้ทุกคนมาลำบากด้วย
ใครจะคิดว่าไม่ว่าจะเป็นโม่เทียนเหอหรือพวกเจิ้นอวิ๋นเฟิงต่างไม่ได้ถอยหนี แสดงออกว่าหากหลินสวินคิดว่าพวกเขาเป็นสหาย ก็อย่าพูดจาเหมือนคนอื่นไกลเช่นนี้อีก
หลินสวินเห็นดังนี้ก็ยิ้มให้ ไม่ยกเรื่องพวกนี้ขึ้นมาอีก
หลายปีที่อยู่ในดินแดนรกร้างโบราณมานี้ สหายที่หลินสวินผูกมิตรมีน้อยจนนับนิ้วได้
แม้มิตรภาพกับพวกโม่เทียนเหอและเจิ้นอวิ๋นเฟิงจะยังไม่ถึงขั้น ‘ร่วมเป็นร่วมตาย แสดงน้ำใสใจจริงต่อกัน’
แต่เป็นสหายย่อมดีกว่าเป็นศัตรู
และสำหรับพวกเจิ้นอวิ๋นเฟิงและโม่เทียนเหอแล้ว การคบหากับเทพมารหลินที่อานุภาพน่ากลัวสะท้านฟ้า เหตุใดจะไม่ใช่เรื่องดีเล่า
อีกทั้งด้วยฐานะของพวกเขา ย่อมไม่สนใจว่าหลินสวินมีศัตรูมากแค่ไหน ทั้งจะพลอยลากพวกตนไปเกี่ยวด้วยหรือไม่โดยสิ้นเชิง!
นี่ก็กล้าหาญแล้ว
หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่น แม้ในใจจะหวั่นเกรงและเทิดทูนหลินสวิน แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่อาจจะโดนลากเข้าไปพัวพันด้วยหากคบหากับหลินสวิน ก็ย่อมมีแต่กลัวว่าจะหลบไม่พ้น!
ไม่นานนักจากเบาะแสที่นกทมิฬนั่นชี้แนะ หลินสวินก็หาเจดีย์แห่งหนึ่งพบดังคาด
ลักษณะของเจดีย์นี้พิกลยิ่งนัก รูปร่างเหมือนเตาไฟขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่เตาหนึ่ง ก่อขึ้นจากกองหินยักษ์สีดำสนิท ตัวเจดีย์มีรอยขีดข่วน เห็นได้ชัดว่าตั้งอยู่ที่นี่มาไม่รู้นานเท่าไร แผ่กลิ่นอายเก่าแก่ผ่านร้อนผ่านหนาวออกมา
ทันทีที่เข้าไปใกล้ ทุกคนเพียงรู้สึกว่ามีกระแสลมตีมาที่หน้า ร้อนผ่าวไปตามผิวหนังทั้งตัว
ในขณะเดียวกันนี้จิตวิญญาณของพวกเขาก็เหมือนอยู่ในเตาทองแดงกลียุค ถูกไฟแรงกล้าแผดเผา กดดันหาใดเทียบ
“เจดีย์นี้ต้องไม่ธรรมดาแน่!”
ทุกคนจิตใจสั่นไหว
ด้วยระดับพลังของพวกเขา ไม่กลัวภัยพิบัติเข้าจู่โจมมานานแล้ว
แต่ตอนนี้เพียงเข้าใกล้เจดีย์แห่งหนึ่ง ก็ทำให้ความรู้สึกทั้งในและนอกร่างกายเจ็บแสบและกดดันราวถูกแผดเผาเช่น นี่ก็ไม่ธรรมดาแล้ว
หลินสวินทอดสายตามองไปยังใต้ฐานเจดีย์หิน ก็เห็นว่าตรงนั้นมีประตูโค้งคู่หนึ่ง กลมสมบูรณ์ บนนั้นมีลายมรรคหนาแน่นปกคลุมอยู่ คลุมเครือหาใดเทียบ
เจ้าคางคกถูกขังอยู่ในนั้นหรือ
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ขณะเดียวกันก็โคจรจิตรับรู้และนัยน์ตาเฉาเฟิง ประเมินเจดีย์หินตรงหน้านี้อย่างละเอียด
ทันใดนั้นภาพที่เขาเห็นเบื้องหน้าก็ทำให้เขาหน้าเปลี่ยนสีฉับพลัน
ตูม!
กลางฟ้าดินสรรพสิ่งดับสูญ เหลือเพียงเตาเพลิงใหญ่เตาหนึ่งลุกโชนเร่าร้อน หลักการฟ้าดิน สุริยันจันทราธารดาราต่างๆ ล้วนถูกหลอมจนว่างเปล่า!
ร่องรอยกาลเวลา วงโคจรของห้วงอากาศอะไร…
ต่างถูกเตาเพลิงแผดเผาหลอมละลายเหมือนไม่มีอยู่!
เตาเพลิงนั่นก็คือฟ้าดิน คือกฎเกณฑ์แห่งตะวันจันทรา คือกาลเวลาและห้วงมิติ คือสรรพสิ่งในโลกา เป็นสิ่งที่มีเพียงหนึ่งเดียวและไม่ผุกร่อนเป็นนิรันดร์!
โครม!
ไม่ทันได้สัมผัสอย่างถี่ถ้วน ก็รู้สึกเพียงเจ็บปวดไปทั้งร่างประหนึ่งอยู่กลางทะเลเพลิงไร้สิ้นสุด ทั่วทุกสารทิศเต็มไปด้วยเปลวเพลิงแผลงผลาญ
จิตวิญญาณกับสภาวะจิตล้วนรู้สึกเหมือนถูกหลอมเหลว!
ครู่ต่อมาเขาก็พลันได้สติกลับมา แต่สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือดแล้ว เหงื่อกาฬซึมไปทั้งร่าง เตาเพลิงเมื่อครู่นั่น… หรือจะเป็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเจดีย์หินแห่งนี้
ยามมองดูคนอื่นอีกครั้ง พวกเขาก็กำลังศึกษาและตรวจสอบเจดีย์หินนี้อยู่ แต่กลับเหมือนไม่รู้เลยว่ามีความผิดปกติอะไร
หลินสวินสูดหายใจลึก ในใจลอบเอ่ยว่าคนอย่างเจ้าคางคกที่ตลอดมาถ้าไม่มีผลประโยชน์ก็ล้วนไม่มา จะต้องค้นพบศุภโชคใหญ่บางประการแน่ๆ ถึงได้ติดอยู่ในนั้น
“พี่หลิน สหายเจ้าคนนั้นติดอยู่ในเจดีย์หินนี้หรือ”
เจิ้นอวิ๋นเฟิงเอ่ยถาม สีหน้าเจือแววประหลาด เพราะเขาสังเกตได้อย่างฉับไวว่าเจดีย์หินนี้ไม่ธรรมดายิ่งนัก เป็นไปได้สูงว่าจะมีอันตรายใหญ่หลวงที่ไม่อาจคาดคะเนได้อยู่!
หลินสวินพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ทุกท่านรอก่อน ให้ข้าเข้าไปลองดู”
เขาพูดพลางเดินไปข้างหน้า โคจรพลังทั้งร่างจดจ่อเต็มที่ ใช้ฝ่ามือทาบลงไปบนประตูโค้งที่อยู่ใต้เจดีย์หินนั้นอย่างระวัง
วู้ม!
เหนือความคาดหมาย ประตูนี้เปิดออกอย่างรวดเร็ว
ทุกคนต่างอึ้งไป แม้แต่หลินสวินยังรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง
“พลังผนึกของที่นี่ถูกข้าสลายไปนานแล้ว พวกเจ้าเข้ามาเถอะ” เสียงถอนใจไร้เรี่ยวแรงเสียงหนึ่งแว่วมาจากภายในเจดีย์หิน
เป็นเจ้าคางคก!
หลินสวินมองปราดเดียวก็เห็นว่าภายในเจดีย์หินเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ยิ่งห้องหนึ่ง เวลานี้มีเงาร่างเดียวดายสายหนึ่งนั่งอยู่กับพื้น สวมชุดสีเขียวทั้งตัว เป็นเจ้าคางคกนั่นเอง
เพียงแต่สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความหม่นหมองเศร้าซึม ท่าทางเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง
หลินสวินชิงเดินเข้าไปในเจดีย์หินก่อนแล้วพูดว่า “เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“เฮ้อ เจ้ามาช้าไปก้าวเดียว เพลิงมรรค์ฟ้าประทานดวงนั้นถูกคนอื่นชิงไปก่อนแล้ว”
เสียงเจ้าคางคกเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม สีหน้าปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ
โดยปกติแล้วต่อให้เจ้าคางคกโกรธ ก็ทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่าเขามีชีวิตชีวาและอวดดี แสดงความโกรธเคืองอย่างเกรี้ยวกราดดั่งฟ้าผ่า ท่าทางฮึกเหิมเป็นประจำ
แต่ตอนนี้กลับเซื่องซึม เห็นได้ว่าเขากระทบกระเทือนมากมายปานไหน
เพลิงมรรคฟ้าประทาน!
ครั้นได้ยินคำนี้ พวกเจิ้นอวิ๋นเฟิงต่างสูดหายใจเย็นเยียบ นี่เป็นถึงสิ่งที่มีคุณสมบัติสูงสุดในหมู่เพลิงมรรคต้นกำเนิด เรียกได้ว่าแม้บังเอิญพบเจอได้ก็ไม่อาจร้องขอ!
“เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”
หลินสวินเอ่ยปลอบ ก่อนหน้านี้ที่เขากังวลที่สุดก็คือสวัสดิภาพของเจ้าคางคก เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายปลอดภัย ในใจก็ถอนหายใจโล่งอกไปนานแล้ว
“ไม่เหมือนกัน!”
เสียงของเจ้าคางคกมีแต่ความเคียดแค้นและขุ่นเคือง “ศุภโชคเย้ยฟ้าชิ้นนี้เดิมทีถูกข้าหมายตาเป็นคนแรก แต่ยังไม่ทันที่ข้าจะเก็บเกี่ยวได้สำเร็จก็ถูกคนอื่นมาชิงไป ข้าจะยอมได้หรือ”
“ให้ตายสิ ต้องโทษนกทมิฬตัวนั้นเลย ถ้าไม่ใช่เพราะมันปรากฏตัวกะทันหัน เบี่ยงเบนความสนใจข้าไปจนทำให้คนอื่นถือโอกาสสอดมือเข้ามา ศุภโชคชิ้นนี้ก็เป็นของข้านานแล้ว!”
พูดจนจบเขาก็ด่าออกมาเสียยกใหญ่
หลินสวินหน้าเปลี่ยนเป็นแปลกพิกลอย่างอดไม่ได้ เจ้านกหัวขโมยนั่นอีกแล้ว!
ทว่าก็ไปโทษมันทั้งหมดไม่ได้ ที่สำคัญก็คือต้องรู้ว่าตกลงเป็นใครที่ฉวยโอกาสชิงวาสนานี้ไป
“ใครทำกัน” หลินสวินถาม
“สำนักเอกอุ หวังเสวียนอวี๋” เจ้าคางคกพูดอย่างอ่อนระโหยโรงแรง
“เป็นเขา!”
ดวงตาพวกจี้ซิงเหยาต่างล้วนนิ่งขึง
สำนักเอกอุ เดิมทีก็เป็นผู้ทรงอิทธิพลในหมู่สำนักโบราณของดินแดนรกร้างโบราณ
ส่วนหวังเสวียนอวี๋ผู้นี้ยิ่งเป็นผู้นำของบุคคลขอบเขตมกุฎแห่งสำนักเอกอุ โดดเด่นสะดุดตาถึงที่สุด
หลินสวินเคยได้ยินเรื่องของคนผู้นี้มานานแล้ว เป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎที่มีเพียงหยิบมือในปัจจุบัน
ที่พอเทียบเคียงกับเขาได้มีเพียงคนจำนวนน้อยนิดอย่างหมีเหิงเจิน เย่หมัวเฮอ เยี่ยนจั่นชิว
“เจ้าได้รับบาดเจ็บรึเปล่า”
ประกายเย็นเยียบผุดขึ้นในดวงตาดำของหลินสวิน ไม่สนว่าหวังเสวียนอวี๋อะไรนั่น ในเมื่อมาหาเรื่องพี่น้องของตน เช่นนั้นก็เป็นการหาเรื่องตน
“เปล่า เขาบอกว่าแค่ชิงวาสนา ไม่อยากทำร้ายใคร เจ้ารู้ไหมว่านี่มันความรู้สึกแบบไหน ก็เหมือนบ้านเจ้าถูกปล้นเกลี้ยงแล้ว แต่โจรกลับพูดกับเจ้าอย่างเมตตาปรานีว่าพวกมันแค่อยากได้ทรัพย์สินจะไม่เอาชีวิต แม่งน่าอัดอั้นเกินไปแล้ว!”
เจ้าคางคกกัดฟันเข่นเขี้ยว แค้นจนตาถลนออกมา
“ข้าเข้าใจแล้ว”
หลินสวินพยักหน้าเอ่ยว่า “รอภายหน้าหาคนผู้นี้พบ ข้าจะช่วยเจ้าทวงความยุติธรรม”
น้ำเสียงสงบนิ่ง แต่กลับแฝงความน่าเชื่อถือ
ทุกคนได้ยินดังนี้ในใจก็ลอบเอ่ยว่า ถ้าหวังเสวียนอวี๋รู้ว่าไปล่วงเกินเทพมารหลินเพราะเรื่องนี้เข้า จะเสียใจที่ทำเช่นนี้แต่แรกไหม
แต่จากนั้นพวกเขาก็ตัดสินออกมาว่า ไม่หรอก!
เพราะหวังเสวียนอวี๋ผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดา เทียบกับอูหลิงเต้าองค์ชายสิบสามเผ่าอีกาทองแล้ว ยังลึกลับและไม่ค่อยเผยตัวยิ่งกว่าเสียอีก
แต่ความแข็งแกร่งของเขากลับไม่อาจโต้เถียงได้!
“แน่นอนว่าสาเหตุที่ข้าเลือกรออยู่ที่นี่ ข้อแรกก็เพื่อรอเจ้า ข้อสอง ข้ารู้สึกตลอดว่าที่นี่ยังมีอะไรพิกลอยู่!”
พูดถึงตรงนี้เจ้าคางคกก็ผุดลุกขึ้น ขจัดความเซื่องซึมอึมครึมที่หว่างคิ้ว นัยน์ตาทองทั้งสองข้าเปล่งแสง ร่าเริงกระปรี้กระเปร่า ถูไม้ถูมือประหนึ่งเปลี่ยนเป็นคนละคน
เมื่อคำพูดเช่นนี้ดังออกมา ความสนใจของทุกคนก็จับไปรอบๆ ทันที
ที่นี่คือภายในเจดีย์หิน รูปร่างเหมือนโถงใหญ่ พื้นที่ใหญ่โตถึงที่สุด
ไม่ไกลนักกลับมีเถาน้ำเต้าเขียวขจีเถาหนึ่งโตอยู่ กิ่งใบยังอยู่ เขียวสดเปล่งปลั่ง แผ่กระจายพลังชีวิตแข็งแกร่ง
“เพลิงมรรคฟ้าประทานดวงนั้นก็โตอยู่บนเถาน้ำเต้าต้นนี้ รูปร่างเหมือนน้ำเต้าสีเขียวลูกหนึ่ง เพลิงมรรคที่ทะลักออกมาบริสุทธิ์ยากจับต้อง สีฟ้าเหมือนท้องนภา ลักษณะดีมาก ไม่อาจประเมินค่าได้”
เจ้าคางคกชี้ไปที่เถาน้ำเต้านั้น สีหน้าแปรผันไม่หยุดหย่อน เห็นได้ชัดว่านึกถึงวาสนาที่ถูกชิงไปขึ้นมาอีกจนปวดใจนัก
“วาสนาที่เห็นได้ชัดแบบนี้ ทำไมถึงถูกคนอื่นมาชิงไปก่อนได้”
เจิ้นอวิ๋นเฟิงไม่เข้าใจ
เจ้าคางคกชำเลืองมองเขาครั้งหนึ่งแล้วพูดว่า “นั่นเป็นถึงเพลิงมรรคฟ้าประมาน ยามเก็บไปหากไม่ระวังนิดเดียวก็จะจบลงที่รูปจิตถูกเผา อีกทั้งครั้งแรกที่ข้ามาถึงที่นี่ ในห้องโถงใหญ่นี้เต็มไปด้วยพลังต้องห้ามหนาแน่นและเคราะห์สังหารมากมาย เจ้าคิดว่าใครๆ ก็สามารถเอาวาสนานี้ไปได้ง่ายๆ หรือ”
ยิ่งพูดในใจเจ้าคางคกยิ่งไม่สบอารมณ์ “ข้าใช้พลังไปมากมาย เกือบได้รับอันตรายตั้งหลายครั้งกว่าจะทำลายพลังต้องห้ามของที่นี่ได้ทีละอัน ใครจะไปคิดว่าสุดท้ายกลับลำบากแทนคนอื่นเสียได้ แม่งเอ๊ย ไอ้หวังเสวียนอวี๋คนนั้นมันไร้คุณธรรมเกินไปแล้ว!”
คราวนี้ทุกคนถึงเข้าใจที่มาที่ไป
ตอนนี้หลินสวินเดินมาถึงเบื้องหน้าเถาน้ำเต้าแล้ว เอ่ยว่า “พื้นนี่แข็งเหมือนโลหะพิสุทธิ์ แต่กลับมีเถาน้ำเต้าเถาหนึ่งโต ออกจะประหลาดจริงๆ”
“ไม่เพียงเท่านี้ เจ้าดูนี่”
เจ้าคางคกชี้ไปที่รากของน้ำเต้า “ก่อนหน้านี้ข้าทำหมดทุกทางแล้ว ก็ยังถอนรากเถาน้ำเต้านี้ออกมาไม่ได้ แม้แต่ทำลายยังไม่ได้ ประหลาดยิ่งนัก”
ทุกคนมารวมกัน พินิจอย่างละเอียด
พวกโม่เทียนเหอถึงกับลงมือเอง เรียกสมบัติและวิชาลับเข้าทำลาย แต่ต่างล้มเหลวโดยไม่มีข้อยกเว้น
เถาน้ำเต้านั่นแข็งแกร่งมั่นคงหาใดเทียบ ไม่เสียหายเลยสักนิด!
“ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่เถาน้ำเต้าต้นนี้ก็เป็นวัตถุดิบเทพที่หายากหาใดเทียบอย่างหนึ่งแล้ว”
ทุกคนจุ๊ปากอย่างตื่นตะลึง
“เจ้าหวังเสวียนอวี๋นั่นก็พูดแบบนี้ ตอนนั้นเขาถึงกับใช้ฝีมือทั้งหมด คิดจะเอาของนี่ออกไปด้วย แต่สุดท้ายก็เปลืองแรงเปล่า”
เจ้าคางคกยิ้มเย็นพูด
“เถาวัลย์นี้สามารถให้กำเนิดเพลิงมรรคฟ้าประทานดวงหนึ่ง ย่อมไม่อาจเทียบกับของทั่วไปได้ ทุกคนถอยไปก่อน ให้ข้าลองดู”
หลินสวินพินิจพิเคราะห์ครู่ใหญ่ ถึงตัดสินใจลองด้วยตัวเองสักครั้ง
ทุกคนต่างเผยสีหน้าตั้งตาคอยอย่างอดไม่ได้
ความแข็งแกร่งในพลังต่อสู้ของเทพมารหลิน พวกเขาต่างรู้ชัด
เพียงแต่ที่ทำให้พวกเขาผิดหวังก็คือ ขนาดหลินสวินลงมือก็ยังไม่สำเร็จ เถาน้ำเต้านั่นยังสีเขียวชอุ่ม ไม่กลัวการโจมตีใดๆ เลย!
ควรรู้ว่าพลังต่อสู้ในตอนนี้ของหลินสวิน แม้แต่อูหลิงเต้ามกุฎราชันที่บรรลุอมตะเคราะห์ขั้นหนึ่งยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ แต่ตอนนี้กลับทำอะไรเถาน้ำเต้าต้นหนึ่งไม่ได้!
นี่ก็ยิ่งทำให้สิ่งนี้ดูไม่ธรรมดาขึ้นไปอีก น่าจะเป็นต้นไม้เทพที่น่าเหลือเชื่อต้นหนึ่ง!
และตอนนี้ ใบหน้าหลินสวินพลันเผยแววประหลาด
เดิมทีตอนเขาเตรียมเรียกดาบหักออกมาหยั่งเชิง ดาบหักกลับปล่อยคลื่นคลุมเครือที่พบเห็นได้ยากออกมา เหมือนเป็นความปรารถนา กระตือรือร้นอยากลอง
ดาบหักเคลื่อนออกไปอย่างไม่ลังเล!
ชิ้ง!
ชั่วพริบตานั้นทุกคนเพียงรู้สึกว่าแสบตาไปครู่หนึ่ง มีแต่ประกายดาราเจิดจ้าขาวโพลน
ส่วนในสายตาหลินสวิน เวลานี้ดาบหักแสดงรูปลักษณ์ที่ต่างไปโดยสิ้นเชิงออกมา บนพื้นผิวของมันปรากฏสัญลักษณ์ลายมรรคแถบแล้วแถบเล่า ปกคลุมไปทั่วเถาน้ำเต้าสีเขียวสดนี้ประหนึ่งแสงดาว
ดาบหัวส่งเสียงใสกระจ่าง เหมือนร้องออกมาด้วยความยินดี ถึงกับกำลังดูดซับพลังและพลังชีวิตที่บรรจุอยู่ในเถาน้ำเต้านั้น
และพร้อมๆ กับที่มันดูดซับพลัง เถาน้ำเต้าที่เขียวขจีแต่เดิมก็เริ่มหม่นหมอง เหี่ยวเฉา…
กระทั่งภายหลังถึงกับแห้งเหี่ยวหลุดร่อน แปรสภาพเป็นเถ้าธุลีปลิวว่อน
ทุกคนต่างหน้าเปลี่ยนสี ตกตะลึงกับภาพอัศจรรย์เบื้องหน้านี้ ล้วนรับรู้ได้อย่างเฉียบแหลมว่าที่มาของดาบหักเล่มนี้ของหลินสวินต้องไม่ธรรมดาเสียแล้ว!
ก็แม้แต่เจ้าคางคกยังอดไม่ไหวมองดูหลินสวินอีกครั้งหนึ่ง อยากจะพูดแต่ก็หยุดไว้ ในที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
ส่วนตอนนี้ ในสมองของหลินสวินกลับมีพลังมรดกยุ่งเหยิงชิ้นโตเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง
——

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

Type: Author: ,
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset