Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1221 ป่าไผ่ม่วงเสียงอสนี

บนฝั่งดินชุ่มฉ่ำ กลิ่นหอมสดชื่นของต้นไม้ใบหญ้าอบอวล ต้นไม้เก่าแก่พลิ้วไหว เขาเขียวงดงาม
ก้าวสู่ชายฝั่งนี้ราวมาถึงอีกโลกหนึ่ง พาให้คนรู้สึกสบายใจ
กลิ่นอายร่มเย็นนั้นทำให้จิตใจที่ตึงเครียดของพวกหลินสวินผ่อนคลายโดยสมบูรณ์
“หืม?”
เมื่อหันกลับไปมอง ก็เห็นฝีพายโครงกระดูกนั้นถ่อไม้พายมุ่งไปยังส่วนลึกของทะเลสาบอย่างเนิบช้า
ขณะเดียวกันลำนำมรรคสายหนึ่งก็ดังขึ้น
ได้ยินคำพูดไม่ชัดเจน แต่กลับมีกลิ่นอายอิสระกว้างใหญ่สะท้อนก้อง
ประดุจเซียนคนหนึ่งล่องเรือขับขานเพลงจากไป ดูเสรีและกว้างใหญ่อย่างบอกไม่ถูก!
พวกหลินสวินต่างตะลึงงัน
ฝีพายโครงกระดูกนั่นเป็นใครกันแน่
ทะเลสาบสีเลือดอันตรายและพิสดารซ่อนความน่ากลัวระดับใด แต่เขากลับพายเรืออยู่บนนั้น ทั้งอิสระเสรีเหมือนเซียนในตำนาน
เซียนในหมู่ผี?
ไม่มีใครรู้ได้
ในครรลองสายตาพวกหลินสวิน เมื่อเรือน้อยสีดำนั้นหายไป ทะเลสาบเลือดที่กว้างใหญ่ไพศาลนั้นก็เลือนรางหายไปทีละน้อยดั่งภาพวาด…
สุดท้ายที่นั่นก็เต็มไปด้วยหมอก เรือน้อยสีดำ ฝีพายโครงกระดูก ทะเลสาบสีเลือด… ทั้งหมดล้วนหายลับจากไป
เหลือเพียงความเวิ้งว้างไร้สิ้นสุด!
“เหตุการณ์ในวันนี้เกรงว่าข้าคงยากลืมเลือนชั่วชีวิต”
จี้ซิงเหยาพึมพำ เนตรดาราของนางเหม่อลอย ใบหน้างามพิสุทธิ์ อาภรณ์ขาวพลิ้วไหวกลางสายลมดั่งบทกวีและภาพวาด
คนอื่นเองก็รู้สึกเช่นนั้น
เริ่มจากเข้ามาในทางอุโมงค์แห่งหนึ่งแล้วเจอเพลิงนรกบาป ดอกนรกกระดูกหยินในตำนาน…
หลังจากนั้นก็เข้าไปในป่าหินที่เหมือนแดนผีสิง รูปปั้นหินที่เด่นตระหง่านดั่งร้อยภูตผีซุ่มซ่อน เผยภาพราวขุมนรก
จากนั้นยังนั่งเรือน้อยสีดำข้ามทะเลสาบสีเลือดมาอีก
นึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เจอในการเดินทางนี้ ทัศนียภาพหลายหลากแปลกตาชวนระทึกขวัญ ใครเล่าจะลืมเลือน
“รีบไปเถอะ ไปดูว่าที่นี่จะซ่อนศุภโชคอะไรไว้กันแน่!”
เจ้าคางคกตั้งท่าเตรียมพร้อม สายตามองไปยังเขาเขียวงามอัศจรรย์ลูกนั้นที่อยู่ห่างออกไป
ผ่านความประหลาดและอัปมงคลมาตลอดทางก็เพื่อแสวงหาศุภโชคไม่ใช่หรือ
ตอนนี้เจ้าคางคกกล้ายืนยันเลยว่า สถานที่ซึ่งเหมือนแดนพิสุทธิ์นี้ต้องซ่อนศุภโชคยิ่งใหญ่ไว้แน่!
“ไป!”
หลินสวินตั้งสติรวบรวมสมาธิ เดินนำไปก่อน
ที่ทำให้พวกเขาตกตะลึงคือที่นี่ไม่ใหญ่มากเท่าใดนัก ราวตัดขาดจากโลกภายนอก แต่ในป่าเขาเขียวขจีนั่นกลับสามารถเห็นโอสถวิญญาณและวัตถุดิบวิญญาณได้ทุกที่!
แค่ช่วงเวลาสั้นๆ พวกเขาก็เจอโอสถราชันสิบกว่าต้น!
มีโป่งรากสนเต่าม่วง ดอกแสงหยกด่างขาว เถาวัลย์ลายเก้าตาผี…
ไม่มีสิ่งใดไม่ใช่โอสถราชันที่สาบสูญไปแล้วในโลกภายนอก หายากถึงที่สุดและล้ำค่าอย่างยิ่ง ต่างมีความอัศจรรย์เฉพาะตัว
อีกทั้งตลอดทางมานี้ ที่นี่ยังเงียบสงบไม่มีอันตรายอะไร!
“ที่นี่ต้องเป็นแดนมงคลใหญ่ที่ถูกผนึกแห่งหนึ่งแน่ ตั้งแต่โบราณกาลมาพวกเราอาจเป็นผู้ฝึกปราณกลุ่มแรกที่มาถึงที่นี่!”
โม่เทียนเหอตื่นเต้นยินดี
“ฟ้าดินที่นี่มีกฎเกณฑ์เฉพาะตัวปกคลุม ข้าสัมผัสรับรู้ได้แค่ในรัศมีสิบลี้ นอกเหนือจากนั้นทั่วทิศทางเต็มไปด้วยความเลือนราง”
จี้ซิงเหยากล่าวเสียงเบา “จากมุมมองข้านี่น่าจะเป็นแดนลี้ลับแห่งหนึ่ง แม้จะไม่ใหญ่โตแต่กลับเหลือวาสนาอันอุดมทิ้งไว้”
หลินสวินพยักหน้า เขาเห็นด้วยกับคำพูดนี้
ขณะพูดคุยพวกเขาก็เดินผ่านผืนป่า มุ่งหน้าไปบนเขาเขียวงามวิจิตรลูกนั้น
ภูเขาลูกนี้สูงแค่ร้อยจั้ง แต่กลับงดงามเงียบสงบผิดธรรมดา
ไอวิญญาณที่อบอวลอยู่ภายในไม่เพียงแต่หอมกรุ่นยังแฝงพลังจิตวิญญาณน่าอัศจรรย์
กรุ่นกลิ่นยิ่งกว่าไอวิญญาณที่แฝงอยู่ใน ‘เขาดาราราย’ ‘เขาฝนดาวตก’ ‘เขาเพรียกมรกต’ ที่หลินสวินเจอในแดนอัคคีทักษิณ!
ในรอยแยกของหินผาเอ่อท้นประกายแสงศักดิ์สิทธิ์
เมื่อสุ่มหยิบดินขึ้นมากำหนึ่ง อานุภาพแห่งพลังชีวิตที่แผ่ออกมายิ่งทำให้พวกหลินสวินไหวหวั่น
หนทางขึ้นเขาไม่ขรุขระ พวกหลินสวินทยอยเก็บวัตถุดิบวิญญาณ ผลวิญญาณ โอสถวิญญาณมากมายตลอดทาง…
เพิ่งมาถึงครึ่งทางพวกเขาแต่ละคนก็เก็บเกี่ยวโอสถราชันได้อย่างน้อยสิบกว่าต้น รวมทั้งโอสถวิญญาณหญ้าวิญญาณอื่นอีกบางส่วน
อุดมสมบูรณ์เกินไปแล้ว!
เป็นภูเขาสมบัติลูกหนึ่งจริงๆ!
เจ้าคางคกเอะอะโวยวายอยากย้ายภูเขานี้ไปด้วย แต่เขาลองอยู่ครู่หนึ่งก็ยอมแพ้
ด้วยเขาลูกนี้แม้จะสูงเพียงร้อยจั้ง แต่กลับแข็งแกร่งราวภูเขาเทพดึกดำบรรพ์ อย่าว่าแต่เอาไปด้วย แม้แต่จะสั่นคลอนยังเป็นไปไม่ได้
ที่ไหล่เขา ในครรลองสายตาพลันสว่างขึ้นฉับพลัน ปรากฏเป็นที่ราบหินผืนหนึ่ง
ป่าไผ่ม่วงเจริญงอกงามอยู่ในนั้น ลำต้นหนาเท่าปากชาม ใบไผ่ม่วงเป็นประกายเหมือนทำจากหินหยก
สายลมพัดมาเงาไผ่ร่ายรำ ใบไผ่ส่งเสียงอสนีบาตดั่งกระแสน้ำแต่ไม่เสียดหู กลับนุ่มนวลและไพเราะอย่างบอกไม่ถูก
ส่วนลึกของป่าไผ่มองเห็นกระท่อมหลังหนึ่งเป็นรางๆ
พวกหลินสวินหยุดเดินทันที สายตาล้วนมองทะลุป่าไผ่ม่วงไปยังกระท่อมหลังนั้น
“ที่นี่… มีคนอยู่ด้วยรึ”
เจ้าคางคกไหวหวั่น
“บางทีอาจเป็นที่พักของเจ้าของสานที่ลับนี่”
นัยน์ตาดำของหลินสวินวาววาบ
บนนิ้วเขาแหวนทองแดงวงนั้นร้อนระอุขึ้นเล็กน้อย เกิดการตอบสนองอย่างเด่นชัด ราวกับว่าในกระท่อมนั้นมีอะไรบางอย่างกำลังเรียกหามันอยู่
นี่ทำให้หลินสวินรู้ว่าคราวนี้พวกเขามาไม่ผิดที่แล้ว!
“ให้ตายเถอะ นี่คือไผ่ม่วงเสียงอสนีใช่ไหม ไม่นึกเลยว่า… จะมีมากขนาดนี้!”
เมื่อสติคืนกลับจากกระท่อมมายังป่าไผ่ม่วงผืนนี้ ลูกตาเจ้าคางคกก็แทบถลนออกมา น้ำลายไหลเป็นทาง
ไผ่ม่วงเสียงอสนี!
จี้ซิงเหยาและโม่เทียนเหอเองก็อดสูดหายใจเย็นไม่ได้
สมัยบรรพกาลเคยมีอริยะประเมินออกมาว่าในหมู่ ‘สี่ไผ่เทพ’ มีไผ่ม่วงเสียงอสนีอยู่ด้วย!
ต้นไผ่นี้พันปีงอกราก พันปีแตกหน่อ จากนั้นทุกพันปีจะเติบโตขึ้นปล้องหนึ่ง เมื่อเติบโตครบเก้าปล้องก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งหนึ่ง
กระทั่งเปลี่ยนสภาพครบเก้าครั้งก็จะกลายเป็นเจตวัตถุชั้นยอดแห่งฟ้าดิน!
หากนำมาหลอมยอดศาสตรามรรคราชัน ต้องได้ของคุณภาพดีที่สุดแน่นอน
แต่ที่สำคัญกว่าคือความอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ของไผ่ม่วงเสียงอสนีอยู่ที่ มันเป็นวัตถุดิบหลักของการหลอมสมบัติอริยะ!
ในโลกภายนอกมีเพียงสำนักโบราณที่ปลูกไผ่ม่วงเสียงอสนีได้ แต่ปริมาณก็ไม่มาก
เท่าที่จี้ซิงเหยารู้ ก็มีแค่ในมหาวิหารธรรมแห่งแดนเร้นอริยะที่ครองไผ่ม่วงเสียงอสนีมากที่สุด แต่ก็มีแค่เก้าต้นเท่านั้น ทั้งยังถูกตั้งเป็นยอดสมบัติพิทักษ์สำนักอีกด้วย…
แต่ตอนนี้บนไหล่ทางของเขาเขียวชอุ่มนี่กลับมีป่าไผ่ม่วงเสียงอสนีเติบโตเป็นผืนแผ่น!
ในใจหลินสวินพลันไหวสั่น ไม่อาจนิ่งสงบ
ไผ่ม่วงเสียงอสนีไม่เพียงแต่เป็นเจตวัตถุชั้นยอด ใบของมันยังเป็นโอสถวิญญาณที่หาได้ยากเช่นกัน แม้จะไม่ใช่โอสถราชัน แต่ก็มีผลอัศจรรย์ที่สามารถปราบจิตมาร ชะล้างจิตมรรค ขับไล่สิ่งชั่วร้ายทั้งปวง!
‘เจ้าของกระท่อมนั้นต้องเป็นบุคคลเทียมฟ้าที่ร้ายกาจคนหนึ่งแน่!’
พวกหลินสวินตัดสินออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“ไป พวกเราลองไปดูที่กระท่อมนั้นก่อน”
หลินสวินสูดหายใจลึก ควบคุมความอยากเก็บไผ่ม่วงเสียงอสนีตอนนี้อย่างเต็มที่แล้วพุ่งนำไปในป่าไผ่
คนอื่นรีบเร่งตามไป
“หืม?”
ทันทีที่เข้าไปในนั้น หลินสวินรู้สึกเพียงทัศนวิสัยเปลี่ยนไป ป่าไผ่ยังคงเป็นป่าไผ่ แต่กลับมองไม่เห็นกระท่อมหลังนั้นอีก
อีกทั้งกวาดสายตามองโดยรอบก็หาไม่เจอว่าทางออกอยู่ที่ไหน!
ค่ายกลมายารึ
ในใจหลินสวินเครียดขมึง ในฐานะที่เป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณ เขายังสังเกตพลังต้องห้ามไม่ได้สักนิด นี่เห็นได้ว่าไม่ธรรมดาเกินไปแล้ว
“ทุกคนระวังตัวด้วย ให้ข้าทำลายค่ายกลเอง พวกเจ้าเร่งตามมา…”
กล่าวถึงตรงนี้เสียงหลินสวินพลันหยุดชะงัก เมื่อหันกลับไปมองก็ไม่รู้ว่าเงาร่างของพวกเจ้าคางคก จี้ซิงเหยา โม่เทียนเหอหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่!
ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่สังเกตเห็นสักนิด!
หลินสวินเกร็งไปทั้งตัวทันที ในดวงตาดำพรั่งแววจริงจังเคร่งเครียด
ประมาทไปแล้ว ก่อนหน้านี้พวกเขาต่างคิดว่าที่นี่คือแดนมงคลลับที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง อีกทั้งตลอดทางยังเก็บโอสถวิญญาณและวัตถุดิบวิญญาณมามากมาย จนกระทั่งคิดว่าที่นี่ไม่มีภัยคุกคาม
ใครจะคิดว่าภายใต้บรรยากาศนิ่งสงบร่มเย็นเช่นนี้จะซ่อนความเร้นลับที่ไม่มีคนล่วงรู้!
หลินสวินยืนอยู่จุดเดิม สายตากวาดมองโดยรอบ สีหน้าวูบไหวไม่หยุด
ไผ่ม่วงเริงระบำ ใบไผ่พลิ้วไหวส่งเสียงอสนีเป็นระลอก โบกสะบัดอยู่ในฟ้าดินแถบนี้ดุจเสียงจากธรรมชาติ
ไม่เพียงแค่หาทางออกไม่เจอ แม้แต่บนเวิ้งฟ้าก็ถูกใบไผ่สีม่วงแน่นหนาปกคลุม มองไม่เห็นอะไรเลย
หลินสวินสูดหายใจลึก โคจรนัยน์ตาเฉาเฟิง แผ่พลังแห่งจิตรับรู้สำรวจและสัมผัสโดยละเอียด
ผ่านไปครู่ใหญ่สภาวะจิตของหลินสวินเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งขึ้นมา
แม้แต่เขาก็ไม่อาจมองความลับที่นี่ออก!
แค่คิดก็รู้แล้วว่าผนึกต้องห้ามที่ครอบคลุมป่าไผ่นี้ ต้องเหนือกว่าขอบเขตที่ปฐมาจารย์สลักวิญญาณสามารถเข้าใจได้แน่!
คิดไปคิดมา ในเมื่อไม่รู้ทางออกหลินสวินก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม เขานั่งขัดสมาธิกับพื้น เหลือบสายตาไปยังแหวนทองแดงบนนิ้ว
ตั้งแต่เข้ามาในถ้ำนรกเทพ ตลอดทางมานี้ล้วนอาศัยคลื่นเร้นลับที่สิ่งนี้ชักนำจนมาถึงที่นี่
อีกทั้งเมื่อครู่ตอนอยู่นอกป่าไผ่แหวนทองแดงยังร้อนขึ้นเล็กน้อย เกิดการตอบสนองที่ต่างจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด
เพียงแต่ตอนนี้แหวนทองแดงกลับตกอยู่ในความสงบแล้ว!
นี่มันเรื่องอะไรกัน
หรือเป็นเพียงการชี้นำตนให้มาติดอยู่ที่นี่?
หลินสวินขมวดคิ้วใคร่ครวญ เขาลูบแหวนทองแดงเบาๆ ผ่านไปนานจึงตัดสินใจแผ่จิตรับรู้สัมผัสแหวนทองแดงอีกครั้ง
อาศัยระดับความรู้ที่มีต่อรอยสลักวิญญาณของเขา หากคิดทำลายสถานการณ์คับขันตรงหน้าก็ยังมีหวัง แต่ไม่รู้ว่าต้องรอถึงกี่ปีกี่เดือน
เพราะเขาต้องใช้เวลาไปหยั่งรู้สัมผัสทีละน้อย
ตอนนี้พวกเจ้าคางคกก็ไม่รู้ว่าถูกขังอยู่ที่ไหน ทั้งไม่รู้ว่าจะเจออันตรายหรือไม่ ดังนั้นเขาต้องคลี่คลายสถานการณ์คับขันตรงหน้าให้ได้ภายในเวลาอันสั้นที่สุด ถึงจะสามารถช่วยพวกเขาให้รอดพ้นไปด้วยกัน
ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้แค่ตั้งสมาธิจดจ่อไปที่แหวนทองแดงนี่
จิตรับรู้ราวแผ่กิ่งก้านบางละเอียดและไวต่อความรู้สึก ถาโถมเข้าไปในแหวนทองแดงอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง ยังคงไม่พบความผิดปกติอะไรเหมือนก่อนหน้านี้
นี่ทำให้หลินสวินหนักใจไม่น้อย
เพียงแต่ชั่วพริบตาที่เขาเก็บจิตรับรู้กลับก็พลันสังเกตเห็น บนพื้นผิวแหวนทองแดงมีประกายแสงเร้นลับไหววูบอยู่เสี้ยวหนึ่งอย่างยากสังเกต
หลินสวินใจกระตุก รวบรวมสมาธิเคลื่อนจิตรับรู้เข้าไปในแหวนทองแดงอีกครั้ง
ขณะเดียวกันสายตาเขาก็จับจ้องที่แหวนทองแดงวงนี้
ประกายแสงเร้นลับเสี้ยวนั้นพลันปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ถูกหลินสวินจับไว้ได้แน่นหนา
ทว่าเพียงพริบตาประกายแสงนั้นก็หายไป ไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจน
หลินสวินไม่ยินยอม พลันกัดฟันลองอีกครั้ง คราวนี้เขาโคจรพลังปราณและจิตรับรู้เข้าไปในแหวนทองแดงพร้อมกัน
ประกายแสงเร้นลับนั่นปรากฏอีกครั้งดังคาด
อีกทั้งด้วยพลังของหลินสวินที่โหมกระหน่ำเข้าไป ทำให้ประกายแสงเร้นลับนี้ส่องสว่าง สาดละอองแสงเจิดจ้าทันที
ทั้งป่าไผ่ม่วงเริ่มสั่นสะเทือนรุนแรง เสียงอสนีที่เดิมไพเราะหาใดเปรียบเวลานี้กลับครั่นครืนสนั่น มีพลังชวนระทึกขวัญ!
พร้อมกันนี้เงามายาเลือนรางหนึ่งค่อยๆ ปรากฏ กลายสภาพเป็นโครงร่างจากละอองแสงเจิดจ้าที่แหวนทองแดงพร่างพรมออกมา…
………………….

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

Type: Author: ,
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset