เหมิงชิวจิ้งไม่เคยเจอหลินสวิน แต่ยามมองเห็นเงาร่างสูงโปร่งที่ขวางอยู่ตรงหน้าสายนั้น กลับดูออกในชั่วครู่ว่านั่นจะต้องเป็นหลินสวินแน่นอน
ชั่วขณะนั้นเขาถึงขั้นยากจะทำใจเชื่ออยู่บ้าง อีกฝ่ายพบตนตั้งแต่เมื่อไหร่
“พยัคฆ์ร้ายไม่กินลูกตัวเอง แต่เจ้าแม้แต่ชีวิตลูกในไส้แท้ๆ กลับไม่ช่วยเหลือ จิตใจช่างโหดร้ายซะจริง”
ไกลออกไปหลินสวินเอ่ยปากเนิบนาบ
ตู้ม!
ประโยคเดียวทำเอาเหมิงชิวจิ้งราวกับถูกสายฟ้าฟาด หนังหัวแทบแตกกระจุย
เรื่องที่ซ่งชิงอวิ๋นเป็นลูกชายของเขา แม้แต่ทั้งสำนักกระบี่เทียมฟ้ายังไม่รู้ หลินสวินนี่รู้ได้อย่างไร
“สารเลว นี่เป็นถึงอาณาเขตของสำนักกระบี่เทียมฟ้า จะปล่อยให้เจ้าโอหังได้ตามใจชอบหรือ”
ทันใดนั้นเหมิงชิวจิ้งตวาดลั่น เสียงดังสนั่นยิ่งยวด สะเทือนเลื่อนลั่นปานฟ้าคำราม
มุมปากหลินสวินเจือแววเสียดสี “จนป่านนี้แล้ว เจ้ายังคิดจะแจ้งให้สำนักกระบี่เทียมฟ้าส่งคนมาช่วยเหลือเจ้าอยู่อีกหรือ”
“เจ้า…”
เหมิงชิวจิ้งหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ เขาเองก็ตระหนักได้ว่าเสียงยังไม่ทันแผ่ออกไปก็ถูกผนึกต้องห้ามไร้รูปชั้นหนึ่งปิดกั้นเอาไว้
ตูม!
และในเวลานี้หลินสวินเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว โบกแขนเสื้อคราหนึ่ง
แสงมรรคระฟ้ากลายเป็นเกลียวไหมขาวโพลนเจิดจ้าประดุจธารดาราสายหนึ่ง ตลบม้วนห้วงอากาศมุ่งฝ่าไป
เหมิงชิวจิ้งมีปราณระดับอมตะเคราะห์ด่านสอง มิฉะนั้นคงไม่สามารถรับหน้าที่ผู้อาวุโสสายในของสำนักกระบี่เทียมฟ้าได้
ทว่ายามเมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีครั้งนี้ เขากลับมีความสิ้นหวังและไร้เรี่ยวแรงอย่างบอกไม่ถูก
ห่างชั้นกันเกินไปแล้ว!
พร้อมๆ กับเสียงสนั่นหวั่นไหวดังแสบหูและเสียงคำรามไม่พอใจ ทั้งตัวเหมิงชิวจิ้งล้วนถูกแสงมรรคเจิดจรัสไร้ทัดเทียมนั่นท่วมมิด สูญเสียสติสัมปชัญญะ
สวบ!
ครู่ต่อมาหลินสวินหิ้วร่างของเขาขึ้น แล้วอาศัยสีราตรีพุ่งโฉบมุ่งหน้าห่างออกไป
เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ แม้แต่หลินสวินเองก็ไม่อาจไม่ยอมรับ เหมิงชิวจิ้งนี่รอบคอบและมากประสบการณ์ถึงขีดสุด เมื่อสัมผัสได้ถึงความไม่เข้าทีก็รีบถอนตัวถอยออกมาทันที
ความเร็วในการตอบสนอง ความเหี้ยมเกรียมของจิตใจ พาให้ผู้คนร้องอุทาน
ยังดีที่ตั้งแต่เริ่มหลินสวินก็ไม่ได้คิดจะเฝ้าตอรอกระต่ายอยู่ในเมือง
การลงมือจัดการกับสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันคนหนึ่งกลางเมือง จะต้องเปิดเผยพลังและตัวตน ดึงดูดความโกลาหลที่ไม่จำเป็นอย่างแน่นอน
ก็เพราะใคร่ครวญถึงจุดนี้ หลินสวินจึงจัดแจงให้เสี่ยวอิ๋นรั้งอยู่ในเมือง ส่วนเขาออกนอกเมืองมาก่อน ดักรออยู่ระหว่างทาง
และโชคดีที่เป็นเช่นนี้ ถึงสามารถรวบปลาตัวใหญ่อย่างเหมิงชิวจิ้งนี่ได้
……
ในเมือง ยามค่ำคืนมืดสนิทดุจสีหมึก
ในเรือนพำนักแห่งหนึ่ง ถูกผนึกลายมรรคไร้รูปแผ่ครอบไว้ตั้งแต่แรก
“อย่าให้ชิงอวิ๋นรู้เรื่องพวกนี้ได้หรือไม่ เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ และไม่เคยเข้าไปเอี่ยวในเรื่องทำร้ายตระกูลหลินใดๆ ข้าขอร้องเจ้าล่ะ ปล่อยเขาไปสักครั้งได้หรือไม่”
เหมิงชิวจิ้งสีหน้าอับแสง นั่งลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ทั้งตัวเสมือนแก่ลงไปมากเพียงชั่วครู่
ซ่งชิงอวิ๋นยังคงไม่ได้สติ ถูกทิ้งไว้บนพื้นเย็นเยียบราวกับหมาตายไม่มีผิด นี่พาให้ในใจเหมิงชิวจิ้งเจ็บปวดนัก
“ปีนั้นบรรดาญาติตระกูลหลินของข้าก็บริสุทธิ์ไร้ความผิด พวกเจ้าเคยคิดจะปล่อยพวกเขาไปสักครั้งบ้างหรือไม่”
สีหน้าหลินสวินเฉยเมย นัยน์ตาปราศจากความหวั่นไหวทางอารมณ์
“พะ… พวกเราล้วนถูกบีบบังคับ”
สีหน้าเหมิงชิวจิ้งตื่นตระหนก ร้องตะโกนลั่น “ฆาตกรตัวจริงไม่ใช่พวกเราเสียหน่อย!”
“ข้าย่อมรู้อยู่แล้วว่าตัวการหลักคืออวิ๋นชิ่งไป๋”
หลินสวินกล่าวสบายๆ
“ไม่ อวิ๋นชิ่งไป๋เป็นแค่แมลงน่าสงสารตัวหนึ่ง ชะตาชีวิตถูกคนควบคุมตั้งนานแล้ว ปีนั้นเขาเพิ่งมีปราณระดับกระบวนแปรจุติขั้นต้นเท่านั้น จะมีปัญญาแฝงตัวเข้าสู่โลกชั้นล่าง ก่อเรื่องระดับนี้ขึ้นโดยเทพไม่รู้ผีไม่เห็นได้หรือ”
เหมิงชิวจิ้งกัดฟัน โพล่งความลับอย่างหนึ่งออกมา เพื่อปกป้องตัวเองเขาก็ไม่สนใจสิ่งอื่นใดทั้งนั้น
นัยน์ตาดำของหลินสวินหรี่ลง กล่าวว่า “เป็นฝีมือของคนผู้นั้นที่ชุบเลี้ยงอวิ๋นชิ่งไป๋จนเติบใหญ่?”
เหมิงชิวจิ้งตกตะลึง คล้ายไม่อยากเชื่อ “จะ… เจ้าถึงกับรู้ตั้งแต่แรกแล้ว? ดูท่าคงเป็นอวิ๋นชิ่งไป๋ที่บอกเจ้า ก่อนสิ้นใจเขาเองก็ไม่พอใจยิ่งใช่หรือไม่ บุคคลสะท้านโลกที่เกิดมาพร้อมกระดูกกระบี่คนหนึ่ง ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบกลับถูกคนบงการชะตาชีวิต…”
กล่าวถึงตอนสุดท้ายเขาราวกับนึกถึงตนเอง สีหน้าอึมครึมลงอย่างอดไม่ได้ ตนก็ไม่ได้เป็นเช่นนี้หรอกหรือ
“เล่าที่มาของเขาให้ฟังที” หลินสวินนิ่งเงียบพักหนึ่งก่อนเอ่ยถาม
เหมิงชิวจิ้งเสมือนคว้าความหวังเสี้ยวสุดท้าย กล่าวว่า “หากข้าพูดแล้ว พอจะไว้ชีวิตข้าสักครั้งได้หรือไม่”
น้ำเสียงของหลินสวินราบเรียบ “ต่อให้เจ้าไม่พูด ข้าก็สามารถดูดออกมาจากจิตวิญญาณของเจ้าได้ เพียงแค่ไม่อยากยุ่งยากถึงขนาดนั้น”
เสี่ยวอิ๋นยืนอยู่บนบ่าของหลินสวิน สีหน้าเย็นเยียบ เขาเตรียมตัวพร้อมเป็นที่เรียบร้อย
สีหน้าของเหมิงชิวจิ้งวูบไหวไม่นิ่ง สุดท้ายก็ห่อเหี่ยว ชี้ไปทางซ่งชิงอวิ๋นที่อยู่ไม่ไกลอย่างขมขื่นพลางกล่าว “พอจะเหลือสายเลือดสักคนให้ข้าได้หรือไม่”
หลินสวินกล่าวว่า “หลังจากได้รู้ความจริง ข้าย่อมจะพิจารณาปัญหาข้อนี้”
เหมิงชิวจิ้งพยักหน้าหงึกๆ “ได้!”
ต่อมาเขาสูดหายใจลึกหลายครั้ง เอ่ยว่า “คนผู้นั้นไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งในสำนักกระบี่เทียมฟ้าของข้า เจ้าเองก็น่าจะเคยได้ยินมาบ้างแล้ว วันนี้ ‘ผู้อาวุโสฝานฉี’ ของสำนักข้าถึงแก่กรรม ความจริงแล้วผู้อาวุโสฝานฉีถูกคนฆ่าตายตั้งแต่ร้อยปีก่อนแล้ว เพียงแต่ร่างของเขาถูกคนยึดครองเท่านั้น…”
หนังตาของหลินสวินกระตุก เขาไม่รู้เลยว่าในนี้ยังมีเรื่องพรรค์นี้อยู่ด้วย
คนที่ฆ่าผู้อาวุโสฝานฉีตาย ต้องเป็นคนลึกลับที่ยืนอยู่เบื้องหลังอวิ๋นชิ่งไป๋อย่างแน่นอน
“คนผู้นั้นเป็นมารชั่วร้ายที่น่ากลัวสุดขีดคนหนึ่ง ไม่ใช่คนของดินแดนรกร้างโบราณด้วยซ้ำ แต่เป็นคนที่มาจาก ‘ดินแดนโบราณยอดหยิน’ หนึ่งในแปนดินแดนอื่น มีปราณระดับกึ่งจักรพรรดิ ช่วงร้อยปีก่อนใช้วิธีที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้อย่างหนึ่ง ทะลวงผ่านแนวหน้าสนามรบของดินแดนรกร้างโบราณ แฝงตัวเข้ามาในดินแดนรกร้างโบราณ…”
เหมิงชิวจิ้งให้ความร่วมมืออย่างยิ่ง น้ำเสียงต่ำลึก เล่าเรื่องในอดีตออกมา
“เขามีแผนการอย่างหนึ่ง หมายจะบ่มเพาะบุคคลชั้นเลิศที่สามารถชี้นำบุคคลขอบเขตมกุฎในหมู่คนรุ่นเยาว์ได้คนหนึ่ง”
“อวิ๋นชิ่งไป๋ก็คือหมากที่เขาเลือก หลายปีมานี้เขาทุ่มเทหยาดเหงื่อแรงกายทั้งหมดไปกับตัวอวิ๋นชิ่งไป๋”
“แต่ท้ายที่สุดอวิ๋นชิ่งไป๋กลับตายด้วยน้ำมือเจ้า เท่ากับทำลายแผนการของเขาอย่างสิ้นเชิงโดยไร้รูป”
กล่าวถึงตรงนี้เหมิงชิวจิ้งก็มองหลินสวินปราดหนึ่งด้วยสีหน้าซับซ้อน หากให้คนนอกรู้ว่าการที่หลินสวินสังหารอวิ๋นชิ่งไป๋ เท่ากับช่วยบุคคลขอบเขตมกุฎในหมู่คนรุ่นเยาว์ของดินแดนรกร้างโบราณ สะสางเคราะห์สังหารคับฟ้าอย่างหนึ่ง ก็ไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไร
“กล่าวเช่นนี้ เขาคิดยืมมืออวิ๋นชิ่งไป๋ ทำเรื่องขัดประโยชน์ค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณตอนเกิดสงครามเก้าดินแดนใช่หรือไม่”
ในใจหลินสวินเองก็สั่นสะเทือนอยู่บ้างเช่นกัน กึ่งจักรพรรดินอกดินแดนคนหนึ่ง ถึงกับแฝงตัวอยู่ในสำนักกระบี่เทียมฟ้ามาตลอดร้อยปี ซ้ำยังเลี้ยงดูอวิ๋นชิ่งไป๋จนกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่แห่งยุคในหมู่คนรุ่นเยาว์!
หากไม่ใช่เพราะตนปรากฏตัว ก็เป็นไปได้สูงว่าจะสามารถทำให้อวิ๋นชิ่งไป๋กลายเป็นผู้นำในหมู่บุคคลขอบเขตมกุฎยุคปัจจุบันจริงๆ!
เหมิงชิวจิ้งกัดฟันกล่าวว่า “ใช่แค่ขัดประโยชน์เสียที่ไหน ในแผนการของมารชั่วนั่น หมายจะหลอกใช้อิทธิพลของอวิ๋นชิ่งไป๋รวบจับบุคคลขอบเขตมกุฎทั้งหมดในดินแดนรกร้างโบราณ ตัดรากถอนโคน กำจัดมกุฎมรรคาของดินแดนรกร้างโบราณทิ้งอย่างสิ้นเชิงในช่วงสงครามเก้าดินแดนเปิดฉาก!”
ในใจหลินสวินเย็นวาบขึ้นมาอยู่บ้าง
แผนการอำมหิตนัก!
มหายุคในปัจจุบันเจิดจรัสสุดขีด หลังจากแดนมกุฎปิดม่าน ต่อไปกลัวแต่คงยากจะมาเยือนอีกครั้ง
กล่าวได้ว่าบรรดาผู้แข็งแกร่งที่กลายเป็นบุคคลขอบเขตมกุฎในตอนนี้ ก็คือบุคคลขอบเขตมกุฎกลุ่มเดียวที่มีอยู่ในดินแดนรกร้างโบราณแล้ว หากพวกเขาถูกกำจัดทิ้ง เช่นนั้นดินแดนรกร้างโบราณในภายภาคหน้า จะต้องปราศจากบุคคลขอบเขตมกุฎอีกอย่างแน่นอน!
พร้อมกันนั้นในที่สุดหลินสวินก็เข้าใจแล้ว ว่าปีนั้นตอนที่อวิ๋นชิ่งไป๋บุกไปยังโลกชั้นล่าง เหตุใดถึงสามารถก่อคดีนองเลือดกับตระกูลหลินได้อย่างง่ายดาย
มีกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งเคียงข้าง ก็เพียงพอแล้ว!
“แล้วเขาเล่า คงไม่ใช่ว่าตอนนี้ก็ยังอยู่ในสำนักกระบี่เทียมฟ้ากระมัง” หลินสวินถาม
“ไม่”
เหมิงชิวจิ้งส่ายหน้า “แผนการล้มเหลว เขาออกไปในวันนี้เอง หาไม่ข่าวของผู้อาวุโสฝานฉีก็คงไม่แพร่กระจายออกมา”
หลินสวินพยักหน้ากับตัวเอง
“จริงสิ ยังมีอีกเรื่อง”
จู่ๆ เหมิงชิวจิ้งพลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้ กล่าวว่า “มารชั่วนั่นเคยบอกว่าชาติกำเนิดของเจ้าไม่ธรรมดา ปีนั้นจากพลังของเขากลับยังไม่สามารถฆ่าเจ้าได้ เพราะถูกคนลึกลับผู้หนึ่งที่เดิมทีตั้งใจมาช่วยแม่ของเจ้าขัดขวางไว้ สุดท้ายก็คว้าโอกาสช่วยเจ้าออกมา”
หลินสวินแข็งทื่อไปทั้งร่าง ในหัวเกิดเสียงดังสนั่นคราหนึ่ง เข้าใจอย่างสิ้นเชิงแล้ว
กึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งลงมือ แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้ตนมีชีวิตรอด ตอนนั้นจะต้องมีคนทำการช่วยเหลืออย่างแน่นอน
และฟังที่เหมิงชิวจิ้งพูดมา คนแรกที่หลินสวินนึกถึงก็คือผู้ที่ชุบเลี้ยงตนจนเติบใหญ่ ท่านลู่ ลู่ป๋อหยา!
“แล้วพ่อแม่ของข้าล่ะ” สภาพอารมณ์ของหลินสวินเริ่มผิดปกติไปบ้าง
“ไม่รู้”
เหมิงชิวจิ้งส่ายหน้า “หากไม่ผิดคาด ก็น่าจะประสบเคราะห์แล้ว ถึงอย่างไรหากพวกเขายังมีชีวิตอยู่ คงไม่ยอมทนมองชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดของเจ้าถูกช่วงชิงไปตาปริบๆ อย่างแน่นอน”
เมื่อก่อนหลินสวินเคยปลุกจิตรับรู้ในตอนที่ตนเกิด ใช้มุมมองของเด็กทารก มองดูเรื่องราวนองเลือดที่เกิดขึ้นในภูเขาชำระจิตของตระกูลหลินในปีนั้น
น่าเสียดาย เป็นเพียงแค่เสี้ยวเล็กน้อยเท่านั้น เขาเห็นเพียงบิดามารดาตะโกนลั่นอย่างร้อนใจในทะเลเพลิง และเห็นอวิ๋นชิ่งไป๋ที่สีหน้าราบเรียบเฉยเมย กำลังมุ่งไปข้างหน้าท่ามกลางทะเลเพลิงราวกับเทพสังหาร…
นอกจากนี้ ก็ไม่มีสิ่งอื่นอีก
เหมิงชิวจิ้งเอ่ยกล่าว “ข้าจำได้เพียง มารชั่วนั่นเคยพูดว่าในโลกชั้นล่างมีระดับจักรพรรดิแท้นั่งบัญชาดูแลอยู่ หาไม่จากฝีมือของเขา การโค่นตระกูลหลินทั้งหมดก็ไม่ใช่เรื่องยาก”
ระดับจักรพรรดิแท้!
คำนี้พาให้ในใจหลินสวินสั่นสะเทือนอีกครั้ง ในโลกชั้นล่าง ยังมีระดับจักรพรรดินั่งบัญชาอยู่ด้วยหรือ
จะเป็นท่านลู่หรือไม่
ไม่สิ!
หากท่านลู่เป็นจักรพรรดิ มีหรือจะยอมปล่อยให้กึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งหนีไปได้
เช่นนั้นคนผู้นั้นเป็นใครกัน
ในใจหลินสวินผุดข้อกังขาข้อแล้วข้อเล่าขึ้นมา เขาเพิ่งค้นพบว่าเบื้องหลังคดีนองเลือดของตระกูลหลินที่เกิดขึ้นในปีนั้น ยังมีเรื่องคลุมเครือที่เขาไม่เข้าใจอยู่อีกมาก!
“ที่ข้ารู้ก็บอกเจ้าไปหมดแล้ว ข้าเองก็ถูกบังคับเช่นกัน ผู้อาวุโสฝานฉีก็คืออาจารย์ของข้า ทว่ากลับมาตายด้วยน้ำมือของมารชั่วคนนั้น ในใจข้ามีหรือจะไม่แค้น”
สีหน้าของเหมิงชิวจิ้งวูบไหวไม่นิ่ง กล่าวอย่างขมขื่นว่า “แต่ข้าเองก็ไร้หนทาง มารชั่วนั่นใช้คำสาปกักจิตที่ลึกลับอย่างหนึ่งควบคุมข้า หากข้าไม่เชื่อฟังคำสั่งของเขาก็จะเจ็บปวดจนไม่อยากอยู่ เหมือนตายทั้งเป็น ไม่อาจทำตามใจตนได้สักนิด”
“อวิ๋นชิ่งไป๋น่าสังเวชยิ่ง แต่ว่า ข้ากับเขาก็ไม่ได้ต่างอะไรกัน ล้วนเป็นหมากที่ถูกมารชั่วควบคุมก็เท่านั้น”
เหมิงชิวจิ้งในเวลานี้เหมือนแมลงน่าสงสารตัวหนึ่ง นั่งพังพาบอยู่กับพื้น ไหนเลยจะมีท่วงท่าสง่างามที่เป็นของสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชัน
เพียงแต่สีหน้าของหลินสวินยังคงเฉยเมย ไม่ไหวเคลื่อน
“คำถามข้อสุดท้าย คนผู้นั้นชื่ออะไร” หลินสวินถาม
เหมิงชิวจิ้งขมวดคิ้วครุ่นคิด “ข้าจำได้รางๆ เขาเคยบอกว่ามาจากสถานที่แห่งหนึ่งที่ชื่อ ‘ทะเลดารามืด’ ของดินแดนโบราณยอดหยิน เขาเรียกที่นั่นว่าบ้านเกิด!”
กล่าวถึงตรงนี้เหมิงชิวจิ้งพลันฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ กล่าวอย่างตื่นเต้น “ข้านึกออกแล้ว มีครั้งหนึ่งตอนที่เขาฝึกปราณ เคยพูดพึมพำกับตัวเองว่า ‘วันหน้ายามเมื่อหวนคืนบ้านเกิดอีกครั้ง ด้วยคุณงามความดียิ่งใหญ่ ตัวข้าปาฉีย่อมขึ้นสู่ตำแหน่งจักรพรรดิ…’”
พรวด!
เพิ่งกล่าวถึงตรงนี้เหมิงชิวจิ้งก็เบิกตาโพลง จากนั้นก็กระอักเลือดคำโตออกมาเสียงดัง ล้มฟุ่บลงกับพื้น ลมหายใจพลันมอดดับในชั่วพริบตา
เนื้อหนังทั่วร่างของเขาพลันปรากฏสีม่วงช้ำแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง!
ในใจหลินสวินตกตื่นทันที
——
Related