หลินสวินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วกุมมือคารวะขอบคุณราชครู
สีหน้าสงบนิ่ง
ทางข้างหน้ามีหมอกหนาไร้ขอบเขต ประหนึ่งไม่อาจล่วงรู้ได้ อย่างนี้ดีที่สุด
หากทางข้างหน้าถูกกำหนดไว้แล้ว สุดท้ายก็น่าเบื่อไปอยู่ดี!
เบื้องหลังฟ้าถล่มดินทลาย ทุกอย่างต่างไม่อาจกลับมาดำรงไว้ได้อีกหรือ
การเสาะแสวงหามหามรรคย่อมควรเดินไปข้างหน้า จะยังสนใจเรื่องข้างหลังได้อย่างไร
ลักษณ์ชะตานี้อาจจะหมายถึงอะไรบางอย่าง แต่หลินสวินไม่ได้เอามาใส่ใจ
เขา ‘มองเห็นตนเอง’ ไปแล้ว ความหนักแน่นของสภาวะจิตไม่อาจได้รับผลกระทบจากความสับสนนี้
ไม่นานนักหลินสวินก็จากมาเพียงลำพัง
จ้าวจิ่งเซวียนกำลังจะไปแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ และราชครูจะช่วยนางจัดการเรื่องเดินทาง เรื่องเหล่านี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่หลินสวินจะแทรกแซงได้
“ข้าจะรอเจ้ากลับมา”
ก่อนจากกันเนตรกระจ่างของจ้าวจิ่งเซวียนสงบนิ่ง มองดูหลินสวินอย่างจริงจัง “ต้องดูแลตัวเองดีๆ นะ”
“เจ้าก็ด้วย”
หลินสวินยื่นมือไปโอบกอดหญิงสาวตรงหน้า
……
สามวันต่อมา
ฟ้ากระจ่างหมื่นลี้ นครต้องห้ามพลุกพล่านจอแจตามเคย
บนถนนที่เชื่อมผ่านถึงกันคนสัญจรไปมาแน่นขนัด ยานพาหนะขวักไขว่ ถึงกับคึกคักกว่าแต่ก่อนเสียอีก
จักรวรรดิตอนนี้ปัญหาสัตว์อสูรมารในอาณาจักรสงบลงแล้ว ภัยพ่อมดเถื่อนที่ชายแดนก็ขจัดไปนานแล้ว
ในใต้หล้าสิ่งต่างๆ รอการฟื้นฟู
จู่ๆ เวิ้งฟ้าก็มืดลง บดบังแสงสว่างบนฟากฟ้า เมฆดำหนาทึบราวกับก้อนตะกั่วแผ่กระจายไปทั่วท้องฟ้าเหนือนครต้องห้ามราวกระแสธาร
ชั่วพริบตาทิวากาลก็ราวกับตกอยู่ในราตรีนิรันดร์
ในเมืองระส่ำระสายขึ้นฉับพลัน ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกปราณหรือชาวบ้านร้านตลาด ไม่ว่าจะเป็นคนชั้นสูงหรือสามัญชนคนชั้นล่างต่างตื่นตระหนก
“เกิดอะไรขึ้น”
“นี่…”
“เมฆาเคราะห์น่ากลัวนัก!”
ผู้แข็งแกร่งในวัง สำนักศึกษามฤคมรกต ภาคีนักสลักวิญญาณ รวมถึงเหล่าขุมอำนาจตระกูลทรงอิทธิพลไม่รู้เท่าไรต่างหน้าเปลี่ยนสี รู้สึกกดดัน
เมฆาเคราะห์เช่นนี้น่าตื่นตะลึงและน่ากลัวเกินไปแล้วจริงๆ!
“สหายยุทธ์ท่านไหนจะฝ่าด่านเคราะห์กัน”
สุดท้ายสายตานับไม่ถ้วนรวมกันที่ภูเขาชำระจิต เหนือเวิ้งฟ้าที่นั่นมีวังวนเมฆาเคราะห์มหึมาราวกรวยคว่ำก้อนหนึ่งปรากฏขึ้น
วังวนลอยอยู่เงียบๆ แต่กลับแผ่กลิ่นอายทำลายล้างน่าหวาดหวั่นไร้สิ้นสุดออกมา ทำให้กลางฟ้าดินคล้ายสั่นระรัว
ในนครต้องห้าม ทุกคนต่างรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก โดยเฉพาะผู้ฝึกปราณที่สัมผัสอานุภาพฟ้าได้เฉียบคมที่สุดได้รับผลกระทบรุนแรงยิ่งกว่า
เมฆาเคราะห์ที่หนาทึบราวน้ำหมึกยิ่งมากขึ้นตามเวลาที่เคลื่อนคล้อยไป กลางวันที่เดิมสว่างจ้าแจ่มกระจ่างกลับกลายเป็นความมืดราวราตรีนิรันดร์ ทำให้ทุกคนต่างกดดันหวาดผวา
ยอดภูเขาชำระจิต
หลินสวินมือไพล่หลังยืนอยู่ริมผา เสื้อผ้าโบกไสว ผมดำหนาปลิวไปตามลม สีหน้าสำรวม สุขุมเยือกเย็น
เคราะห์โชคชะตา ในที่สุดก็มาแล้ว!
ใจหลินสวินกลับไม่มีความว้าวุ่นสักนิดแล้ว
เพราะเขารอคอยมานานยิ่งนัก และไม่มีความหวั่นกลัวมานานแล้ว
ไกลออกไปเหล่าคนใหญ่คนโตตระกูลหลินอย่างหลินจง เสี่ยวเคอ จูเหล่าซาน พญาแร้ง รวมถึงคนในตระกูลทั้งหมด ชาวบ้านหมู่บ้านเฟยอวิ๋น และเหล่าข้าทาสบริวารต่างสีหน้าเคร่งเครียด มองดูอยู่ไกลๆ
พิบัติเคราะห์นี้สะท้านโลกเกินไปแล้ว ทำให้พวกเขาหายใจยังลำบาก จะไม่กังวลแทนหลินสวินได้อย่างไร
เปรี้ยง!
ทันใดนั้นสายฟ้าสายหนึ่งส่งเสียงระเบิดในส่วนลึกของเมฆาเคราะห์สีดำทึบ เสียงดังจนสะเทือนเวิ้งฟ้า ปกคลุมไปทั่วสารทิศ
สะเทือนจนห้วงอากาศยุ่งเหยิงบิดเบี้ยวขึ้นมา
ในนครต้องห้ามผู้ฝึกปราณบางคนต่างหัวใจเกร็งกระตุกหนักหน่วง ภาพตรงหน้าพร่ามัว จิตวิญญาณสั่นไหวอย่างรุนแรง
ต่อให้ทรงพลังอย่างผู้แข็งแกร่งระดับราชันยังสีหน้าเคร่งเครียด ตกตะลึงไม่หยุด
“พิบัติเคราะห์นี้ เหตุใดถึงน่ากลัวปานนี้ได้”
“สิ่งนี้พิสูจน์ได้เพียงว่าผู้นำตระกูลหลินคนนั้นเย้ยฟ้าเกินไปแล้ว พิบัติเคราะห์ที่ประสบย่อมไม่ธรรมดา”
“อมตะเคราะห์เชียวนะ… เขาจะฝ่าไปอย่างไร”
ขณะนี้นครต้องห้ามอันใหญ่โตมีเมฆดำปิดคลุม บรรยากาศกดดัน คนใหญ่คนโตนับไม่ถ้วนต่างกำลังคาดการณ์และสังเกตการณ์อยู่
หลินสวิน ราชันระดับอมตะเคราะห์อันดับหนึ่งผู้สมฉายาแห่งจักรวรรดิ คลี่คลายปัญหาสัตว์อสูรมาร ขับไล่พ่อมดเถื่อนเก้าสายให้ถอยกระเจิง ตัวคนเดียวเท่านั้นช่วยจักรวรรดิจากภยันตราย เป็นที่จารึก ซาบซึ้งและเคารพของทุกคนในใต้หล้า
เขาก็เหมือนกับตำนานเรื่องหนึ่ง ต้องถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ เป็นที่จดจำชั่วกัลป์
และวันนี้ เขาจะรับการมาเยือนของอมตะเคราะห์ด่านที่แปด…
เคราะห์โชคชะตา!
เหนือหอดูดาวหลวง ราชครูสายตาลุ่มลึก มองไปไกลอย่างเงียบงัน
เรือนโอบดารานิทราบุหลัน เฒ่าโดดเดี่ยวเอ่ยพึมพำคล้ายหงุดหงิดว่า “เจ้าหนูนั่นฝ่าด่านเคราะห์เท่านั้น ทำเอาแตกตื่นขนาดนี้จะขู่ใครกัน”
เปรี้ยง!
เสียงพูดเพิ่งเงียบลง เสียงสายฟ้าน่าหวาดหวั่นดังหนักแน่นราวกลองยักษ์ที่ทวยเทพตี ดังกึกก้องโครมครามท่ามกลางเมฆดำนั้น สะเทือนจนฟ้าดินคล้ายกำลังสั่นคลอน
เฒ่าโดดเดี่ยวที่กำลังหงุดหงิดอึ้งไป เผยรอยยิ้มที่มีความหมายลึกล้ำออกมา “น่าสนใจ เคราะห์โชคชะตาแข็งแกร่งเช่นนี้ เหมือนจะ… ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยนะ…”
“ไม่เคยเห็นมาก่อนจริงๆ”
บนหอดูดาวหลวง ราชครูพึมพำ ดวงตาทั้งสองลุ่มลึกยิ่งขึ้นไปอีก
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!!
ไม่นานนักสายฟ้าฟาดสว่างจ้าสายแล้วสายเล่าฉีกทึ้งเมฆดำ แสงเจิดจ้านั้นตัดเฉือนความมืดมิด ส่องสว่างฟ้าดิน หนาแน่นราวกับงูสีเงินนับหมื่นล้านกำลังเริงระบำ
ภาพอัศจรรย์เช่นนั้นทำให้คนในนครต้องห้ามนับไม่ถ้วนที่ได้เห็นต่างตกตะลึงอ้าปากค้าง ตาสีตาสาบางคนยังลงไปหมอบอยู่กับพื้นตัวสั่นเทา ปากพึมพำขมุบขมิบ คล้ายกำลังอ้อนวอนให้ทวยเทพคุ้มครอง
“มาแล้ว…”
ยอดภูเขาชำระจิต หลินสวินดูไม่ตื่นเต้น กลับเผยรอยยิ้มออกมา ท่าทางผ่อนคลายสบายใจ ถึงกับยังมีเวลาว่างมายกน้ำเต้าสุราขึ้นมาแหงนหน้าดื่มจนฉ่ำใจ
เสื้อผ้าเขาโบกปลิว ผมดำพลิ้วไสว ร่ำสุราอยู่ใต้วังวนเมฆาเคราะห์ เหนือศีรษะเสียงอสนีกราดเกรี้ยว สายฟ้าฟาดกระเจิดกระเจิง
ท่วงท่าสง่างามไร้เทียมทานอันสุขุมเยือกเย็นนั้นทำให้ทุกคนต่างตกตะลึงอย่างห้ามไม่ได้
ตู้ม!
ในที่สุดอสนีเคราะห์อันงดงามตระการตาสายหนึ่งก็ผุดขึ้นกลางเมฆาเคราะห์หมุนวนนั้น แล้วกลายสภาพเป็นละอองแสงปลิวว่อนลงมา
ละอองแสงแต่ละสายต่างเปล่งประกายกระจ่างใส เป็นการเปลี่ยนรูปอสนีเคราะห์ที่น่ากลัวที่สุด
ละอองแสงเต็มฟ้าพากันโปรยลงมา ภาพตะลึงโลกนั้นงดงามแจ่มจรัสถึงที่สุด ทั้งยังน่าหวาดหวั่นถึงที่สุดด้วย!
“วิปริต!” เฒ่าโดดเดี่ยวตาเบิกขึ้น คล้ายออกจะทำใจเชื่อได้ยาก
“นี่มัน… โดดเด่นจริงๆ นะ…” บนหอดูดาวหลวง ราชครูคล้ายตกตะลึง
ส่วนคนอื่นในนครต้องห้ามต่างเพียงรู้สึกว่าละอองแสงที่เทลงมานั้นก็เหมือนแสงเซียนจากสวรรค์ รุ่งโรจน์โชติช่วง งดงามตระการตา สวยจนใจหายใจคว่ำ
มีเพียงสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันบางคนเท่านั้นถึงสัมผัสได้ว่าอสนีเคราะห์เช่นนี้น่ากลัวปานไหน เพียงมองดูไกลๆ ก็ทำให้พวกเขารู้สึกตื่นตระหนกเนื้อเต้น อกสั่นขวัญหาย!
ที่ยอดภูเขาชำระจิต หลินสวินไม่ได้เคลื่อนไหว ยังดื่มสุราดังเดิม
มีเพียงบนตัวเขาเท่านั้นที่พลันมีเหวลึกดุจดั่งมวลว่างเปล่าใหญ่ยักษ์ ใหญ่โตและไร้ที่สิ้นสุด หมุนวนเชื่องช้า
ท่ามกลางเหวลึกที่มีความลึกลับแห่งมหามรรคนานาชนิดผลุบๆ โผล่ๆ มีปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่อย่างหยินหยางประสานกัน ยอดเอกอุหมุนเวียน เจินหลงร้องคำราม ไร้มรณะและดำรงอยู่เป็นอมตะสำแดงออกมา
ละอองแสงอสนีเคราะห์ไร้ที่สิ้นสุดนั้นยังไม่ทันปกคลุมเงาร่างของหลินสวินก็ถูกเหวลึกที่หมุนวนช้าๆ กลืนกินไม่หยุด
หายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับวัวดินเหนียวตกลงไปในทะเล
ตั้งแต่เริ่มจนจบยังไม่ได้ก่อให้เกิดระลอกคลื่นหรือการปะทะใดๆ!
มีเพียงเงาร่างของหลินสวินที่ดูยิ่งโดดเด่นเจิดจรัส
“นี่…”
ผู้แข็งแกร่งที่สังเกตเห็นภาพนี้ทุกคนไม่มีใครไม่ตกตะลึงอ้าปากค้าง อย่างนี้ก็ได้หรือ
มองไปไกลๆ เหนือภูเขาชำระจิตก็เหมือนวาฬกลืนน้ำ อ้าปากมหึมากลืนปวงอสนีเคราะห์ที่ถาโถมนั้นให้หมดสิ้น!
ภาพอัศจรรย์เช่นนั้นช่างพบเห็นได้ยากในชั่วชีวิตหนึ่ง
“วิปริต… วิปริตเป็นบ้า…” เฒ่าโดดเดี่ยวพึมพำ
แต่ราชครูส่งเสียงถอนหายใจด้วยความชื่นชม
ตูม!
เหนือเวิ้งฟ้าเมฆดำปั่นป่วน อสนีเคราะห์สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น สายฟ้าฟาดแน่นขนัดราวมังกรอสรพิษนับหมื่นล้านกำลังร้องคำรามบิดตัว แสงเจิดจ้าส่องสว่างทั่วโลก
อสนีเคราะห์น่ากลัวยิ่งขึ้นแล้ว ประหนึ่งสายธารน้ำตกสายหนึ่งเทตัวลงมา ล้วนเป็นสิ่งที่เปลี่ยนรูปมาจากอสนีเคราะห์ทั้งสิ้น ไหลเชี่ยวลงมาอย่างคับคั่ง
นครต้องห้ามอันใหญ่โต ถูกกลิ่นอายทำลายล้างอันกดดันและพรั่นพรึงเข้าเติมเต็ม
สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนสั่นระริก
ต่อให้เป็นสัตว์ประหลาดระดับราชันก็ยังหนาวเหน็บไปทั้งตัว ในใจตื่นเต้นกระวนกระวาย
มหาเคราะห์เช่นนี้พวกเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน จะถล่มฟ้าทลายดิน ขจัดสิ่งมีชีวิตทั้งมวลในโลกาจริงๆ!
แต่ที่ทำให้ทุกคนเหลือเชื่อก็คือ ณ ยอดภูเขาชำระจิตหลินสวินเหมือนไม่สะทกสะท้าน เอาแต่แหงนหน้าดื่มสุรา เป็นสุขยิ่งนัก
อสนีเคราะห์ที่ทำให้อกสั่นขวัญแขวนได้นั้น ไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปน่ากลัวเช่นไรต่างถูกหุบเหวที่ปรากฏทั่วร่างเขากลืนกินจนสิ้น!
ชั่วขณะนั้นหลายคนต่างรู้สึกงุนงง
ต้องมีพลังปราณน่ากลัวปานไหน เชื่อมั่นในตัวเองอย่างแรงกล้าเพียงใดถึงกล้าทำเหมือนอสนีเคราะห์เต็มฟ้าไร้ตัวตนด้วยท่วงท่าผ่อนคลายสบายใจเช่นนี้
เรื่องนี้ดูน่าตกตะลึงเกินไปแล้ว!
ถึงกับพลิกการรับรู้และจินตนาการของทุกคนไป
‘มองทะลุแล้ว เข้าใจแล้ว สิ่งที่เหนี่ยวรั้งโชคชะตาไว้ก็ไม่ได้พิเศษอะไร’ ราชครูครุ่นคิด เขาพอจะรับรู้ถึงรากฐานพลังและความสามารถของหลินสวินในตอนนี้แล้ว
เฒ่าโดดเดี่ยวยิ้มเงียบๆ “อย่างนี้ถึงน่าสนใจ”
ไม่นานนัก
ไม่ว่าจะเป็นราชครูหรือเฒ่าโดดเดี่ยวต่างหรี่ตาลง สีหน้าค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง ถึงกับเคร่งขรึมขึ้นมา
ที่เหนือเวิ้งฟ้าเมฆาเคราะห์สงบลงช้าๆ เสียงอสนีบาตค่อยๆ เบาลง สายฟ้าฟาดแปรเปลี่ยนเป็นรางเลือน แต่บรรยากาศกลางฟ้าดินกลับยิ่งกดดัน!
ไม่นานนักผู้แข็งแกร่งระดับราชันบางคนก็สังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากล หน้าเปลี่ยนสีในทันใด
ด้านสรรพชีวิตในนครต้องห้ามกลับฉงนใจไม่ว่างเว้น ยังมองความลับไม่ออก ต่างนึกว่าอสนีเคราะห์ไร้เทียมทานอันใหญ่โตหาใดเทียบครั้งนี้กำลังจะปิดฉากลง
ที่จริงแล้วก็กำลังจะปิดฉากลงจริงๆ แต่ก่อนการปิดฉากนี้กลับมีอสนีเคราะห์ชวนประหวั่นน่าพรั่นพรึงถึงขีดสุดครั้งหนึ่งกำลังก่อตัว กำลังสุกงอม…
และกำลังจะมาเยือน!
ไม่นานนักฟ้าดินเงียบสงัด เมฆาเคราะห์หยุดนิ่ง สายฟ้าและเสียงฟ้าร้องมลายหายไป
ความเงียบอันแปลกประหลาดปกคลุมฟ้าดิน
พลังกดดันนั้นทำให้ผู้ฝึกปราณทุกคนต่างรู้สึกเหมือนจมน้ำหายใจไม่ออก แข็งทื่อไปทั้งตัว กำลังจะรับไม่ไหวแล้ว
ที่ยอดภูเขาชำระจิต หลินสวินที่แหงนหน้าดื่มสุราหยดสุดท้ายจนหมดโยนน้ำเต้าสุราทิ้งไป
จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นฉับพลัน
อสนีเคราะห์ที่กำลังก่อตัวอยู่เหนือเวิ้งฟ้าฉายอยู่ในส่วนลึกของดวงตาดำสนิทลุ่มลึกนั้นอย่างชัดเจน แต่กลับไม่ทำให้สายตาหวั่นไหวเลยสักนิด
สวบ!
เสื้อผ้าปลิวไหว เงาร่างของหลินสวินเหยียบย่างขึ้นไปบนอากาศ
มองดูไกลๆ ก็เหมือนห้วงเหวลึกพลันเคลื่อนที่ขึ้นจากพื้นดิน เปล่งแสงมรรคเหลือประมาณ
ในตอนนี้เองที่ส่วนลึกของวังวนเมฆาเคราะห์ที่หยุดนิ่งเหนือเวิ้งฟ้า มีอสนีเคราะห์สายหนึ่งเคลื่อนออกมาอย่างเงียบเชียบ
อสนีเคราะสำแดงรูปร่างเป็นทวนศึกเล่มหนึ่ง ห้อมล้อมไปด้วยกลิ่นอายอานุภาพฟ้าอันสูงส่งไร้สิ่งใดเหนือกว่า คลุมเครือและดำมืด
ชั่วพริบตานั้นฟ้าดินอึมครึม สุริยันจันทราอับแสง
อสนีเคราะห์สายเดียวเท่านั้น กลับเหมือนเป็นตัวแทนของทวนพิพากษาแห่งเจตจำนงสวรรค์มาเยือนโลกา
ทั้งนครต่างตกตะลึง ล้วนสั่นสะท้าน
——